สาวนาผู้เป็นมารดาของครอบครัวตัวร้าย – บทที่ 1055 มอบให้ท่าน ทุกอย่างล้วนมอบให้ท่าน

สาวนาผู้เป็นมารดาของครอบครัวตัวร้าย

บทที่ 1055 มอบให้ท่าน ทุกอย่างล้วนมอบให้ท่าน

บทที่ 1055 มอบให้ท่าน ทุกอย่างล้วนมอบให้ท่าน

เมื่อได้ยินฉีเซียวกล่าวเช่นนั้น นางก็พอเดาว่าการเก็บกวาดครั้งนี้เพิ่มอุปสรรคให้เขาแล้ว จึงอดรู้สึกผิดไม่ได้

“ท่านมาเมืองฮู่เป่ยตั้งแต่เมื่อใด?”

“ราว ๆ ยี่สิบวัน”

“เช่นนั้นท่านตรวจสอบอะไรได้บ้าง?”

“ตรวจสอบพบหลายอย่าง ทว่ายุ่งยากเล็กน้อย ข้าจึงต้องขอยืมคนจากเจ้า”

ฉีเซียวจะยืมคนจากสกุลลู่ไม่ใช่เรื่องยากอะไร เพียงแต่เขากลับอยากยืมจูเฉิน

“ท่านจะให้จูเฉินทำอะไร?”

“เขาเป็นหน้าใหม่ บุกเข้าไปในค่ายของศัตรูได้ง่ายดายกว่า”

“ไม่ได้ เขาไม่มีแม้แต่แรงจะฆ่าไก่ ข้าไม่วางใจ”

นั่นเป็นลูกชายคนโตของท่านอาจู เป็นความสุขของแม่ของนาง หากเกิดอะไรขึ้นกับเขาในมือนาง จะใช้ได้อย่างไร?

“ข้าจะคุ้มครองเขาให้ปลอดภัย”

“ไม่ได้ แม้กระทั่งตนเองท่านยังปกป้องไม่ได้เลย”

“ข้ารับปาก ใช้เวลาเพียงแค่สิบวันเท่านั้น สิบวันให้หลังข้าจะคืนเขาให้เจ้า” ฉีเซียวเอ่ย “ข้าเคยโกหกเจ้าเมื่อไหร่?”

มู่ซืออวี่เริ่มลังเล

ผู้อื่นนั้นยืมได้ ทว่าจูเฉินมีสถานะพิเศษ นางจึงไม่กล้าเสี่ยงแม้แต่น้อย

ฉีเซียวกล่าว “ข้าวางแผนไว้นานแล้ว เพียงแค่รอคน จูเฉินเป็นหน้าใหม่ เหมาะที่จะรับหน้าที่นี้สุด นอกจากนี้ข้าพบว่าเขาฉลาดมาก ดังนั้นอย่าได้ประเมินเขาต่ำไป”

“ถึงแม้ข้าจะไม่เข้าใจว่าเหตุใดท่านยืนกรานจะใช้จูเฉิน ทว่าท่านเอ่ยถึงขนาดนี้ ข้าย่อมไม่อาจปฏิเสธ” มู่ซืออวี่เอ่ย “ข้าจะให้ท่านยืม ท่านต้องการสิ่งใดข้าจะให้ท่านยืมทุกอย่าง”

“เหตุผลที่ต้องการจูเฉิน เพราะว่าเราต้องการชายหนุ่มวัยนี้มาเป็นเหยื่อล่อ นอกจากนั้น เด็กคนนี้ยังฉลาด ทั้งยังเก่งในการสังเกตสีหน้าคน ยามนี้เขาเป็นตัวเลือกที่เหมาะสมที่สุด”

ฉีเซียวมีหน้าที่รับผิดชอบในการจัดการพรรคเทพจันทรา ดังนั้นฉินเหวินหานมีสิ่งใดเพียงแค่รายงานต่อเขาโดยตรง มู่ซืออวี่จึงกลายเป็นเจ้าของร้านในนาม เพียงทำการค้าของนางต่อไปโดยไม่เข้าไปยุ่งเกี่ยวกับเรื่องในราชสำนัก

วันที่สาม มู่ซืออวี่ตื่นขึ้นมาจากการหลับใหล

นางลุกขึ้นยืน จุดเทียน มองชายเลือดโซมกายผู้หนึ่งโผล่ออกมาจากห้องลับ

“ฉีเซียว!”

