บทที่ 1051 เหมยเขียวน้อยวิ่งหนีไปแล้ว
บทที่ 1051 เหมยเขียวน้อยวิ่งหนีไปแล้ว
เมืองหลวง ประตูจวนลู่
ไม่ว่าซ่งหานจือจะโตเกินกว่าวัยเพียงใด เมื่อรู้ว่าลู่จื่อชิงออกจากเมืองหลวงไปพร้อมกับลู่ฉาวอวี่แล้ว อีกทั้งวันกลับมาก็ยังไม่ได้กำหนด เสียงคำรามก็พลันดังขึ้นในใจ
จี้ซ่งเฉิงตบลงบนไหล่อีกฝ่าย “เป็นอย่างไร? เลยเถิดไปแล้วกระมัง?”
“ข้าไม่อยากให้นางตามไปเสี่ยง” ซ่งหานจือขมวดคิ้ว “ถึงแม้ว่าท่านจะให้โอกาสข้าอีกกี่ครั้ง ข้าก็ยังเลือกเช่นนี้”
“ได้ เช่นนั้นตอนนี้คนก็ไปแล้ว เจ้าจะทำอย่างไร?” จี้ซ่งเฉิงยักไหล่ “พิษของเจ้าถอนออกแล้ว บัดนี้เจ้ากลับมาพบนางอย่างมีความสุข แต่นางกลับไม่ต้องการพบเจ้าเสียได้”
“ชิงเอ๋อร์ยังโกรธอยู่ หากนางสงบลงแล้วย่อมกลับมา” ซ่งหานจือกล่าว “สิ่งสำคัญที่สุดตอนนี้คือรายงานสถานการณ์ในยุทธภพให้ท่านอ๋องลู่ทราบ”
ทั้งสองไปเยือนจวนลู่ บ่าวรับใช้ของจวนลู่หยุดซ่งหานจือไว้แล้วกล่าวว่า “ท่านอ๋องไปจากเมืองหลวงนานแล้ว ไม่รู้ว่าจะกลับมาเมื่อใดขอรับ”
“เช่นนั้นข้าขอพบพระชายา”
“เวลานี้พระชายาไม่อยู่ในเมืองหลวง” บ่าวรับใช้มองซ่งหานจือ “คุณชายซ่ง ท่านเพิ่งกลับมาเมืองหลวง ยังไม่รู้อะไรอีกมาก ท่านเพียงกลับไปถามบ่าวรับใช้ที่จวนก็จะรู้แล้ว”
ซ่งหานจือมาจวนลู่ก่อน จากคำพูดบ่าวรับใช้ที่นั่นถึงได้รู้ว่าเมืองหลวงเกิดเรื่องขึ้น
เขาเอ่ยว่า “พวกเราต้องไปหาท่านอ๋องลู่ให้พบ”
“หรือว่าเขากำลังซ่อนตัวอยู่ในเงามืด จงใจไม่ออกมา?” จี้ซ่งเฉิงถาม
“เมืองหลวงสับสนวุ่นวายเช่นนี้ ถึงแม้ท่านอ๋องลู่จะซ่อนอยู่ในเงามืดไม่ปรากฏตัวก็ไม่มีทางไม่ทำสิ่งใดเช่นนี้ เขาอาจกำลังตกอยู่ในอันตราย ต้องมีคนไปช่วยเขา”
“ข้าคิดว่าเจ้าทำให้เด็กขุ่นเคืองจึงคิดจะเอาใจผู้ใหญ่มากกว่า รอคนโมโหผู้นั้นกลับมาก่อนเถอะ ถ้ารู้ว่าท่านประสบความสำเร็จเพียงนี้ นางจะต้องให้เจ้าได้ตายแบบชิ้นส่วนครบสามสิบสองเป็นแน่” จี้ซ่งเฉิงกล่าว “ถูกหรือไม่?”
