บทที่ 1056 เขาเป็นคุณชายสกุลใด?
บทที่ 1056 เขาเป็นคุณชายสกุลใด?
“นายท่าน ท่านเอ่ยมานานแล้ว แต่พวกเรายังไม่รู้ว่าเป็นคุณชายสกุลใด” ฉู่หนิงจูกล่าว “นายท่านพึงพอใจเพียงนี้ คิดว่าคงเป็นคู่ครองที่คู่ควรกับซืออี้ของเราเป็นแน่”
ฉีซืออี้ยังคงอยากปฏิเสธ ทว่าหลังจากได้รับสัญญาณจากฉู่หนิงจู นางจึงทำได้เพียงอดทน
ฉีเจินดูพึงพอใจกับการแต่งงานครั้งนี้จริง ๆ เมื่อเอ่ยถึงการแต่งงานครั้งนี้ ใบหน้าของเขาก็เต็มไปด้วยรอยยิ้ม
“อี้อ๋องฟ่านซู่” ฉีเจินกล่าว “อี้เอ๋อร์แต่งไปก็เป็นพระชายา นี่คู่ควรกับสถานะของนางแล้วกระมัง? การแต่งงานที่ดีเช่นนี้ ทั่วทั้งเมืองหลวงหาไม่ได้อีกแล้ว”
ท้ายที่สุด ท่านอ๋องคนอื่น ๆ ก็มีอายุมากแล้ว ไม่มีผู้ใดเหมือนอี้อ๋องที่เพิ่งได้รับสืบทอดบรรดาศักดิ์ของ ‘เสด็จพ่อ’ นอกจากนี้สถานะของฟ่านซู่นั้นพิเศษ หลายปีที่ผ่านมาจึงไม่ได้มีการหารือเรื่องการแต่งงาน
“ยินดีกับคุณหนูใหญ่ด้วยเจ้าค่ะ” สิงเจียเวยกล่าวเบา ๆ “อี้อ๋องยังหนุ่ม เป็นผู้มีพรสวรรค์ผู้หนึ่ง เหมาะกับคุณหนูใหญ่ราวกับกิ่งทองใบหยก เป็นคู่ที่สวรรค์ประทานมาจริง ๆ นายท่านหาคู่ครองที่ดีเพียงนี้ให้กับคุณหนูใหญ่ได้แล้ว”
อนุของฉีเจิน หรือก็คืออนุจางมารดาผู้ให้กำเนิดฉีเว่ยเจี๋ยเอ่ยขึ้น “ในเมื่อเป็นอย่างนี้ คุณหนูใหญ่ต้องติดตามอี้อ๋องไปยังที่ศักดินาหรือไม่เจ้าคะ? เช่นนั้นเกรงว่าฮูหยินจะตัดใจไม่ได้นะเจ้าคะ”
“ท่านพ่อ เหตุใดท่านจึงต้องแต่งพี่หญิงออกไปในที่ห่างไกลเพียงนั้นเล่าขอรับ?” ฉีเว่ยฟางเอ่ย “นอกจากนี้ สถานการณ์ของอี้อ๋องผู้นี้ ผู้ใดไม่รู้บ้าง? เขากับกบฏในตอนนั้นเป็น…”
“หุบปาก!” ฉีเจินโมโหขึ้นมา “เรื่องเช่นนี้เป็นเรื่องที่เจ้าเอ่ยได้หรือ? เขาได้รับบรรดาศักดิ์อี้อ๋อง นั่นคือผู้สืบทอดของอี้อ๋อง เรื่องอื่นผู้ใดกล้าเอ่ยถึง นั่นไม่เท่ากับเป็นปฏิปักษ์กับฝ่าบาทหรือ? เจ้าโตถึงเพียงนี้แล้ว ไม่รู้หรือว่าหน้าต่างมีหูประตูมีช่อง หากถ้อยคำเหล่านี้ไปถึงฝ่าบาท พวกเราทั้งสกุลล้วนต้องลำบาก”