ก่อนที่ฉีเซียวจะหมดสติไป เขาได้ยินเสียงมู่ซืออวี่จึงเอ่ยอย่างอ่อนแรง “อย่าตะโกน ข้าไม่มีเรี่ยวแรง โกรธไปก็ไม่มีประโยชน์ ทนเห็นข้าบาดเจ็บเช่นนี้แล้วยังคิดจะตีข้าอีก”

“เด็ก ๆ เด็ก ๆ!”

มู่ซืออวี่ไม่รู้ว่าฉีเซียวได้รับบาดเจ็บส่วนใดจึงไม่กล้าแตะต้องตัวเขา

โดยปกตินางไม่มีคนคอยเฝ้า ยามนี้เมื่อได้ยินเสียงนาง ผู้คุ้มกันลับที่ซ่อนตัวอยู่ข้างนอกจึงโผล่ออกมา แล้วพาท่านหมอในจวนมาทันที

“ท่านหมอ เป็นอย่างไรบ้าง?”

“พระชายาวางใจ นายท่านผู้นี้ไม่ได้รับบาดเจ็บสาหัส เลือดบนตัวเขาคงเป็นของผู้อื่น” ท่านหมอกล่าว “ข้าจะทำแผลให้เขา กินยาสองสามวันจึงจะหาย อาการบาดเจ็บภายนอกก็หายแล้ว เพียงแต่พระชายา โรคเก่าของนายท่านผู้นี้อาการหนักยิ่งนัก ถึงแม้เขาจะดูสุขภาพดี ทว่าจริง ๆ แล้วคงเป็นอาการบาดเจ็บสาหัสตั้งแต่อายุน้อย ๆ ดังนั้นปกติควรลงมือให้น้อยลง บำรุงกำลังให้มาก ไม่เช่นนั้นร่างกายและกระดูกนี้เกรงว่า…”

จะอยู่ได้อีกเพียงไม่กี่ปีแล้ว

คำนี้เขาไม่กล้าเอ่ยออกไป ทว่ามู่ซืออวี่ฉลาดเพียงนี้จะไม่เข้าใจได้อย่างไร?

นอกจากนี้ นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่ได้ยินคำพูดเช่นนี้

นางบอกคนในจวนฉีให้พวกเขาจับตาดูฉีเซียวให้ดี ทว่าคนผู้นี้ผู้ใดจะควบคุมเขาได้?

“ไม่เป็นไรก็ดีแล้ว ท่านเขียนใบสั่งยาเถอะ”

ฉีเซียวตื่นขึ้นมาในวันรุ่งขึ้น

พอตื่นขึ้นมา เขาก็เห็นมู่ซืออวี่นอนอยู่ข้างเตียงจึงคิดจะเดินจากไปเงียบ ๆ ทว่าเกรงว่าจะรบกวนนาง จึงทำได้เพียงนอนลงอย่างว่าง่ายเท่านั้น

เมื่อเขาเคลื่อนไหว มู่ซืออวี่จึงตื่นขึ้นมา

นางลุกขึ้นนั่ง มองเขาด้วยความงุนงง “ตื่นแล้วหรือ?”

