บทที่ 1053 ทำลายสาขาย่อย
บทที่ 1053 ทำลายสาขาย่อย
ฉินเหวินหานส่งข้อมูลที่ได้มาล่าสุดให้
มู่ซืออวี่มองดูแล้วยื่นให้ลู่เยี่ย “คืนนี้ลงมือเสีย”
ลู่เยี่ยรับแผ่นรายชื่อแล้วเดินออกไป
มู่ซืออวี่เอ่ยถามขึ้นว่า “ซ่งซูผู้นั้นเป็นอย่างไร? หมู่นี้ไม่ได้สร้างปัญหากระมัง?”
“ข้าถูกนางควบคุมมาครึ่งปีแล้ว ไม่รู้ว่านางยังอยู่เพื่อความรักหรือเพื่อคนรักของนาง นางจึงให้ความร่วมมือเป็นอย่างดี คราวนี้ที่หาสาขาย่อยหลายสาขาออกมาได้เป็นความดีความชอบของนาง” ฉินเหวินหานกล่าว “เพียงแต่การเก็บกวาดในคืนนี้ เรื่องที่นางทรยศพรรคเทพจันทราย่อมถูกเปิดเผย ภายหน้านางไม่มีประโยชน์อีกต่อไปแล้ว”
“ผู้ใดว่าเล่า? พวกท่านเล่นละครสักฉาก แสดงให้เห็นว่าท่านรู้ตัวตนของซ่งซูมานานแล้ว หลายวันมานี้เพียงแสร้งเล่นละครเพื่อหาตัวตนของพรรคเทพจันทรา เมื่อซ่งซูเห็นโฉมหน้าที่แท้จริงของท่านจึงหลบหนีไปพึ่งพาการปกป้องของพรรคเทพจันทรา เช่นนี้ ไม่แน่ว่าอาจจับปลาใหญ่ได้” มู่ซืออวี่กล่าว
“จะใช้ได้จริงหรือ?”
“ได้หรือไม่ก็ไม่ขาดทุน อย่างเลวร้ายที่สุดคือซ่งซูโดนพรรคพวกตนเองฆ่า หรือว่าท่านยังรู้สึกปวดใจ?” มู่ซืออวี่เอ่ยนิ่ง ๆ
“พระชายากล่าวได้ถูกต้องแล้ว” ฉินเหวินหานประกบมือขึ้น
ปวดใจหรือ?
แม้ว่าทุกคนบนโลกจะรู้สึกปวดใจเพราะนางปีศาจผู้นั้น เขาก็ไม่มีทางคล้อยตาม นางปีศาจผู้นั้นทำให้เขาเจ็บปวดมากว่าครึ่งปี อีกทั้งยังวางกู่พิษในร่างกายครอบครัวเขา ฉินเหวินหานไม่มีวันให้อภัยนาง
ฉินเหวินหานเอ่ยถึงเรื่องการค้าอีกครั้ง
ร้านค้าที่ถูกพรรคเทพจันทรากลืนกินไปก็ยึดคืนได้หมดแล้ว ทว่าเนื่องจากกิจการได้รับผลกระทบ จึงต้องใช้เวลานานในการฟื้นตัว ฉินเหวินหานหยิบกระดาษปึกหนึ่งออกมาแล้วผลักไปตรงหน้ามู่ซืออวี่
“นี่อะไร?”
“พระชายาเห็นแล้วก็จะรู้เองขอรับ”
มู่ซืออวี่อ่านดูแล้วเอ่ยว่า “ไยท่านให้เงินปันผลข้าโดยไร้เหตุผลเล่า?”
“ก็ไม่ใช่ไร้เหตุผลเสียทีเดียว” ฉินเหวินหานเอ่ย “หากไม่ใช่เพราะพระชายา ร้านเหล่านี้คงนำกลับคืนมาไม่ได้”
“พระชายาคิดว่าเงินปันผลน้อยเกินไปหรือ?”