“เอาละ” ฮูหยินผู้เฒ่าฉีก้าวเข้ามาคลี่คลาย “เขาอายุเท่าใดเอง เจ้าเพียงสอนเขาก็เป็นอันใช้ได้แล้ว เจ้าใหญ่ เด็กมันไม่รู้ความ ไยเจ้าก็ไม่รู้ความเช่นกัน? ต่อไปอะไรไม่ควรเอ่ย อะไรควรเอ่ย นั่นต้องสอนลูก เจ้าดูเว่ยเจี๋ย แต่ไรมาเขาไม่เคยกล่าวเรื่องเหลวไหลไร้สาระ ท้ายที่สุดแล้ว ยังไม่ใช่มารดาเขาอบรมสั่งสอนได้ดีรึ”
“ท่านแม่กล่าวได้ถูกต้องแล้ว” ฉู่หนิงจูเอ่ย “เพียงแต่ท่านแม่ เว่ยเจี๋ยก็เป็นลูกของข้าเช่นกัน กล่าวได้เพียงว่าฟางเอ๋อร์มีนิสัยอิสระเสรีมากกว่า ภายหน้าข้าจะสั่งสอนเขาให้ดีเจ้าค่ะ”
อนุจางกล่าว “เจี๋ยเอ๋อร์ทำให้ฮูหยินต้องกังวลแล้ว ไม่รู้ว่าเจี๋ยเอ๋อร์ต้องให้ฮูหยินดูแลมากมายเพียงใด ข้ารู้สึกขอบคุณจริง ๆ”
สิงเจียเวยเฝ้ามองภรรยาเอกและอนุต่อสู้กันแล้วลอบเยาะเย้ย
อนุจางสามารถให้กำเนิดลูกชายคนโตซึ่งเป็นที่โปรดปรานได้ อยู่เรือนหลังยังข่มฮูหยินใหญ่ ดังคาด อีกฝ่ายไม่ใช่ตะเกียงประหยัดน้ำมันจริง ๆ
อย่างไรก็ตาม นางก็จะไม่ให้พวกนางข่มได้เช่นกัน
นี่เป็นลูกชายคนเล็กของนายท่าน ภายหน้าเขาจะต้องได้รับความโปรดปรานยิ่งกว่าอย่างแน่นอน
“อี้อ๋องยินดีจริง ๆ หรือ? เหตุใดข้าได้ยินว่าอี้อ๋องสนใจคุณหนูรองสกุลลู่เล่า?” ฉู่หนิงจูหยิบผ้าเช็ดหน้าขึ้นเช็ดมุมปาก
ประกายแปลกประหลาดแวบขึ้นมาในแววตาของฉีซืออี้
ใช่แล้ว การแต่งงานครั้งนี้คงจะไม่ทำให้พ่อของนางต้องแบกรับภาระโกนหัวเองกระมัง? ถึงแม้นางจะไม่ได้กลับเมืองหลวงมานาน ทว่าก็พอได้ยินมาบ้างว่าอี้อ๋องรู้สึกพิเศษต่อคุณหนูรองลู่
“นั่นเป็นเพียงข่าวลือ” ฉีเจินกล่าว “นอกจากนี้ พวกเจ้าคิดว่าท่านอ๋องลู่จะแต่งลูกสาวของเขาให้อี้อ๋องหรือ?”
เป็นไปไม่ได้
ประโยคนี้ผุดขึ้นมาภายในใจทุกคน
ฉีซืออี้อดไม่ได้ที่จะโกรธเคือง
ท่านอ๋องลู่ไม่ยอมแต่งลูกสาวตนกับคนผู้นั้น แล้วเหตุใดบิดานางจึงเห็นด้วย?
อี้อ๋องนั้นกล่าวอย่างน่าฟังว่าเป็นอี้อ๋อง ทว่าสถานะของเขากลับกระอักกระอ่วนยิ่ง ไม่มีขุนนางคนใดในราชสำนักกล้าผูกมิตรกับเขา แต่งงานกับคนเช่นนี้จะมีประโยชน์อะไร?