“ตื่นแล้ว ข้าก็ควรต้องไปแล้ว” ฉีเซียวคิดจะลุกขึ้น

“ข้าแนะนำให้ท่านอยู่เฉย ๆ ไม่อย่างนั้นข้าจะมัดท่านด้วยเชือก ทำให้ท่านไปไหนไม่ได้”

“เรื่องของพรรคเทพจันทรายังรอให้ข้าไปจัดการ” ฉีเซียวกล่าว “ข้าเอาแต่นอนอยู่ที่นี่ไม่ได้”

“น้องชายข้าเล่า?” มู่ซืออวี่ถาม

“วางใจ เขาสบายดี ยังไม่ถูกเปิดโปง” ฉีเซียวกล่าว “มีคนในสาขาย่อยที่ข้าจับตามองอยู่ คงใกล้จะติดต่อกับผู้นำของพรรคเทพจันทราแล้ว หากเราจับเขาได้ คงได้รู้ว่าผู้ที่อยู่เบื้องหลังเป็นใคร”

“นั่นก็ต้องมีชีวิตอยู่เพื่อตามตัวเขาออกมา ท่านดูสิว่าท่านกลายเป็นอย่างไรไปแล้ว”

“ให้เวลาข้าอีกสามวัน ข้าจะต้อง…”

“รักษาชีวิตก่อนเถอะ”

“พระชายา น้องชายเจ้ายังอยู่ข้างใน” เมื่อเห็นว่านางไม่รับปาก ฉีเซียวจึงโยนไพ่ตายออกมา

มู่ซืออวี่เงียบไปครู่หนึ่ง ก่อนเอ่ยว่า “ท่านยืมน้องชายข้าไป ข้าว่าคงไม่ใช่เพื่อจัดการคนพรรคเทพจันทรา หากแต่ไว้ใช้จัดการกับข้ามากกว่า”

“พระชายาฉลาดยิ่งนัก ทว่ารู้ตอนนี้ก็สายไปแล้ว” ฉีเซียวกล่าว “วางใจเถิด อาการบาดเจ็บของข้าไม่ร้ายแรง อีกอย่าง ข้าไม่จำเป็นต้องลงมือเอง เพียงแค่คอยวางแผนเท่านั้น รอสามวัน ข้าจะพาเขากลับมา”

มู่ซืออวี่ปล่อยมือจากเขา

ทันทีที่นางปล่อย ฉีเซียวกลับนอนลง

“ท่านไม่ได้กำลังจะไปหรือ?” มู่ซืออวี่เห็นว่าเขาไม่ขยับก็งุนงง “ตอนนี้จะนอนลงไปทำอะไร?”

“ตอนแรกข้าค่อนข้างประทับใจ แต่เมื่อเห็นว่าเจ้าห่วงใยชีวิตและความเป็นความตายของน้องชายเจ้า ไม่ลังเลที่จะผลักไสข้าที่บาดเจ็บออกไป ข้าพลันรู้สึกไม่สบายใจเล็กน้อย ข้าจะนอนลงครู่หนึ่ง อย่างน้อยก็ให้ข้ารู้สึกดีขึ้นก่อนออกไปข้างนอก”

ชิงไต้เดินเข้ามาพร้อมยาต้ม

“ยาปรุงเสร็จแล้วเจ้าค่ะ พอเหมาะที่จะดื่มพอดี หากยังล่าช้าอีกเช่นนั้นคงเย็นแล้ว”

“ปรนนิบัติใต้เท้าฉีดื่มเถอะ!”

“เจ้าค่ะ”

“เจ๋อหลานเล่า?”

“พี่หญิงเจ๋อหลานไปหาท่านหมอให้ปรุงยาเจ้าค่ะ” ชิงไต้กล่าว “พี่หญิงเจ๋อหลานบอกว่าใต้เท้าฉีฟื้นแล้วต้องออกไปข้างนอกอย่างแน่นอน เขาไม่สะดวกต้มยาตอนอยู่ข้างนอก หากเปลี่ยนเป็นยาเม็ดได้คงดี นางจึงไปเฝ้าท่านหมอให้ทำยาเม็ดภายในชั่วข้ามคืนเจ้าค่ะ”

หลังจากฉีเซียวดื่มยาและรับประทานอาหารเช้า เจ๋อหลานก็ปรากฏตัวขึ้นพร้อมกับยาเม็ด

“แม่นางเจ๋อหลานงดงามทั้งภายนอกภายในจริง ๆ” ฉีเซียวกล่าวชม “ขอบคุณ”

มู่ซืออวี่มองเจ๋อหลานที มองฉีเซียวที

ฉีเซียวดีดลงบนหน้าผากนาง “อย่าได้คิดฟุ้งซ่าน อย่าได้จับคู่ไปเรื่อย”

เจ๋อหลานหน้าแดงเรื่อขึ้นมาด้วยความเขินอาย

มู่ซืออวี่มองตามหลังฉีเซียวแล้วเอ่ยว่า “ข้ายังไม่ได้กล่าวอะไร ไยเขาถึงรู้ไปเสียทุกอย่างเล่า?”