“ข้าไม่ได้ทำอะไร กลับได้รับเงินปันผลทุกปี จะไม่ชอบเพราะมันน้อยไปได้อย่างไรกัน?” มู่ซืออวี่กล่าว “เอาอย่างนี้ หากท่านคิดจะขอบคุณข้าจริง ๆ ก็มอบเงินปันผลนี้ให้ยัยหนู ยัยหนูเป็นลูกบุญธรรมของข้า ภายหน้าต้องตระเตรียมสินเดิมไว้ เงินปันผลนี้ทำบัญชีแยกต่างหากเก็บไว้เป็นสินเดิมของยัยหนู”
“พระชายากล่าวเช่นนี้ เช่นนั้นข้าน้อยไม่เกรงใจแล้ว”
“ท่านไม่จำเป็นต้องเกรงใจข้า แม้ข้าจะช่วยท่านเรื่องนี้ ทว่าก็ยังมีอีกหลายกิจที่ข้าต้องการท่านในภายหน้า ข้าจะเก็บน้ำใจนี้ไว้ค่อย ๆ ใช้ ไม่ยอมปล่อยท่านไปง่าย ๆ เป็นแน่”
“พระชายามีอะไรจะกำชับเพียงแค่เอ่ยปากมา ถึงแม้ท่านจะให้ข้าบุกน้ำลุยไฟ ข้าน้อยก็จะทำตาม”
“เช่นนั้นตอนนี้ช่วยข้าแก้ปัญหาเรื่องไม้ก่อนเถอะ!” มู่ซืออวี่จดรายการ “นอกจากไม้แล้ว ยังต้องการเหล็กและหินอีกจำนวนหนึ่ง จำนวนนี้เป็นปัญหาของผู้อื่น แต่คงไม่เหนือบ่ากว่าแรงท่าน”
ฉินเหวินหานหยิบรายการขึ้นมาดูแล้วเอ่ย “ไม่มีปัญหาขอรับ”
เมื่อกลับถึงสกุลฉิน เด็กทั้งสองกำลังเล่นอยู่ในสวน
เมื่อยัยหนูเห็นฉินเหวินหานก็วิ่งเข้ามาหาด้วยความดีใจ
นางอยากจะโผเข้าหาตามปกติ ฉินเหวินหานก็กางแขนเตรียมพร้อมรับตัวนาง ทว่าจู่ ๆ นางก็หยุดลงกะทันหัน
“เป็นอะไร? ปกติไม่ใช่อยากให้พ่ออุ้มหรือ?”
“วันนี้ตอนที่ข้าโผเข้าหาท่านแม่ ท่านแม่เกือบล้มลงแล้ว ข้าไม่อาจกระทำการอย่างไม่ระวังเช่นนี้ได้ อย่างนี้จะทำให้คนบาดเจ็บ” เด็กน้อยเอ่ยด้วยสีหน้าจริงจัง
ฉินเหวินหานได้ยินว่าเจิ้งซูอวี้เกือบล้ม รอยยิ้มบนใบหน้าก็จางหายไป
“แม่เจ้าไม่เป็นไรกระมัง?”
“ท่านพ่อวางใจ ท่านแม่ไม่เป็นไรขอรับ” ฉินซินกล่าว
“ไม่เป็นไร พ่อเป็นบุรุษ ไม่ล้มแน่นอน” ฉินเหวินหานอุ้มลูกสาวขึ้นมาแล้วเอ่ยว่า “ยัยหนูหนักขึ้นแล้ว มิน่าเล่า แม่เจ้าจึงทำท่าว่าจะล้ม”
เด็กน้อยทำหน้าบูดบึ้ง กล่าวอย่างไม่พอใจ “ข้าไม่ได้หนักนะเจ้าคะ”
ถึงแม้จะอายุเพียงหกขวบครึ่ง ทว่านางก็ยังคงถือสาผู้อื่นที่บอกว่านางเป็นเจ้าอ้วนน้อย
“วันนี้สนุกมากใช่หรือไม่? เมื่อครู่พ่อได้ยินเสียงหัวเราะของเจ้าดังก่อนที่พ่อจะเข้ามาเสียอีก” ฉินเหวินหานถาม
“อื้อ พรุ่งนี้ข้ากับท่านพี่จะไปที่สำนักศึกษาเพื่อเรียนหนังสือแล้ว”
ฉินเหวินหานประหลาดใจ จึงหันกลับไปมองฉินซิน
ฉินซินบอกเขาว่า พี่น้องสกุลหยางกำลังจะไปเรียนที่สำนักศึกษา หลังจากยัยหนูได้ยินก็โวยวายอยากไปเรียนที่สำนักศึกษาด้วย ท่านแม่รับปากแล้ว วันนี้กำลังเตรียมของที่ใช้เล่าเรียนให้พวกเขา
“อันที่จริงก็ไปได้” ฉินเหวินหานกล่าว “ถึงแม้ท่านอาจารย์จะสอนดี ทว่ามีเพียงพวกเจ้าสองคนคงเหงาเล็กน้อย ยิ่งไปกว่านั้น เจ้ายังไม่เข้าใจตำราที่พี่ชายเจ้าศึกษาอยู่ ยากที่จะไม่รู้สึกเบื่อหน่าย”
ฉินเหวินหานพูดคุยกับลูกทั้งสองอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นก็นัดหมายกินหม้อไฟด้วยกันในตอนเย็น แล้วจึงไปหาเจิ้งซูอวี้
เจิ้งซูอวี้กำลังเย็บกระเป๋าใส่ตำราเรียน เมื่อเห็นเขาเข้ามา จึงเอ่ยว่า “กลับมาแล้วหรือ ไยวันนี้กลับมาเร็วเพียงนี้?”