ท่านอ๋องลู่อยู่ที่ใด ทุกคนในเมืองหลวงล้วนกำลังถามหา ย่อมมีผู้ที่คิดว่านี่เป็นโอกาสอันดีที่จะได้เลื่อนขั้น ได้ลาภยศสรรเสริญ เพียรพยายามอย่างเต็มที่ในการค้นหาท่านอ๋องลู่กับฉีเซียวในที่ที่พวกเขาหายตัวไป
ขณะที่ทั้งเมืองหลวงกำลังวุ่นวาย ในที่สุดลู่อี้ก็กลับมา
ลู่อี้ไม่ได้กลับมาคนเดียว แต่เขายังพาชายหนุ่มผู้หนึ่งกลับมาด้วย
ชายหนุ่มดูแข็งแกร่งองอาจ เพียงแต่เขากลับดูใสซื่ออยู่บ้าง
เมื่อลู่อี้กลับมาถึงจวน ขุนนางทั้งพลเรือนและขุนนางทหารหลายร้อยคนก็ส่งคำขอเยี่ยมเยียน ลู่อี้ปฏิเสธไปทั้งหมด มีเพียงสหายไม่กี่คนและน้องชายเพียงผู้เดียวที่ได้พบเขาแล้ว
เมื่อฉีเจินมาเยือน ลู่อี้ก็ไม่ได้ปฏิเสธ
เหล่าบ่าวรับใช้ของฉีเจินส่งมอบของขวัญต่าง ๆ ให้
ลู่อี้ส่งสัญญาณให้คนของเขารับไป
“ใต้เท้าฉี ขออภัยจริง ๆ ข้าได้รับบาดเจ็บเล็กน้อย ตอนนี้ยังไม่หายดี เกรงว่าต้องนั่งทักทายท่านบนเตียงแล้ว”
“ท่านอ๋องลู่อย่าได้เกรงใจ พวกเราล้วนเป็นสหายเก่ากันทั้งนั้น จะพูดจาราวกับคนแปลกหน้าอย่างนี้ได้ที่ใด? เพียงแต่ วันนี้ข้ามาที่นี่เพื่อถามอะไรบางอย่าง ตอนนี้ฉีเซียวลูกพี่ลูกน้องผู้นั้นของข้าอยู่ที่ใดหรือ?”
“ข้าว่าแล้ว ท่านคงมาเพราะสหายฉีเซียว” ลู่อี้กล่าว “สหายฉีเซียวโรคเก่ากำเริบ บัดนี้เขาพักฟื้นอยู่ในหมู่บ้านที่ห่างไกลแห่งหนึ่ง ไม่อาจกลับมาได้ในระยะเวลาสั้น ๆ เพียงแต่ไม่มีปัญหา ข้ากลับมาแล้ว เรื่องในราชสำนักมีข้าคอยดูแล คิดว่าคงไม่วุ่นวายไปถึงที่นั่น ใต้เท้าฉี ท่านว่าถูกหรือไม่?”
“แน่นอน” ฉีเจินหัวเราะออกมา “น้องเซียวไม่เป็นไร ข้าในฐานะพี่ใหญ่ก็วางใจแล้ว เจ้าเด็กคนนั้นไม่เต็มใจจะแต่งงาน ข้าละเป็นห่วงเขาจริง ๆ!”
“สหายฉีเซียวในใจมีรักที่ยิ่งใหญ่ เขาไม่อาจแกล้งมีรักเล็กน้อยได้” ลู่อี้กล่าว “ใต้เท้าฉีวางใจ ด้วยรูปโฉมของสหายฉีเซียว สตรีในใต้หล้าผู้ใดบ้างไม่ใจสั่น จะหาผู้ที่พึงใจไม่ได้ได้อย่างไร?”
ฉีเจินเอ่ยถามอีกครั้ง “ท่านอ๋องลู่ได้รับบาดเจ็บได้อย่างไร?”