“พระชายาหลายปีมานี้มักจะพาคนมาสังสรรค์ต่อหน้าใต้เท้าฉี บางครั้งยามเบื่อหน่ายขึ้นมาก็จะทดสอบดูว่าเขาต้องการสร้างครอบครัวมีลูกหรือไม่ นับประสาอะไรกับใต้เท้าฉี แม้แต่พวกบ่าวยังรู้ความคิดของท่าน”

“พระชายา บ่าวคิดว่าใต้เท้าฉีคงไม่แต่งงาน” เจ๋อหลานกล่าว

“เพราะเหตุใด?”

“ภายในใจเขาไม่อาจเก็บความรักเล็ก ๆ ไว้ได้เจ้าค่ะ”

มู่ซืออวี่คนโจ๊กในมือแล้วเอ่ย “ข้าคิดว่าคงเป็นเพราะสุขภาพของเขา เขาจึงไม่อยากทำร้ายผู้อื่น น่าเสียดาย ใบหน้าที่งดงามเช่นนี้ไม่อาจสืบทอดต่อไปได้”

สาวใช้ทั้งสอง “…”

พระชายาของพวกเขาเห็นใจคนผู้นี้ หรือเห็นใจใบหน้านั้นกันแน่?

ณ เมืองหลวง ฉีซืออี้ลงจากรถม้า มองดูถนนที่คึกคักไปด้วยผู้คนเบื้องหน้า

“คุณหนู ในที่สุดพวกเราก็กลับมาแล้ว” สาวใช้ที่อยู่ข้าง ๆ เอ่ยขึ้น “ท่านลำบากมาตลอดทาง กลับไปพักผ่อนที่จวนก่อนเถอะเจ้าค่ะ!”

“อืม” ฉีซืออี้กลับมาถึงจวนแล้ว

ฉู่หนิงจูเข้ามาต้อนรับนาง มองดูลูกสาวที่สวมหมวกม่านโปร่งตรงหน้าแล้วเอ่ยถาม “ใบหน้าเจ้าเป็นอย่างไรบ้าง?”

“ท่านแม่ ข้าเพิ่งกลับมา มีที่ใดกันมาถามเรื่องใบหน้าข้าตรง ๆ?” ฉีซืออี้ยกผ้าคลุมหน้าขึ้น เผยให้เห็นใบหน้าที่กระจ่างและงดงามยิ่งกว่าเดิม

“ไม่เป็นไรก็ดีแล้ว” ฉู่จูหนิงถอนหายใจออกมาเบา ๆ “ด้วยระยะเวลา เจ้าไม่ควรกลับมาเร็วเพียงนี้ ไยจึงกลับมาเร็วนักเล่า?”

“ข้าโชคดี ระหว่างทางได้พบหมอเทวดา” ฉีซืออี้เอ่ย “ไม่เช่นนั้นข้าจะกลับมาเร็วเพียงนี้ได้อย่างไร?”

“จริงหรือ?” ฉู่หนิงจูถาม “หมอเทวดาเช่นใดกัน?”

“ท่านแม่ก็จริง ๆ เลย มีอะไรให้รีบร้อนกัน?” ฉีซืออี้กล่าว “หมอเทวดากลับมาพร้อมกับเรา เพียงแต่นางมีสหายเก่าอยู่ในเมืองหลวง ดังนั้นจึงไม่ได้มาอาศัยอยู่ที่จวนฉี”

“เอาละ ไม่ว่าอย่างไร ใบหน้าของเจ้าไม่เป็นอะไรก็เป็นเรื่องดีมาก ดูสิ เจ้าผอมหมดแล้ว ข้าจะให้ห้องครัวทำอาหารอร่อย ๆ เพื่อชดเชยให้เจ้า”

“ท่านแม่ ใต้เท้าลู่น้อยไม่อยู่เมืองหลวงหรือ?”