“ในร้านไม่มีอะไรมาก ข้าจึงกลับมาเร็ว ๆ เพื่อทานอาหารเย็นกับพวกเจ้า ข้าเพิ่งกำชับห้องครัว ตอนเย็นพวกเราจะทานหม้อไฟกัน จะได้มีชีวิตชีวาสักหน่อย” ฉินเหวินหานหยิบเสื้อคลุมข้างตัวมาสวมให้นาง
“ใช่แล้ว ครอบครัวเราไม่ได้ทานอาหารอย่างครึกครื้นมานานแล้ว” เจิ้งซูอวี้กล่าว “อีกอย่าง วันนี้ลูก ๆ กับเด็ก ๆ ครอบครัวหงซูไปดูต้นเฟิง พวกเขาดูสนุกทีเดียว”
“พวกเขาอายุเท่ากันน่าจะเล่นด้วยกันได้ เด็กสกุลหยางทั้งสองเพิ่งมายังเมืองฮู่เป่ย จะได้ทำความรู้จักกันไว้ ให้ซินเอ๋อร์พาพวกเขาไปทำความคุ้นเคยกับสภาพแวดล้อม”
สองสามีภรรยาพูดคุยกันถึงเรื่องที่เกิดขึ้น ราวกับว่าความบาดหมางก่อนหน้านี้ไม่เคยมีอยู่
อันที่จริงก็ไม่มีอยู่จริงตั้งแต่แรก
นั่นเป็นการทดสอบที่เหลือของชีวิตคู่ของพวกเขา พวกเขาล้วนผ่านการทดสอบแล้ว หากยังเก็บมาโมโห เช่นนั้นคงเป็นการทำลายโชคดีแล้ว
เจิ้งซูอวี้เอ่ยถึงเรื่องที่หลี่หงซูอยากเกี่ยวดองกันขึ้นมาอีกครั้ง
“สามารถเข้าใจได้ ความคิดเช่นนี้ของนางก็เหมือนกับเจ้าที่ฝากฝังลูกสาวของตนไว้กับพระชายา พวกเจ้าล้วนเป็นห่วงลูก ๆ จึงต้องการหาผู้สนับสนุนที่มีเบื้องหลังใหญ่กว่าไว้ให้พวกเขา”
“ท่าน…” เจิ้งซูอวี้มองเขาด้วยความประหลาดใจ
“ไม่โทษบ่าว วันนั้นข้ากลับมาเร็ว บังเอิญได้ยินบทสนทนาระหว่างเจ้ากับพระชายาเข้าพอดี ข้าให้บ่าวเงียบไว้ เขาจึงไม่ได้รายงาน”
“ข้าก็เข้าใจนางเช่นกัน ดังนั้นข้าจึงไม่คิดว่านางทำอะไรผิด ในฐานะมารดา พวกเราต่างเป็นห่วงลูก ๆ อยากให้ลูกได้มีอนาคตที่ดี” เจิ้งซูอวี้กล่าว “เพียงแต่ข้าไม่อาจใช้ลูกสาวของตนช่วยเหลือนางได้ เรื่องนี้เดิมทีไม่จำเป็นต้องบอกท่าน แต่ข้าคิดว่านี่ไม่ใช่เพียงเรื่องเล็กน้อย หากวันหนึ่งข้าไม่อยู่แล้ว…”
“อย่าได้พูดจาเหลวไหล” ฉินเหวินหานขัดคำภรรยา
เจิ้งซูอวี้ยิ้มน้อย ๆ ไม่กล่าวอะไรอีก
ฉินเหวินหานดึงนางเข้ามากอด