“ไม่ต้องเอ่ยถึงแล้ว วันนั้นข้าถูกทำร้าย ข้ารอดพ้นความตายมาได้อย่างหวุดหวิด นึกไม่ถึงว่าจะถูกเด็กผู้หนึ่งช่วยเอาไว้ ชีวิตข้าจึงไม่ถึงคราวจบสิ้น ข้าเพียงแค่หมดสติไปหลายเดือน ท้ายที่สุดจึงกลับมาจากประตูนรก”
หลังจากฉีเจินจากไป ลู่อี้ก็เอ่ยกับบ่าวรับใช้ “เมื่อครู่นี้ใต้เท้าฉีให้อะไรมาบ้าง?”
“โสมคน เห็ดหลินจือ และตัวยาคุณภาพสูงบางชนิดขอรับ”
“ให้ท่านหมอตรวจดูสักหน่อย หากไม่มีปัญหาก็เก็บเอาไว้”
ฉีเจินไม่ได้โง่เพียงนั้น ย่อมไม่ส่งยาพิษมาด้วยตนเอง ทว่าตรวจสอบเผื่อไว้ก็ไม่ผิดอะไร
ลู่เซวียนออกมาจากห้องข้าง ๆ แล้วเอ่ย “พี่ใหญ่ พี่ฉีเซียวไม่เป็นไรจริง ๆ หรือ?”
“เขาไม่เป็นไรจริง ๆ ทว่าเขาใช้กำลังภายในไป จำต้องพักฟื้นร่างกาย หากไม่ทำเช่นนั้น ใบหน้าหล่อ ๆ นั่นอาจจะกลายเป็นโครงกระดูก เพราะเขาจะตาย” ลู่อี้กล่าวด้วยความขุ่นเคือง “แก่ปูนนี้แล้ว ยังคิดว่าร่างกายตนทำจากเหล็ก ร่างกายของเขาทรุดโทรมมานานนม หากไม่ใช่เพราะเหตุการณ์ลอบสังหารครั้งนี้ ข้าคงไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเขาใกล้จะเป็นตะเกียงพร่องน้ำมันแล้ว”
“เช่นนั้น นานเพียงนี้ท่านถึงได้กลับมา จำต้องพักฟื้นจริง ๆ หรือว่ามีเหตุผลอื่นอีก?”
“ข้าใช้เวลาครึ่งเดือนพักรักษาอาการบาดเจ็บจริง ๆ แต่ภายหลังข้าไปที่อื่น” ลู่อี้กล่าว “เจ้ารู้จักพรรคเทพจันทราหรือไม่?”
“นั่นมันอะไรหรือ?”
พรรคเทพจันทราตั้งอยู่ในที่เล็ก ๆ เท่านั้น ไม่ปรากฏในเมืองหลวง ลู่เซวียนในฐานะขุนนางเมืองหลวง แน่นอนว่าย่อมไม่เคยได้ยินเรื่องนี้มาก่อน
หากลู่อี้ไม่ได้ออกจากเมืองหลวงไประยะหนึ่งครานี้ เกรงว่าคงจะไม่รู้ถึงการมีอยู่ขององค์กรดังกล่าว
“พรรคเทพจันทรานี้น่าสนใจยิ่ง เริ่มอาละวาดในหมู่ราษฎรมากขึ้นเรื่อย ๆ ทว่าหูตาในที่ต่าง ๆ ของเรากลับไม่ได้มารายงาน นี่หมายความว่าอย่างไร?”