ฉู่หนิงจูขมวดคิ้ว “ไยเจ้ายังถามถึงเขาอยู่อีก?”

เพื่อบุรุษเช่นนั้น ชีวิตนี้เกือบพังพินาศแล้ว ถึงแม้ฉู่หนิงจูจะรู้ว่าไม่ควรตำหนิเขา ทว่าก็ยังคงไม่อยากให้ฉีซืออี้ไปข้องเกี่ยวกับบุรุษสกุลลู่

บางครั้งฉู่หนิงจูก็สงสัยว่า พวกนางสองแม่ลูกมีดวงขัดแย้งกับบุรุษแซ่ลู่หรือไม่ ทั้งสองจึงตกอยู่ในเงื้อมมือของคนแซ่ลู่เช่นนี้

“ข้าชอบเขา แน่นอนว่าข้าต้องสนใจว่าเขาอยู่ที่ใด”

“เขาแต่งงานแล้ว เหตุใดเจ้าถึงยังคิดถึงเรื่องนี้อีกเล่า? ซืออี้ บิดาเจ้าคือฉีเจิน ในฐานะบุตรสาวภรรยาเอกของจวนฉี เจ้าไม่มีทางเป็นอนุของผู้อื่นเป็นอันขาด”

สิงเจียเวยเดินมาพร้อมกับสาวใช้ของนาง แล้วเอ่ยเบา ๆ “พี่หญิง ข้าได้ยินว่าคุณหนูใหญ่กลับมาแล้ว น้องหญิงจึงมาทักทายเป็นพิเศษ ไม่ได้รบกวนพวกท่านแม่ลูกพูดคุยกันกระมัง?”

ฉู่หนิงจูเห็นคนที่เดินเข้ามา สีหน้านางพลันไม่น่าดูชม

สิงเจียเวยอายุอานามสามารถเป็นลูกสาวของฉีเจินได้ ทว่าสุดท้ายนางกลับกลายมาเป็นอนุของฉีเจินโดยบังเอิญ ไม่เพียงเท่านั้น ก่อนหน้านี้ฉีเจินเคยไม่แยแสนาง ทว่าเมื่อเร็ว ๆ นี้ ไม่ทราบด้วยเหตุใด เขาจึงโปรดปรานนางเป็นพิเศษ เมื่อเห็นว่าท้องของสิงเจียเวยเริ่มยื่นออกมาจึงได้รู้ว่านางกำลังอาศัยลูกในท้องอวดศักดาอยู่ในจวนฉี ไม่เหลือเค้านกกระทาไม่กล้าขยับตัวก่อนหน้านี้แม้แต่น้อย

“ไยเจ้าไม่ดูแลครรภ์ดี ๆ ออกมาทำอะไร?” ฉู่หนิงจูกล่าว

“ขอบคุณฮูหยินที่เป็นห่วง” สิงเจียเวยกล่าวยิ้ม ๆ “นายท่านบอกไว้แล้ว ข้าไม่อาจอุดอู้อยู่แต่ในเรือนตลอดเวลาได้ ข้าควรออกไปเดินเล่นบ้าง อย่างนี้จึงจะดีต่อเด็ก”

“เพียงเพราะพ่อข้าให้เจ้าออกไปเดินเล่น ไม่ได้หมายความว่าพบฮูหยินแล้วก็ไม่ต้องมีมารยาท ได้ยินว่าสกุลสิงก็เป็นสกุลขุนนางเช่นกัน เช่นนี้ ไยแม้กระทั่งกฎเล็กน้อยนี้ยังไม่เข้าใจเล่า?”