เขาเข้าใจความกังวลของภรรยารัก นางกลัวว่าหลังจากนางจากไป เขาจะแต่งงานกับผู้อื่น เช่นนั้นสถานะของลูกทั้งสองคงกระอักกระอ่วนยิ่ง บัดนี้ยัยหนูเป็นลูกบุญธรรมของพระชายา หากแม่เลี้ยงกล้าปฏิบัติกับยัยหนูไม่ดี พระชายาจะเป็นคนตัดสินแทนนาง หากพระชายาไม่ได้มีสถานะแม่บุญธรรม ถึงแม้นางจะมีสถานะสูงศักดิ์เพียงใดก็ไม่อาจยุ่งเกี่ยวกับเรื่องในบ้านสกุลฉินได้
ในฐานะมารดาผู้หนึ่ง เจิ้งซูอวี้วางแผนไว้เพื่อลูก ๆ ของนางมากมายจริง ๆ
อันที่จริงนางคิดกับเขาเช่นนี้ก็เท่ากับไม่ไว้ใจเขาเช่นกัน ฉินเหวินหานควรตำหนินาง ทว่าเมื่อเห็นใบหน้าซีดเซียวนั่น เขาก็ทนไม่ได้ที่จะกล่าวถ้อยคำรุนแรง
“เรื่องวันนี้ฮูหยินหยางคงไม่ยินดีกับสิ่งที่เกิดนัก ภายหน้าเด็ก ๆ ต้องเล่าเรียนด้วยกัน ไม่สู้เชิญนางมาทานมื้อค่ำที่บ้านดีหรือไม่?”
“ไม่จำเป็น” เจิ้งซูอวี้กล่าว “นางเป็นคนฉลาด ย่อมไม่ดันทุรังกับเรื่องเล็ก ๆ น้อย ๆ เช่นนี้”
วันถัดมา สามีภรรยาสกุลฉินก็พาลูกทั้งสองไปที่ ‘สำนักศึกษาฮู่เป่ย’
สำนักศึกษาฮู่เป่ยรับเด็กอายุสามถึงสิบสองปี ทั้งเด็กชายและเด็กหญิง หากอายุมากกว่านั้นต้องไปที่สำนักบัณฑิตฮู่เป่ยที่อยู่ติดกัน
อย่างไรก็ตาม สำนักบัณฑิตฮู่เป่ยแบ่งแยกออกเป็นฝั่งบุรุษและฝั่งสตรี ฝั่งบุรุษเพื่อสอบขุนนางได้ลาภยศชื่อเสียง ฝั่งสตรีก็สอนเช่นเดียวกับฝั่งบุรุษ อย่างไรก็ตาม ชายหนุ่มและหญิงสาวล้วนเติบใหญ่แล้ว ยังคงควรหลีกเลี่ยงข้อครหาเพื่อไม่ให้เสื่อมเสียชื่อเสียง
เมื่อพวกเขามาถึง หลี่หงซูก็พาลูกทั้งสองคนเดินเข้ามาพอดี
ทั้งสองครอบครัวพบหน้า ย่อมไม่อาจเลี่ยงไม่ทักทายกัน
“นายท่านฉินนับวันยิ่งกระฉับกระเฉงขึ้นเรื่อย ๆ แล้ว” หลี่หงซูกล่าว “ภายหน้าอยู่ในเมืองฮู่เป่ย ย่อมเลี่ยงที่จะไม่รบกวนใต้เท้าฉินไม่ได้ ใต้เท้าฉินอย่าได้ถือสาที่เราส่งเสียงดัง”
“หากฮูหยินต้องการทะเลาะกับคนก็เป็นเรื่องของสตรี ไม่เกี่ยวกับข้า” ฉินเหวินหานกล่าว “อย่าได้ให้ท่านอาจารย์ต้องรอนานเลย พวกเราเข้าไปเถอะ!”