“หูตาในที่ต่าง ๆ มากมายเพียงนั้น เป็นไปไม่ได้ที่พวกเขาจะทรยศทั้งหมด กล่าวได้เพียงว่ามีหนอนบ่อนไส้ในหมู่คนที่ทำหน้าที่รวบรวมและส่งมอบข่าวกรอง ปิดข่าวของพรรคเทพจันทราเอาไว้”
ไม่นานหลังจากลู่อี้กลับมาถึงเมืองหลวง เซี่ยเฉิงจิ่นลูกเขยผู้นี้ก็ได้ใช้ประโยชน์แล้ว
เขามอบการตรวจสอบหน่วยข่าวกรองของสกุลลู่ให้กับเซี่ยเฉิงจิ่นฮ่องเต้อาณาจักรเฟิ่งหลินผู้นี้จัดการ
หากเซี่ยเฉิงจิ่นยังไม่กลับอาณาจักรของตนเพียงหนึ่งวัน รั้งอยู่ที่นี่ก็ไม่ผิดอะไร แน่นอนว่าราชสำนักในอาณาจักรเฟิ่งหลินก็เกิดเรื่องเช่นกัน เรื่องสำคัญเร่งด่วนส่งข่าวทางไกลแปดร้อยลี้มาแล้ว ส่วนที่ไม่สำคัญก็มอบให้อัครเสนาบดีจัดการก่อนออกเดินทาง
เอ่ยถึงอัครเสนาบดีผู้นี้ เขามีภูมิหลังที่ยอดเยี่ยม นั่นคือจวงเฟ่ยเยี่ยนที่เซี่ยเฉิงจิ่นเคยพบครั้งติดคุกอยู่ที่อาณาจักรฮุ่ยผู้นั้น
ในตอนแรกอาณาจักรฮุ่ยพยายามเอาชนะใจจวงเฟ่ยเยี่ยนอย่างถึงที่สุด ทว่าเขายอมติดคุก ไม่ยอมเป็นขุนนางในราชสำนัก หลังจากเซี่ยเฉิงจิ่นร่วมมือกับฟ่านหยวนซีโจมตีอาณาจักรเหลียง เขาเอ่ยถึงจวงเฟ่ยเยี่ยนกับฟ่านหยวนซี จากนั้นจวงเฟ่ยเยี่ยนจึงถูกส่งตัวไปที่อาณาจักรเฟิ่งหลิน
นับตั้งแต่นั้นอาณาจักรเฟิ่งหลินก็ได้รับการสนับสนุนจากอัครเสนาบดีผู้นี้ ภายในเวลาเพียงไม่กี่ปี เศรษฐกิจและความแข็งแกร่งของอาณาจักรก็เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว
ลู่จื่ออวิ๋นปกปิดเรื่องการหายตัวไปของลู่อี้ บอกกับมู่ซืออวี่ว่าอาณาจักรเฟิ่งหลินมีเรื่องเร่งด่วนที่นางต้องกลับไปหารือ นางจึงต้องรุดกลับเมืองหลวงอาณาจักรฮุ่ยก่อน
มู่ซืออวี่ไม่ได้สงสัย เพียงจัดเตรียมคนไปส่งลู่จื่ออวิ๋นกลับเท่านั้น
คราวนี้ก็มีคาราวานของสกุลฉินเช่นกัน เพียงแต่ฉินเหวินหานได้จัดเตรียมคนสนิทของตนให้ ระหว่างทางมีคนคอยชี้แนะดูแลเช่นนี้ มู่ซืออวี่จึงสบายใจขึ้นมาบ้าง
ที่ดาดฟ้าเรือ เจิ้งซูอวี้มองร่างของลู่จื่ออวิ๋นแล้วกล่าวว่า “เด็ก ๆ เติบใหญ่ขึ้นแล้ว ค่อย ๆ ห่างออกไป พวกเราแก่แล้ว จากกันคราหนึ่ง โอกาสพบเจอก็น้อยลงคราหนึ่ง”