ฉีซืออี้กล่าวเสียงนุ่ม ดูสง่ายิ่ง อีกทั้งยังมีรอยยิ้มประดับใบหน้า ไม่เหมือนกำลังทำให้ผู้อื่นลำบากแม้แต่น้อย ท่าทีอย่างบุตรสาวภรรยาเอกมีสง่าราศีทีเดียว ทั้งยังมากกว่าฉู่หนิงจูเสียอีก

“คารวะพี่หญิง”

“พี่หญิงอะไร?” ฉีซืออี้กล่าวต่อไป “มารดาข้าไม่มีน้องสาวแซ่สิง ตั้งแต่โบราณมาอนุก็เป็นเพียงอนุ มีที่ใดเรียกนายหญิงเป็นพี่สาว?”

สิงเจียเวยคุกเข่าลง “ฮูหยิน คุณหนูใหญ่ ข้าน้อยไม่สบาย เกรงว่าคุณชายน้อยในท้องจะก่อกวน ข้าขอตัวก่อนแล้ว”

ฉีซืออี้อยากจะพูดมากกว่านี้ ทว่าถูกฉู่หนิงจูปรามเอาไว้

ฉู่หนิงจูส่ายหัวแล้วเอ่ย “ทำไมต้องจริงจังกับนางด้วยเล่า เพียงแค่นางอนุ ไม่อาจสร้างคลื่นใหญ่โตอะไรได้ หากนางจงใจใช้เด็กในท้องมาหาเรื่อง บิดาของเจ้าจะลงโทษเจ้าเอาได้”

“ไม่ต้องเอ่ยถึงว่าเป็นเด็กชายหรือเด็กหญิง ถึงแม้เป็นเด็กชายก็ยังเป็นลูกนอกสมรส ลูกนอกสมรสที่ท่านพ่อรักมากที่สุดคือเจ้าของเรือนตะวันออกนั่น ลูกคนนี้ของนางคลอดออกมาก็ไม่ได้ประโยชน์อะไร มีอะไรให้ภูมิใจกัน?”

“นั่นเป็นลูกคนโตของบิดาเจ้า เกรงว่านางจะพิเศษกว่าผู้อื่นไปอีกระยะหนึ่ง นอกจากนี้เจ้าบอกเองไม่ใช่หรือ ไม่ว่าจะเป็นบุรุษหรือสตรีก็เป็นลูกนอกสมรส เช่นนั้น มีอะไรให้สนใจกัน” ฉู่หนิงจูคว้ามือลูกสาวไปกุม “ข้าว่าเจ้าคงโกรธเป็นพิเศษเพราะนางแซ่สิง เมื่อก่อนเคยพบอนุยั่วยุมาก็มาก กลับไม่เคยเห็นเจ้าสูญเสียความเยือกเย็นเช่นนี้มาก่อน”

“ท่านแม่เข้าใจข้า” ฉีซืออี้เอ่ย “ข้าเห็นคนแซ่สิงแล้วขัดตายิ่ง”

ฉีซืออี้กลับมาแล้ว ฉีเจินจึงจัดงานเลี้ยงสังสรรค์ในครอบครัวทันที ทั้งภรรยาเอก อนุ และลูก ๆ ทุกคนล้วนมารวมตัวกัน

สิงเจียเวยคุกเข่าลง “ฮูหยิน คุณหนูใหญ่ ข้าน้อยไม่สบาย เกรงว่าคุณชายน้อยในท้องจะก่อกวน ข้าขอตัวก่อนแล้ว”

ฉีซืออี้อยากจะพูดมากกว่านี้ ทว่าถูกฉู่หนิงจูปรามเอาไว้

ฉู่หนิงจูส่ายหัวแล้วเอ่ย “ทำไมต้องจริงจังกับนางด้วยเล่า เพียงแค่นางอนุ ไม่อาจสร้างคลื่นใหญ่โตอะไรได้ หากนางจงใจใช้เด็กในท้องมาหาเรื่อง บิดาของเจ้าจะลงโทษเจ้าเอาได้”

“ไม่ต้องเอ่ยถึงว่าเป็นเด็กชายหรือเด็กหญิง ถึงแม้เป็นเด็กชายก็ยังเป็นลูกนอกสมรส ลูกนอกสมรสที่ท่านพ่อรักมากที่สุดคือเจ้าของเรือนตะวันออกนั่น ลูกคนนี้ของนางคลอดออกมาก็ไม่ได้ประโยชน์อะไร มีอะไรให้ภูมิใจกัน?”