“ย่อมได้”
หลี่หงซูและเจิ้งซูอวี้เดินเคียงข้างกันเข้าไป
เด็ก ๆ เดินตามไปข้างหลัง
ท่านอาจารย์รับเด็กทั้งสี่คนไว้ จัดให้พวกเขาอยู่ในชั้นเรียนเดียวกัน
ขณะที่พวกเขากำลังจะกลับก็เห็นมู่ซืออวี่เข้ามาพร้อมกับบ่าวรับใช้
“พระชายามาได้อย่างไร?” ฉินเหวินหานเอ่ยถาม
“ได้ยินมาว่าที่สำนักบัณฑิตมีผู้เชี่ยวชาญด้านบัญชีอยู่หลายคน ข้ามาที่นี่เพื่อรับสมัครคน”
นับตั้งแต่หลี่หงซูกลับมา นี่เป็นครั้งแรกที่นางได้พบมู่ซืออวี่ เมื่อเห็นว่าหน้าตาของมู่ซืออวี่ไม่เปลี่ยนแปลง ทั้งยังดูเยาว์วัยกว่าตนเองนับสิบปีก็อดตกตะลึงไม่ได้
นางรีบถวายคำนับทันที
“ไม่ต้องมากพิธี ข้าจะเข้าไปหาท่านอาจารย์ พวกท่านตามสะดวกเถิด”
“เพียงแค่รับคนไม่กี่คน ต้องให้เจ้าออกหน้าด้วยตนเองเลยหรือ?” เจิ้งซูอวี้ถาม
“แน่นอนว่ายังมีเรื่องอื่นให้พูดคุย” มู่ซืออวี่เอ่ย “หาได้ยากที่เจ้าจะออกมา อยากเข้าไปกับข้าหรือไม่?”
เจิ้งซูอวี้พลันนึกถึงตอนที่ตนต่อสู้เคียงข้างมู่ซืออวี่ขึ้นมาทันใด ได้ยินแล้วจึงพยักหน้าให้ “เอาสิ!”
ทั้งยังทิ้งฉินเหวินหานและหลี่หงซูเอาไว้ตรงนั้น
แน่นอนว่าฉินเหวินหานไม่อาจอยู่ตามลำพังกับหลี่หงซูได้ เขาจึงบอกว่ามีเรื่องอื่นต้องทำแล้วจากไป ปล่อยให้หลี่หงซูยืนกลืนไม่เข้าคายไม่ออกอยู่ผู้เดียว
“ไม่เช่นนั้น ฮูหยินหยางมาด้วยกันดีหรือไม่?” มู่ซืออวี่ถาม
หลี่หงซูกล่าว “เช่นนั้นผู้น้อยขอตามพระชายาไปเปิดหูเปิดตาแล้ว”
มู่ซืออวี่พาทั้งสองไปพบกับท่านอาจารย์
ความจริงแล้วก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร เพียงแค่ลานหรรษาของนางเกือบจะปรับปรุงเสร็จแล้ว ทว่ายังต้องการคนมาดูแล นางได้ยินมาว่ามีผู้เชี่ยวชาญด้านบัญชีเก่ง ๆ อยู่ในสำนักบัณฑิตจึงอยากมารับสมัคร
ไม่ใช่บัณฑิตทุกคนในโลกที่ต้องการสอบขุนนางมีลาภยศชื่อเสียง ถึงแม้จะต้องการก็ขึ้นอยู่กับว่าพวกเขามีสติปัญญาและความสามารถหรือไม่ ดังนั้นส่วนใหญ่จึงยังคงต้องการลู่ทางที่ดี ทันทีที่มู่ซืออวี่เปิดรับสมัคร บัณฑิตทั้งหลายล้วนจิตใจหวั่นไหว พวกเขาต่างต้องการทำงานให้พระชายาลู่ในทันที
โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากทำได้ดีก็สามารถเลื่อนตำแหน่งเข้าไปที่ส่วนกลางในเมืองหลวงได้ นั่นหมายความว่าพวกเขาไม่ต้องเข้าสอบขุนนางก็สามารถเป็นคนของพระชายาลู่ได้
“ท่านเจ้าสำนัก ท่านอาจารย์ทุกท่าน เมืองฮู่เป่ยเป็นบ้านเกิดของข้าและสามี บัณฑิตที่นี่ก็เป็นคนบ้านเกิดเดียวกันของพวกเรา นับจากนี้ไป บัณฑิตจากสำนักบัณฑิต ขอเพียงมีบุคลิกที่ดีก็สามารถมาที่จวนลู่อ๋องเพื่อแนะนำตนเองได้ แน่นอนว่าจะได้รับหน้าที่สำคัญหรือไม่ ย่อมขึ้นอยู่กับความสามารถของพวกท่านแล้ว”
“ขอบคุณพระชายาที่ดูแลขอรับ”
นี่เป็นเรื่องที่น่ายินดีอย่างยิ่งสำหรับสำนักบัณฑิต