มู่ซืออวี่กระชับเสื้อคลุมให้นางแล้วเอ่ยด้วยความโกรธ “หมู่นี้เจ้ามักเอ่ยคำพูดน่าหดหู่เช่นนี้ เพียงแค่ถูกวางกู่พิษ กลับทำราวกับผู้ใดไม่เคยพบเจอความทุกข์ร้อน ก่อนหน้านี้ท่านหมอบอกเจ้าว่าอย่างไร บอกว่าเจ้าคิดมากไป ขอเพียงเจ้าผ่อนคลายลง มีท่านหมอจากหุบเขาเทพโอสถคอยรักษาให้ เจ้าอาจอยู่ได้ถึงเก้าสิบเก้าปีด้วยซ้ำ ภายหน้าเจ้ายังต้องอุ้มหลาน อุ้มเหลนอยู่นะ”
“ความคิดนั้นสวยงาม” เจิ้งซูอวี้ว่า “ร่างกายข้าเสื่อมโทรมแล้วยังคิดจะอุ้มหลานได้อยู่อีกหรือ? อีกอย่าง ถึงตอนนั้นข้าคงอุ้มเขาไม่ไหวแล้ว ไม่อยากอุ้ม แค่ได้พบหลาน ข้าก็พอใจแล้ว”
“วันนี้ข้าจะหยุดพักสักวัน ประเดี๋ยวพวกเราออกไปเดินเล่นกันเถิด”
“จริงสิ มีบางอย่างที่ข้าลืมบอกเจ้า หงซูกำลังจะมาแล้ว” เจิ้งซูอวี้กล่าว “ไม่ได้เจอมาหลายปีเพียงนี้ ไม่รู้ว่านางเป็นอย่างไรบ้าง? หลี่หงซู เจ้ายังจำได้หรือไม่?”
“เหตุใดจะจำไม่ได้เล่า?” มู่ซืออวี่เอ่ย “พอนึกถึงนางก็รู้สึกราวกับผ่านมาชาติหนึ่งแล้ว ครั้งสุดท้ายที่เราพบกัน นางยังเยาว์วัย ข้าก็ยังเยาว์วัย บัดนี้หรือ…”
เมืองฮู่เป่ยเป็นสถานที่ที่มู่ซืออวี่ลืมตาขึ้นมาก็ต้องใช้ชีวิต ที่นี่เป็นร่องรอยโชคลาภของนาง ร่องรอยความสัมพันธ์ของนาง อีกทั้งยังมีร่องรอยการให้กำเนิดลูกของนาง
แรกเริ่มมีเพียงลานหรรษา อย่างไรทุกวันนี้นางก็ยังรู้สึกว่าที่นี่ยังคงเป็นบ้านเกิดที่ดีที่สุด ถึงแม้ว่าบ้านเกิดแห่งนี้จะเป็นเพียงบ้านเกิดแห่งที่สอง ทว่าบ้านเกิดแห่งแรกไม่อาจกลับไปได้แล้ว อย่างน้อย ๆ รั้งอยู่ที่บ้านเกิดแห่งที่สองก็ยังดี
มู่ซืออวี่มองเจิ้งซูอวี้ที่มีผมหงอกแซมบนหน้าผาก จากนั้นก็มองดูสีหน้าซีดเผือดของนาง แววตาล่องลอย จิตใจเต็มไปด้วยความกังวล
สถานการณ์ของเจิ้งซูอวี้ไม่สู้ดีนัก
ท่านหมอไม่ได้กล่าวผิด นางเป็นไข้ใจตั้งแต่แรก
อย่างไรก็ตามมีคำกล่าวว่าป่วยกายนั้นรักษาได้ง่าย ทว่าป่วยใจนั้นรักษาได้ยากที่สุด ผ่านไปนานวันเข้า นึกไม่ถึงว่าจะสร้างความเสียหายร้ายแรงให้เจิ้งซูอวี้อย่างแท้จริง
“ซืออวี่” เจิ้งซูอวี้มองนาง “ข้ามีเรื่องหนึ่งอยากขอร้อง”
“เจ้าว่ามา”
“หากวันหนึ่งข้าไม่อยู่แล้ว เจ้าพาลูกสาวข้าไปด้วยเถอะ!” เจิ้งซูอวี้ยิ้มอย่างขมขื่น “รับนางเป็นลูกบุญธรรม ปฏิบัติต่อนางเสมือนบุตรสาวเจ้าครึ่งหนึ่ง”
“เจ้าพูดอะไรน่ะ?”