ระหว่างงานเลี้ยงครอบครัว ทุกคนต่างมีความคิดของตนเอง
เดิมทีฉีซืออี้ตั้งใจจะปรึกษาหาทางรับมือกับฉู่หนิงจู ทว่าฉีเจินดูเหมือนจะเข้าใจความคิดของแม่ลูกจึงไปหาฉู่หนิงจูที่ห้องหลังจากเลี้ยงจบลง
“พี่หญิง รีบร้อนอะไร? อย่างมากก็เพียงหนีการแต่งงานเท่านั้น” ฉีเว่ยฟางกล่าว
“สมองของเจ้ากำลังคิดอะไรอยู่?” ฉีซืออี้โมโหหัวฟัดหัวเหวี่ยง “หากหนีงานแต่ง ทั้งสกุลฉีจะไม่ขายขี้หน้าหรือ? ข้าไม่สนใจผู้อื่นได้ แต่เจ้ากับท่านแม่ ข้าไม่สนใจได้หรือ? หรือว่าข้าหนีไปแล้วจะให้พวกเจ้าที่อยู่เมืองหลวงถูกผู้อื่นดูหมิ่น? นอกจากนี้ หากสตรีผู้หนึ่งหนีการแต่งงาน ชั่วชีวิตนี้ข้าคงไม่มีหน้าไปพบใครแล้ว”
“ไม่หนีก็ต้องแต่งงาน ท่านเต็มใจแต่งหรือ? ข้าห่วงใยแต่ท่าน แต่ท่านกลับโหดร้ายกับข้า” ฉีเว่ยฟางเอ่ยอย่างไม่พอใจ “ลืมเสียเถิด ท่านคิดเองเถอะ ข้าไม่สนแล้ว”
สิงเจียเวยเดินเข้ามาแล้วกล่าวเบา ๆ “คุณหนูใหญ่ไยต้องกังวล อี้อ๋องมีพรสวรรค์ยิ่ง เป็นมังกรในหมู่คน”
เป็นสตรีจากสกุลขุนนางเช่นเดียวกัน แต่สิงเจียเวยกลับได้แต่งเป็นอนุ หากนางแต่งให้อี้อ๋องได้ อย่างน้อยก็ได้เป็นพระชายา เช่นนั้นยามอยู่ต่อหน้าสิงเจียซือก็ไม่นับว่าด้อยกว่ากันนัก
บัดนี้คิดดูแล้วช่างรู้สึกเสียดายจริง ๆ เหตุใดตอนนั้นนางถึงไม่นึกถึงอี้อ๋องเล่า? เห็นได้ชัดว่าบุรุษผู้นี้อยู่ในเมืองหลวงก็กระตือรือร้นเป็นอย่างมาก ทว่าน้อยคนนักที่จะสังเกตเห็นการมีอยู่ของเขา
“เจ้าเป็นเพียงอนุผู้หนึ่ง ถึงคราวเจ้ามาห่วงเรื่องคู่หมั้นข้าแล้วหรือ?” ฉีซืออี้กำลังอารมณ์ไม่ดี นางไม่แม้แต่จะรักษาไมตรีผิวเผินเสียด้วยซ้ำ จึงต่อว่าสิงเจียเวยแล้วกลับไปที่ห้องตน
อนุจางเดินเข้ามาแล้วเอ่ย “น้องหญิงจิตใจดี ทว่าคุณหนูใหญ่เป็นคนอารมณ์ร้อน ย่อมฟังไม่ออกถึงความมีน้ำใจของท่าน ปล่อยนางเอาไว้ ดูแลคุณชายน้อยในท้องของเจ้าให้ดีจึงจะใช้ได้”
“พี่หญิงกล่าวได้ถูกต้องจริง ๆ” สิงเจียเวยถอนหายใจเบาๆ “คุณหนูใหญ่นี่อารมณ์ร้ายยิ่งนัก หากกลายเป็นพระชายาจริง ๆ เกรงว่า…”
“ท้องของน้องหญิงค่อนข้างแหลม คิดว่าคงเป็นคุณชายน้อยแล้ว”
“ผู้ใดจะรู้ ไม่มีผู้ใดบอกได้จนกว่าจะคลอด แต่พี่หญิงเป็นคนโชคดี ดังนั้น ข้าขอเชื่อคำพูดดี ๆ ของท่านแล้ว”
หลังจากฉีซืออี้กลับห้องไปแล้ว นางยิ่งคิดก็ยิ่งหงุดหงิด
“คุณหนู เหตุใดจึงทำเช่นนี้เจ้าคะ?” สาวใช้ที่อยู่ข้าง ๆ เอ่ยขึ้น “ใบหน้าเพิ่งหายดี บัดนี้กลับกังวล โกรธมากเข้าจะทำร้ายร่างกายเอาได้นะเจ้าคะ”
ฉีซืออี้กล่าว “หากข้าแต่งออกไปแล้วก็ต้องออกจากเมืองหลวงไปที่ศักดินา”
“ข้าได้ยินว่าอี้อ๋องได้รับความเคารพอย่างสุดซึ้งจากฝ่าบาท ดังนั้นที่ศักดินาจึงได้ชื่อว่าเมืองอี้ ภาษีที่นั่นต่ำที่สุด แสดงให้เห็นว่าฝ่าบาทให้ความสำคัญต่ออี้อ๋องเพียงใด”
“ที่เจ้าเอ่ยถึงนั้นเป็นอี้อ๋องคนก่อน ทว่าอี้อ๋องคนปัจจุบันเป็นเพียงโจร…” กบฏ
นับตั้งแต่โบราณมา ผู้ชนะคือฮ่องเต้ ผู้แพ้เป็นโจร หากบิดาผู้ให้กำเนิดอี้อ๋องกลายเป็นผู้ชนะในท้ายที่สุด ตอนนี้เขาคงได้เป็นองค์รัชทายาทแห่งตำหนักบูรพา ทว่าเพราะเขาแพ้ อี้อ๋องจึงเป็นได้เพียงหนูข้างถนน กล่าวถึงอี้อ๋องแล้ว ผู้ใดจะเห็นเขาอยู่ในสายตาเล่า? จนบัดนี้ เขายังไม่ได้รับหน้าที่ในราชสำนัก เป็นเพียงท่านอ๋องในนามเท่านั้น
“คุณหนู…” สาวใช้อีกคนเข้ามา “คนที่เพิ่งส่งออกไปกลับมาแจ้งว่าแม่นางจื่ออิ๋งถูกคู่หมั้นของนางไล่ออกมา บัดนี้กำลังเมาอยู่ที่โรงเหล้าเจ้าค่ะ”
“จัดเตรียมคนไปพานางกลับมา”
“เจ้าค่ะ”
สาวใช้อีกคนเอ่ยถาม “คุณหนู แม่นางจื่ออิ๋งรักษาใบหน้าของท่านแล้ว ทักษะการแพทย์ของนางไม่ได้ด้อยไปกว่าคนของหุบเขาเทพโอสถเลย หากมีนางอยู่เคียงข้างก็จะช่วยท่านได้มากนะเจ้าคะ”
“นั่นก็ขึ้นอยู่กับว่านางจะเต็มใจหรือไม่”
“ก่อนหน้านี้ไม่เต็มใจอย่างแน่นอน ตอนนี้ นางไม่มีคนคอยเกื้อหนุนแล้ว อยู่เมืองหลวงก็ไม่มีที่ไป หากติดตามคุณหนูได้ นั่นก็เป็นโชคดีของนาง”
“เจ้าอย่าลืมว่านางมีทักษะทางการแพทย์ที่ดี เจ้าว่านางมีทักษะทางการแพทย์ที่ดีเพียงนั้น จะไร้หนทางได้อย่างไร?” ฉีซืออี้กล่าว “อย่างไรนางก็รักษาใบหน้าข้า ข้าจะช่วยนางสักครั้ง ถือว่าเป็นความสัมพันธ์อันดี อย่างอื่นรอนางสร่างแล้วค่อยว่ากันเถอะ!”
ณ วังหลัง ซ่างกวนจินซิ่วยกอาหารเย็นมา เมื่อเห็นว่าฟ่านหยวนซียังคงยุ่งอยู่กับการตรวจทานฎีกา นางจึงเอ่ยว่า “ดึกเพียงนี้แล้ว ฝ่าบาทควรเข้านอนได้แล้วกระมังเพคะ”
ฟ่านหยวนซีตวัดลายเส้นสุดท้าย รับถ้วยจากมือนาง แล้วเอ่ยว่า “อย่างอื่นจัดการง่าย แต่วันนี้ข้าเจอเรื่องยุ่งยากแก่การจัดการเล็กน้อย”
“เรื่องอะไรหรือ? บอกข้าได้หรือไม่เพคะ?”
“ในเมื่อเปิดปากมาแล้ว แน่นอนว่าย่อมบอกเจ้าได้” ฟ่านหยวนซีกล่าว “อี้อ๋องฟ่านซู่ขอพระราชทานสมรสกับฉีซืออี้คุณหนูใหญ่จวนฉีเจิน”
“ได้ยินมาว่าคุณหนูใหญ่สกุลฉีชมชอบใต้เท้าลู่น้อย ส่วนคนในใจฟ่านซู่คือคุณหนูรองจวนลู่ไม่ใช่หรือเพคะ? สองคนนี้มาจับคู่กันได้อย่างไร?”
“ขนาดเจ้ายังรู้ แน่นอนว่าข้าเคยได้ยินเรื่องนี้ ดังนั้นเมื่อข้าเห็นฎีกาขอพระราชทานสมรสครั้งนี้ ข้าพลันนิ่งงันอยู่ครู่หนึ่ง หากอนุญาตให้แต่งได้ เช่นนั้นจะไม่มีคู่สามีภรรยาที่ไม่พอใจกันขึ้นมาอีกคู่หนึ่งอีกหรือ?”
“อี้อ๋องทำเช่นนี้ เขายอมแพ้เรื่องชิงเอ๋อร์แล้วหรือเพคะ?”