“นั่นเป็นลูกคนโตของบิดาเจ้า เกรงว่านางจะพิเศษกว่าผู้อื่นไปอีกระยะหนึ่ง นอกจากนี้เจ้าบอกเองไม่ใช่หรือ ไม่ว่าจะเป็นบุรุษหรือสตรีก็เป็นลูกนอกสมรส เช่นนั้น มีอะไรให้สนใจกัน” ฉู่หนิงจูคว้ามือลูกสาวไปกุม “ข้าว่าเจ้าคงโกรธเป็นพิเศษเพราะนางแซ่สิง เมื่อก่อนเคยพบอนุยั่วยุมาก็มาก กลับไม่เคยเห็นเจ้าสูญเสียความเยือกเย็นเช่นนี้มาก่อน”

“ท่านแม่เข้าใจข้า” ฉีซืออี้เอ่ย “ข้าเห็นคนแซ่สิงแล้วขัดตายิ่ง”

ฉีซืออี้กลับมาแล้ว ฉีเจินจึงจัดงานเลี้ยงสังสรรค์ในครอบครัวทันที ทั้งภรรยาเอก อนุ และลูก ๆ ทุกคนล้วนมารวมตัวกัน

“อี้เอ๋อร์กลับมาแล้ว ทุกคนอยู่ที่นี่พอดี พวกเรามาหารือเรื่องการแต่งงานของอี้เอ๋อร์ดีกว่า” ฉีเจินกล่าว “ข้ามอง ๆ ให้อี้เอ๋อร์บ้างแล้ว สถานะของสกุลนั้นคู่ควรกับอี้เอ๋อร์ของเรา เพียงแต่…”

“นายท่าน เรื่องนี้เกี่ยวกับการแต่งงานของลูกสาว ไยท่านไม่บอกข้าล่วงหน้า?” ฉู่หนิงจูถาม

“ตอนนี้ข้าไม่ได้กำลังเอ่ยถึงหรือ?” ฉีเจินเอ่ย “เพียงแค่หารือกัน ยังไม่ได้ตัดสินใจ เจ้าจะกังวลถึงเพียงนี้ไปไย นอกจากนี้ อี้เอ๋อร์เป็นบุตรสาวภรรยาเอก เจ้ายังห่วงอยู่หรือว่าข้าจะเลือกให้นางแบบลวก ๆ?”

“ข้าไม่แต่ง” ฉีซืออี้เอ่ย “ท่านพ่อ ข้ายังเล็ก ยังอยากอยู่กับพวกท่านอีกสักสองปีอยู่เลยเจ้าค่ะ”

ผู้ที่ฉีเจินเลือกให้นางยามนี้ไม่ใช่ลู่ฉาวอวี่อย่างแน่นอน ในเมื่อไม่ใช่เขา เกรงว่าทั่วหล้านี้แม้เป็นเทพเซียน นางก็คงไม่ถูกใจ

“ลูกพี่ลูกน้องของเจ้าที่วัยพอ ๆ กับเจ้ามีลูกแล้ว เจ้ายังเด็กอยู่หรือ? หากต้องแต่งงานไปชายแดนเพื่อลำบากลำบน ข้าคงไม่แต่งเจ้าออกไป” ฉีเจินกล่าว “สรุปคือ ข้าคิดว่าการแต่งงานครั้งนี้ใช้ได้”

สาวนาผู้เป็นมารดาของครอบครัวตัวร้าย

สาวนาผู้เป็นมารดาของครอบครัวตัวร้าย

Status: Ongoing
ใครกล้าทำร้ายวายร้ายตัวน้อยทั้งสอง ภรรยาตัวร้ายอย่างข้าไม่ปล่อยไว้แน่

นิยายแนะนำ

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท