บทที่ 1057 มาขอสมรสพระราชทาน
บทที่ 1057 มาขอสมรสพระราชทาน
“ท่านอ๋อง นี่เป็นฎีกาขอพระราชทานสมรสของท่านไม่ใช่หรือ?” พ่อบ้านที่อยู่ข้าง ๆ เอ่ยถาม
“อืม”
“เห็นชอบแล้วหรือขอรับ?”
“ไม่เห็นชอบ”
“เช่นนั้นเราจะทำอย่างไรดี? บัดนี้ท่านได้สืบทอดบรรดาศักดิ์แล้ว ท่านต้องไปยังที่ศักดินาทันที หากได้รับพระราชทานสมรสแล้วย้ายไปยังที่ศักดินาหลังแต่งงานย่อมเป็นเรื่องดี เหตุใดจึงไม่เห็นชอบเล่า?”
ฟ่านซู่เอ่ยนิ่ง ๆ “ไม่เห็นชอบก็เป็นเรื่องธรรมดา”
หากเห็นชอบแล้ว เขายังต้องใคร่ครวญว่ามีแผนอื่นหรือไม่ อีกฝ่ายจะเห็นชอบอย่างมั่นใจเช่นนั้นได้อย่างไรกัน?
“ไม่เช่นนั้น เชิญใต้เท้าฉีเจินให้ยื่นฎีกาอีกครั้งเป็นอย่างไรขอรับ?”
“ข้าต้องการแต่งงานกับคุณหนูใหญ่จวนฉี การให้ฉีเจินยื่นฎีกามีหมายความว่าอย่างไร? คงไม่ใช่คุณหนูใหญ่จวนฉีรีบร้อนอยากแต่งให้ข้าหรือ?” ฟ่านซู่กล่าว “เตรียมของขวัญ ข้าจะไปเยี่ยมเยียนท่านอ๋องลู่”
ลู่อี้เพิ่งกลับถึงจวนก็เห็นหน้าประตูมีของห่อน้อยใหญ่กระจัดกระจายอยู่ บ่าวรับใช้ต่างยิ้มแย้มแจ่มใส เบิกบานใจยิ่ง จึงเอ่ยถาม “พระชายา กลับมาแล้วหรือ”
บ่าวรับใช้ตอบ “คุณชายใหญ่ ฮูหยินน้อย และคุณหนูรองกลับมาแล้วขอรับ”
ลู่อี้ “…”
เฮ้อ! ฮูหยินไร้หัวใจผู้นั้นยังไม่กลับมา
เขาไม่เคยพบเห็นสตรีใดวางใจสามีที่บ้านถึงเพียงนี้
หรือว่าเพราะเขาแก่แล้ว ในสายตาของนางจึงคิดว่าไม่มีผู้ใดต้องการ ถึงได้ไม่จำเป็นต้องจับตามองเขาอยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน?
ไม่ถูกสิ ตอนที่เขายังหนุ่มนางก็ไม่ได้จับตามองเขามากนัก หญิงผู้นั้นจดจ่ออยู่กับงาน เดิมทีก็ไม่กังวลว่าสามีที่บ้านจะปีนกำแพงไปหาแมวจรจัดหรือไม่
“ท่านอ๋อง ท่านคิดถึงพระชายาหรือขอรับ?” พ่อบ้านที่อยู่ข้าง ๆ ถามอย่างไม่มั่นใจ เมื่อเห็นสีหน้าของลู่อี้แปรเปลี่ยนไปมาครั้งแล้วครั้งเล่า
ลู่อี้เหลือบมองเขาแล้วกล่าวอย่างใจเย็น “คุณชายใหญ่ของพวกเจ้ากลับมานานเพียงใดแล้ว?”
“ยอมกลับมาแล้วหรือ?” ลู่อี้พูดอย่างไม่พอใจ “คราวนี้ออกไปข้างนอกเที่ยวเล่นสบายใจหรือไม่เล่า?”