“ข้าคิดว่าเป็นไปได้ ชิงเอ๋อร์ นังหนูผู้นั้นเป็นคนที่รักอิสระไร้กังวล ทว่าก็ชัดเจนว่านางชอบและไม่ชอบผู้ใด ข้าคิดว่าฟ่านซู่ไร้วาสนา เขาเองก็น่าจะมองออกแล้วเช่นกัน”
“ถึงแม้เขาจะยอมแพ้ แต่คุณหนูใหญ่จวนฉีผู้นั้นคงไม่ได้ยอมแพ้ง่ายดาย ไม่นานมานี้ก็วุ่นวายถึงเพียงนั้น ดูไม่เหมือนว่านางจะยอมแพ้เลยสักนิด”
“ดังนั้นการแต่งงานนี้…”
“การแต่งงานครั้งนี้ไม่อาจพระราชทานได้”
ฟ่านหยวนซีทานอาหารมื้อค่ำ มองฎีกาตรงหน้า
“เรื่องที่ลำบากเพียงนี้ ปล่อยเป็นหน้าที่ท่านอ๋องลู่เถอะ!”
ซ่างกวนจิ่นซิ่วไม่รู้ว่าจะหัวเราะหรือร้องไห้ดี “ท่านอ๋องลู่เพิ่งกลับมาก็ต้องทนกับความยุ่งเหยิงวุ่นวายที่ท่านโยนให้แล้ว”
“เขาเกียจคร้านมานานเพียงนี้ ถึงเวลาที่เขาต้องกังวลบ้าง เขาผลักดันให้ข้านั่งบนบัลลังก์ ตกลงกันไว้ตั้งแต่แรกแล้วว่าจะช่วยข้าแบกครึ่งหนึ่ง”
ซ่างกวนจิ่นซิ่วปิดปากหัวเราะเบา ๆ
“เอาละ ฮองเฮา ข้าเหนื่อยแล้ว ไปเถอะ พวกเราไปพักผ่อนกัน”
เช้าวันรุ่งขึ้น ลู่อี้กลับมายังสถานที่สะสางธุระ ทันทีที่เขานั่งลงก็เห็นฎีกาบนโต๊ะ ฎีกานี้แตกต่างออกไปจากฎีกาเล่มอื่น ๆ ตรงที่ถูกเปิดเอาไว้
คนธรรมดาไม่มีความกล้าที่จะมองดูฎีกา ถึงแม้จะดูก็ต้องวางกลับคืนอย่างเดิม ความแตกต่างดังกล่าวจะต้องเป็นเพราะเจตนาเป็นแน่
ลู่อี้อ่านเนื้อหาอย่างละเอียดและเข้าใจอย่างชัดเจน
ดังนั้นเขาจึงเขียนลงไปสองคำ ‘ไม่อนุญาต’
“ผู้ใดก็ได้” เขาเอ่ยขึ้นมา
“ขอรับท่านอ๋อง”
“ส่งฎีกานี้ไปที่จวนอี้อ๋อง”
“ขอรับ”
ณ จวนอี้อ๋อง ฟ่านซู่เล่นกับปิ่นหยกที่อยู่ในมือ
ปิ่นหยกนี้ทั้งเล็กและสั้น เห็นได้ชัดว่าไม่เหมาะกับบุรุษที่เป็นผู้ใหญ่อย่างเขา
ปิ่นหยกนี้คุณภาพดีเยี่ยม ทว่าสำหรับคนอย่างเขา นั่นไม่นับเป็นอะไรเลย ขอเพียงเขาต้องการก็สามารถมีปิ่นหยกที่ดีกว่านี้ได้เป็นพันเท่าหมื่นเท่า
“ท่านอ๋อง มีคนส่งฎีกามาให้ขอรับ”
“นำมา”
ฟ่านซู่เปิดฎีกาแล้วเห็นคำที่คุ้นเคยสองคำในนั้น ‘ไม่อนุญาต’
ลายมือของท่านอ๋องลู่
ครั้งหนึ่งฟ่านซู่เคยชื่นชมท่านอ๋องลู่เป็นอย่างมาก จนแอบเรียนรู้ตัวอักษรอันวิจิตรและอากัปกิริยาท่าทีของอีกฝ่าย
บางครั้งเขาก็คิดว่าจะดีเพียงใดหากท่านอ๋องลู่เป็นบิดาของตนเอง เขาต้องดีกว่าลู่ฉาวอวี่ และคงไม่เป็นเช่นนี้อย่างแน่นอน
“สมกับเป็นท่านอ๋องลู่จริง ๆ”