“ข้าจริงจัง” เจิ้งซูอวี้กล่าว “ข้าไม่รู้ว่าพ่อเขาจะแต่งงานใหม่หรือไม่ ทว่าเขาคงยุ่งอยู่กับงานทั้งวันแน่ เกรงว่าจะไม่มีเวลาดูแลลูก ลูกชายก็แล้วไปเถิด เลี้ยงง่ายหน่อย หากเป็นลูกสาว ข้าไม่วางใจ เจ้าไม่เหมือนกัน ดูสิว่าลูกสาวที่เจ้าเลี้ยงมาโดดเด่นเพียงใด! หากยัยหนูติดตามเจ้า ย่อมแตกต่างออกไป”
มู่ซืออวี่เกิดลางสังหรณ์ไม่ดีนัก
ครั้นสบตาเจิ้งซูอวี้ นางก็ทำได้เพียงรับปาก “ได้”
เจิ้งซูอวี้ยิ้มบาง ๆ “ขอบคุณเจ้าแล้ว”
“แต่ซูอวี้ เจ้ายังเด็กอยู่ อย่าได้พูดจาเหลวไหล”
“ไม่เด็กอีกต่อไปแล้ว” เจิ้งซูอวี้มองออกไปในท้องทะเล “สี่สิบแล้ว ซืออวี่”
ในยุคนี้ คนอายุสี่สิบปีไม่ใช่เด็กอีกต่อไปแล้ว
มารดาของเจิ้งซูอวี้เสียชีวิตในวัยสามสิบ การจากไปในวัยสี่สิบห้าสิบนับว่าเป็นเรื่องปกติในยุคนี้ ท้ายที่สุดแล้ว ชีวิตไม่ใช่เรื่องง่ายสำหรับทุกคน การมีชีวิตอยู่มากขึ้นสองสามปีหรือน้อยลงสองสามปีไม่ได้แปลกประหลาดอะไร
หลี่หงซูกลับมายังเมืองฮู่เป่ยพร้อมลูกชายหนึ่งคนและลูกสาวหนึ่งคน
นางเพิ่งสูญเสียสามีไปจึงสวมใส่เสื้อผ้าเรียบ ๆ ประดับดอกไม้ขาว
แม้อยู่ในวัยสี่สิบเช่นเดียวกัน แต่หลี่หงซูกลับดูเหมือนอายุเพียงสามสิบต้น ๆ ทว่าสามีนางจากไป สีหน้าของนางจึงปรากฏร่องรอยความโศกเศร้าอยู่จาง ๆ
เจิ้งซูอวี้ต้อนรับนาง ชวนครอบครัวพวกนางมาพักที่จวนฉิน
“ไม่ละ” หลี่หงซูกล่าวเสียงแผ่ว “ข้าให้บ่าวรับใช้ดูบ้านไว้แล้ว ซื้อบ้านหลังเก่าของข้ากลับมาได้พอดี ซูอวี้ ไยเจ้าถึงได้ดูซีดเซียวเพียงนี้เล่า?”
“ข้าป่วยมาระยะหนึ่งแล้ว ตอนนี้ข้ายังไม่อยู่ในสภาพที่พร้อม ก่อนหน้านี้เจ้ามักจะเปรียบเทียบความสวยและรูปร่างกับข้า ตอนนี้เจ้าเห็นว่าข้าแก่มากเพียงใด คงมีความสุขแล้วกระมัง?” เจิ้งซูอวี้เย้าแหย่
“ข้าไม่รู้ความตอนยังเยาว์ เจ้ายังจำได้อีกนะ!” หลี่หงซูหัวเราะ “ตอนนี้พวกเราล้วนเป็นแม่คนแล้ว จะยังมีนิสัยเด็ก ๆ เช่นนั้นได้อย่างไร? เห็นเจ้าซีดเซียวเช่นนี้ทำให้ข้ารู้สึกปวดใจแล้ว”