“สนุกมากเลยเจ้าค่ะ ติดตามพี่ใหญ่ข้าได้เห็นอะไรไม่น้อยทีเดียว” ลู่จื่อชิงกล่าว “ท่านพ่อ ข้ากลับมาแล้ว เหตุใดไม่เห็นท่านแม่กับพี่หญิงเล่าเจ้าคะ?”
ลู่จื่อชิงไม่กล่าวถึงยังแล้วไป พอเอ่ยถึงเรื่องนี้…
เขาพลันรู้สึกกระสับกระส่ายยิ่งกว่าเดิมแล้ว
จนถึงตอนนี้ภรรยายังไม่กลับมา แม้หลายปีมานี้จะคุ้นชินแล้วก็ยังคงรู้กังวลอยู่บ้าง
“พี่ชายกับพี่สะใภ้เจ้าเล่า?”
“พี่สะใภ้ไม่สบายใจเล็กน้อย ท่านพี่จึงเฝ้านางอยู่ในห้องเจ้าค่ะ”
“เป็นอะไรไป?”
“อันที่จริงก็ไม่มีอะไร นางเพียงแค่เหนื่อยกระมังเจ้าคะ”
ในยามนี้เอง บ่าวรับใช้ก็เข้ามารายงาน “ท่านอ๋อง อี้อ๋องต้องการพบท่านขอรับ”
“ฟ่านซู่มาหรือ?” ลู่จื่อชิงกล่าว “พอดีเลย ข้ามีของขวัญจะให้เขา!”
ลู่อี้กล่าวเสียงเรียบ “เชิญอี้อ๋องไปรอข้าที่ห้องตำรา”
หลังจากออกคำสั่งกับบ่าวรับใช้แล้ว เขาก็หันมาเอ่ยกับลู่จื่อชิง “ชายหญิงไม่ควรชิดใกล้ เจ้าไม่มีเรื่องใดไยต้องมอบของขวัญให้เขา?”
“การมอบของขวัญระหว่างสหายแปลกมากหรือเจ้าคะ? ข้ายังเตรียมของขวัญให้คนอื่น ๆ ด้วย ทั้งฝ่าบาทและพระนางฮองเฮาในวัง องค์รัชทายาทก็มีเช่นกัน” ลู่จื่อชิงกล่าว “มอบให้ไม่ได้หรือเจ้าคะ?”
“ฝ่าบาท ฮองเฮา องค์รัชทายาทสามารถให้ได้ สหายสนิทของเจ้าก็มอบให้ได้เช่นกัน ทว่าบุรุษที่ไม่ได้มีความสัมพันธ์กับเจ้าให้ไม่ได้” ลู่อี้กล่าว “หากเจ้าสุ่มสี่สุ่มห้าส่งของให้ อีกฝ่ายเข้าใจผิดว่าเจ้าพึงใจเขา เช่นนั้นเจ้าจะจัดการอย่างไร?”
“ท่านพ่อ ฟ่านซู่ไม่มีทางเข้าใจผิดเป็นแน่เจ้าค่ะ ข้าชี้แจงกับเขานานแล้ว” ลู่จื่อชิงกล่าว
ลู่อี้เข้าใจแล้ว
เป็นดังคาด!
เจ้าเด็กคนนั้นมีความรู้สึกต่อชิงเอ๋อร์จริง ๆ พอพบว่าชิงเอ๋อร์ไม่ได้คิดอะไรกับเขา จึงคิดจะแต่งคุณหนูใหญ่จวนฉีเป็นชายา
“อื้อ”
ลู่จื่อชิงทำปากขมุบขมิบ
“คุณหนู คุณชายซือหม่าฟื้นแล้วเจ้าค่ะ”
“เขาฟื้นแล้วหรือ? ข้าจะไปดูเขา” ลู่จื่อชิงหันหลังแล้วเดินจากไป
“นางพาผู้ใดกลับมาอีก?” ลู่อี้ขมวดคิ้ว
“คุณหนูมีสหายผู้หนึ่งเจ้าค่ะ สุขภาพของเขาไม่สู้ดี จำต้องได้รับการดูแลอย่างใกล้ชิด” บ่าวรับใช้กล่าว
“คราวหน้ายังคงอย่าให้นางรอนแรมอยู่ข้างนอกจะดีกว่า ออกไปข้างนอกเที่ยวหนึ่งก็พาคนกลับมาผู้หนึ่ง คราวที่แล้วพาเจ้าใบ้น้อยกลับมา คราวนี้พาคนป่วยกลับมา คุณหนูรองลู่ของเรามีนิสัยชอบคว้าคนกลับมาบ้านกระมัง?”
ลู่อี้ปากบ่นแต่กลับไม่ได้คิดจะสนใจ อย่างไรเสียเรื่องนี้ก็มีสามีในอนาคตของนางคอยกังวลแทนแล้ว ในฐานะบิดา เขาไม่มีอะไรต้องห่วง ถึงแม้นางจะพาทหารทั้งค่ายกลับมา เขาก็เลี้ยงไหว
ฟ่านซู่เดินตามบ่าวรับใช้ของสกุลลู่เข้าไปในจวน ครั้นผ่านสวนดอกไม้ก็เห็นลู่จื่อชิงนั่งดื่มชาอยู่กับชายหนุ่มในชุดขาว ชายหนุ่มในชุดขาวมีนิสัยอ่อนโยน รูปร่างหน้าตาโดดเด่น จัดได้ว่าเป็นคนยอดเยี่ยมผู้หนึ่้ง
“เจ้ามาเมืองหลวงเป็นครั้งแรกหรือ?”
“ก่อนหน้านี้เคยอยู่ในหมู่บ้าน ไม่เคยออกมาข้างนอกจริง ๆ” ซือหม่าจี้อิงเอ่ย “เพียงแต่แม่นางจื่อชิง ข้าอยู่บ้านท่านจะดูไม่เหมาะสมหรือไม่?”
“ท่านเป็นสหายของข้า พักที่บ้านข้าก็ไม่มีอะไรผิด บ้านข้าใหญ่โต เจ้าจะอยู่ที่ใดก็ได้ทั้งนั้น” ลู่จื่อชิงกล่าว “พี่ชายข้าชื่นชมเจ้า ไม่ง่ายดายเลยที่พี่ชายข้าจะชื่นชมคน!”
ฟ่านซู่ถามบ่าวรับใช้ข้าง ๆ “คนผู้นั้นเป็นใคร? ก่อนหน้านี้ข้าไม่เคยพบเขามาก่อน”
“เรียนท่านอ่อง ท่านนั้นเป็นแขกที่คุณหนูรองของเราพากลับมาขอรับ”
“คุณหนูรองของพวกเจ้าชอบช่วยคนจริง ๆ” ฟ่านซู่กล่าวนิ่ง ๆ
“คุณหนูรองมีนิสัยอย่างนี้จริงขอรับ” บ่าวรับใช้ไม่กล้าเอ่ยอะไรอีก
ในเมืองหลวงมีผู้ใดบ้างที่ไม่รู้ว่าลู่จื่อชิงมีนิสัยอย่างไร? กล้ารัก กล้าเกลียด เดินตามเส้นทางของตนเอง แม้แต่ท่านอ๋องลู่ก็ไม่อาจทำอะไรนางได้ หากกล่าวถึงผู้ที่นางกลัวเล็กน้อย นั่นย่อมเป็นคุณชายใหญ่แล้ว
ฟ่านซู่เข้าไปในห้องตำราแล้วคำนับลู่อี้
ทั้งสองเป็นท่านอ๋อง ทว่าฟ่านซู่สืบเชื้อสายจากราชวงศ์ ลู่อี้เป็นเพียงอ๋องนอกราชวงศ์ กล่าวกันตามเหตุผล ฟ่านซู่ควรมีสถานะสูงศักดิ์กว่าลู่อี้
อย่างไรก็ตาม ในเมืองหลวงแห่งนี้ นอกเสียจากฝ่าบาทแล้ว ผู้ใดจะกล้าเย่อหยิ่งต่อหน้าลู่อี้เล่า?
แม้กระทั่งองค์รัชทายาทพบลู่อี้ก็ยังต้องเรียกเขาว่าพ่อบุญธรรม
“ท่านมาหาข้ามีเรื่องอะไร?”
“ผู้เยาว์ยื่นฎีกาไป อยากจะขอพระราชทานสมรส เพียงแต่กลับไม่ได้รับการเห็นชอบ ท่านอ๋องโปรดกล่าวมาเถิด ข้าไม่รู้ว่าด้วยเหตุใด?”
“ท่านต้องการแต่งงานนั่นเป็นเรื่องของท่าน ไยต้องร้องขอกับฝ่าบาท? หากการแต่งงานทุกครั้งต้องได้รับพระราชทานจากฝ่าบาท เช่นนั้นฮ่องเต้ก็ไม่ควรเป็นฮ่องเต้และเป็นได้เพียงแม่สื่อแล้ว”
ลู่อี้กล่าวออกไปตรง ๆ
อย่างไรก็ตาม ความไม่เกรงใจดังกล่าวทำให้ฟ่านซู่ไม่อาจปฏิเสธได้
“ท่านอ๋อง สถานการณ์ของข้าท่านก็ทราบแล้ว หากไม่ได้รับพระราชทานสมรสจากฝ่าบาท ใต้เท้าฉีจะวางใจให้ลูกสาวแต่งให้ข้าได้อย่างไร? ขอท่านอ๋องได้โปรดกล่าวถ้อยคำดี ๆ แทนข้าต่อหน้าพระพักตร์ฝ่าบาท แล้วข้าจะซาบซึ้งใจเป็นอย่างยิ่ง”
“ฟ่านซู่ ท่านอยากแต่งงานกับคุณหนูใหญ่สกุลฉีจริง ๆ หรือ?”
“ขอรับ”
“พึงใจนางหรือ?”
“คุณหนูใหญ่สกุลฉีมีคุณธรรมจริยามารยาท ข้าชื่นชมมานาน”
“ในเมื่อเป็นเช่นนี้ เช่นนั้นก็ใช้ความจริงใจสร้างความประทับใจให้ใต้เท้าฉี ข้ายังคงยืนยันคำเดิม ฝ่าบาทไม่ใช่แม่สื่อ เป็นไปไม่ได้ที่จะพระราชทานสมรสทุกครั้ง”
“ฝ่าบาทเป็นญาติของข้า นี่ไม่ใช่สมรสที่ฝ่าบาทพระราชทานให้ขุนนาง ทว่าเป็นพรจากผู้อาวุโสถึงผู้เยาว์ ข้าไม่เข้าใจว่าเหตุใดจึงไม่เห็นชอบ?”
“ไยจึงไม่เห็นชอบ คงไม่ต้องให้ข้าเอ่ยกระมัง?” ลู่อี้มองฟ่านซู่ “ฝ่าบาทพระราชทานสมรสเพื่องานแต่งที่งดงาม ไม่ใช่สร้างศัตรู เจ้าคิดอย่างไร ข้าจะมองไม่ออกได้หรือ?”
“ท่านอ๋องได้พบกับรักที่แท้จริง ย่อมคิดว่าชายหญิงทั่วหล้าล้วนเป็นเช่นนี้ ทว่าโลกนี้จะมีคู่รักที่มีความสุขมากมายเพียงนั้นที่ใดกัน? ท่านอ๋องโชคดีจึงได้พบผู้หนึ่ง ทว่าไม่ใช่ผู้ใดล้วนมีวาสนาดังกล่าว” ฟ่านซู่กล่าวอย่างใจเย็น “หากข้าต้องการสู่ขอคุณหนูชิงเอ๋อร์อย่างไร้ซึ่งความละอาย ท่านอ๋องจะเห็นด้วยหรือไม่?”
ลู่อี้แววตาพลันมืดครึ้มขึ้น “ท่านว่าอย่างไรเล่า?”
“ท่านอ๋องย่อมไม่เห็นด้วย และต้องการให้ข้าไปหาผู้ที่พึงใจคนอื่น ๆ นี่ไม่ใช่ข่มเขาโคขืนให้กินหญ้าหรือ? ข้ายอมรับว่ามีใจชื่นชมคุณหนูใหญ่สกุลฉี ทว่าไม่ได้มีความรู้สึกต่อนาง ขอเพียงพวกเราแต่งงานกัน ในใจข้าก็จะมีนางแต่เพียงผู้เดียว” ฟ่านซู่กล่าว
“ท่านอยากแต่งนาง เช่นนั้นก็ไปสู่ขอกับใต้เท้าฉี พระราชทานสมรสนั้นเป็นไปไม่ได้ เด็ก ๆ ส่งแขก”
ฟ่านซู่จึงโดนไล่ออกไปเช่นนี้
ถึงแม้เขาจะคาดเดาไว้ว่าลู่อี้ไม่มีทางปล่อยไปง่าย ๆ ทว่าเมื่อได้รับผลเช่นนี้เข้าจริง ๆ ฟ่านซู่ก็ยังรู้สึกผิดหวังเล็กน้อย
“ฟ่านซู่” ลู่จื่อชิงกระโดดออกมาจากด้านหลัง “คิดอะไรอยู่หรือ? นึกไม่ถึงว่าเจ้าจะไม่สังเกตเห็นข้า”
ฟ่านซู่ยิ้มน้อย ๆ “กลับมาแล้วหรือ?”
“กลับมาแล้ว” ลู่จื่อชิงเอ่ย “ข้าเอาของดีมาฝาก”
ฟ่านซู่หัวเราะเบา ๆ “ของดีอะไร?”
ลู่จื่อชิงล้วงเข้าไปในแขนเสื้อ หยิบแหวนหยกชิ้นหนึ่งออกมา “เป็นอย่างไร? เจ้าชอบยิงธนูไม่ใช่หรือ? ข้ารู้สึกว่ามันใช้ได้ทีเดียว”
ภายในใจของฟ่านซู่สั่นไหว
“เจ้ามาหาพ่อข้าด้วยเรื่องใดหรือ? ข้าเห็นว่าเจ้าดูกังวล พ่อข้าทำให้เจ้าลำบากแล้วใช่หรือไม่?”
“ไม่มีอะไร”
“หากต้องการความช่วยเหลือก็บอกข้า ข้าจะช่วยเจ้า”
“หากท่านอ๋องไม่รับปาก เจ้ายังจะช่วยข้าได้หรือ?”
“ข้าจะเซ้าซี้จนกว่าเขาจะรับปาก” ลู่จื่อชิงกล่าว “พ่อข้าเป็นเสือกระดาษ เขากลัวข้าเซ้าซี้มากที่สุดแล้ว”
ฟ่านซู่เอื้อมมือไปช่วยทัดเส้นผมของนางเข้าที่ข้างหู “ตรงนี้ไม่เรียบร้อย”
“ฟ่านซู่ เจ้าเป็นอะไร?” ลู่จื่อชิงมองเขา “เจ้าไม่มีความสุขหรือ?”
“ข้าต้องแต่งงานแล้ว จะไม่มีความสุขได้อย่างไร?” ฟ่านซู่ยิ้ม “เดิมทีข้าอยากขอสมรสพระราชทาน เพียงแต่…”
“ท่านพ่อไม่เห็นด้วยหรือ?”
“ท่านอ๋องพูดไม่ผิด ข้าอยากแต่งงานก็ควรไปสู่ขอกับครอบครัวเจ้าสาวแทนที่จะสร้างความลำบากให้ฝ่าบาท ชิงเอ๋อร์ ถึงตอนนั้นรอฟังข่าวดีจากข้าเถอะ” ฟ่านซู่หมุนกายเดินจากไป
ซือหม่าจี้อิงที่ยืนอยู่ข้างหลังนางเอ่ยขึ้น “คุณชายท่านนั้นมีความรู้สึกต่อท่าน บัดนี้กลับต้องแต่งกับผู้อื่น ช่างน่าสงสารจริง ๆ”
ลู่จื่อชิงขมวดคิ้ว “หากไม่ใช่คนที่ตนพึงใจ เช่นนั้นแต่งไปจะน่าสนใจอะไร?”
“น่าสนสิ สตรีสนใจเพียงตนต้องแต่งกับคนที่ตนชอบพอหรือไม่ ทว่าบุรุษหากไม่อาจแต่งกับผู้ที่เขารักได้ ไม่ว่าจะแต่งผู้ใดล้วนเหมือนกัน” ซือหม่าจี้อิงกล่าว “หากท่านตัดใจจากเขาไม่ได้ เช่นนั้นนับตั้งแต่ตอนที่เขายังไม่ได้แต่งงาน ท่านก็แต่งให้เขาเถอะ!”
“ไม่” ลู่จื่อชิงเอ่ย “ข้าเป็นเพียงสหายของเขาเท่านั้น ไม่ได้มีความรู้สึกระหว่างชายหญิง”
“แม่นางจื่อชิงมั่นใจเพียงนี้ หรือว่าท่านมีคนในใจอยู่แล้ว?” ซือหม่าจี้อิงเอ่ย
“ไม่มี” ลู่จื่อชิงแค่นเสียงเย็น “ท่านอย่าได้พูดจาเลื่อนเปื้อน”
ซ่งหานจือเพิ่งกลับมาจากสำนักศึกษาหลวง เมื่อเห็นจี้ซ่งเฉิงนั่งอยู่บนหลังคาจึงกล่าว “ท่านมีฐานะเป็นถึงผู้ปกครองอาณาจักร เกียจคร้านถึงเพียงนั้นได้จริง ๆ หรือ? หากท่านไม่กลับไป บัลลังก์ของท่านจะยังรักษาไว้ได้หรือ?”
“ผู้ปกครองอาณาจักรเฟิ่งหลินยังไม่กลับ แล้วข้าจะกลัวอะไร? ที่นั่นข้าอยู่ไกลจากนาง รายล้อมไปด้วยทะเล ไม่มีอาณาจักรใดยึดครองที่นั่นได้” จี้ซ่งเฉิงกล่าว
“ไม่มี” ลู่จื่อชิงแค่นเสียงเย็น “ท่านอย่าได้พูดจาเลื่อนเปื้อน”
ซ่งหานจือเพิ่งกลับมาจากสำนักศึกษาหลวง เมื่อเห็นจี้ซ่งเฉิงนั่งอยู่บนหลังคาจึงกล่าว “ท่านมีฐานะเป็นถึงผู้ปกครองอาณาจักร เกียจคร้านถึงเพียงนั้นได้จริง ๆ หรือ? หากท่านไม่กลับไป บัลลังก์ของท่านจะยังรักษาไว้ได้หรือ?”
“ผู้ปกครองอาณาจักรเฟิ่งหลินยังไม่กลับ แล้วข้าจะกลัวอะไร? ที่นั่นข้าอยู่ไกลจากนาง รายล้อมไปด้วยทะเล ไม่มีอาณาจักรใดยึดครองที่นั่นได้” จี้ซ่งเฉิงกล่าว
“วันนี้ตอนที่ข้าเพิ่งกลับมา ข้าได้ยินมาว่าฮ่องเต้เฟิ่งหลินกำลังจะกลับอาณาจักรตนแล้ว เกรงว่าจะรอให้ฮองเฮาเฟิ่งหลินกลับมาไม่ไหว แม้ข้าจะไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น แต่คิดว่าคงเกิดเรื่องกับอาณาจักรเฟิ่งหลินแล้วเป็นแน่”
“อาณาจักรเฟิ่งหลินเกิดอะไรขึ้นพวกเราไม่รู้ ทว่าทางนั้นเกิดอะไรขึ้นข้ากลับรู้” จี้ซ่งเฉิงชี้ไปทางบ้านที่อยู่ตรงข้าม “ลู่รองกลับมาแล้ว”
“ท่านว่าอะไรนะ?!” สิ้นคำ ซ่งหานจือก็หมุนกายวิ่งไปทันที