บทที่ 1058 เตรียมตัวเป็นขุนนาง
บทที่ 1058 เตรียมตัวเป็นขุนนาง
จี้ซ่งเฉิงเอ่ยด้วยน้ำเสียงราบเรียบ “จะวิ่งเร็วเพียงนี้ไปไย? คนเขาไม่แน่ว่าจะสนใจเจ้า อย่างไรคนใจร้ายตัวน้อยนั่นก็พาอีกคนกลับมาแล้ว”
ซ่งหานจือมาถึงจวนลู่
คนของจวนลู่เห็นจนคุ้นชินแล้วจึงพาเขาเข้าไปข้างในทันที โดยไม่แม้แต่ไปรายงาน
บ่าวรับใช้จวนลู่เห็นซ่งหานจือตั้งแต่เล็กจนเติบใหญ่ คุณหนูรองลู่กลับมาแล้ว ซ่งหานจือจะมาหาที่บ้านก็เป็นเรื่องปกติ หากเขาไม่มาหา นั่นถึงจะผิดปกติ
“เจ้าร่างกายอ่อนแอ ยังคิดจะสอบขุนนางอีกหรือ?” ลู่จื่อชิงถามซือหม่าจี้อิง
ซือหม่าจี้อิงเอ่ยอย่างอ่อนโยน “เป็นเพราะร่างกายอ่อนแอ ทานข้าววันนี้ไม่รู้ว่าพรุ่งนี้ยังจะทานได้หรือไม่ จึงต้องทำอะไรบางอย่างเพื่อไม่ให้เสียใจในภายหลัง”
“คุณหนู คุณชายซ่งมาเจ้าค่ะ” สาวใช้เอ่ยกับลู่จื่อชิง
ลู่จื่อชิงเงยหน้าขึ้นจึงเห็นซ่งหานจือกำลังเดินมา
“ชิงเอ๋อร์ เจ้ากลับมาแล้ว”
ลู่จื่อชิงยิ้มแย้มพลางกล่าว “ใช่แล้ว! เจ้ากลับมาเมืองหลวงตั้งแต่เมื่อใดหรือ?”
ซ่งหานจือ “…”
เขาเตรียมพร้อมตั้งรับความโกรธเกรี้ยวของลู่จื่อชิง ทว่านางกลับไม่ได้โกรธเขา
ราวกับว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้น อย่างนี้ยิ่งทำให้เขาประหลาดใจขึ้นไปอีก
“มีอะไรหรือ?” ลู่จื่อชิงเอ่ยถาม “ตะลึงไปแล้วรึ? อ้อ จริงสิ เจ้าไม่รู้จักพี่ซือหม่า ข้าจะแนะนำให้เจ้ารู้จัก พี่ใหญ่ซือหม่าเป็นสหายที่ข้าพบเจอระหว่างทาง เขาต้องเข้าเมืองหลวงมาสอบขุนนาง พวกเราจึงเดินทางมาด้วยกัน พี่ใหญ่ซือหม่า ผู้นี้คือซ่งหานจือ เขาอาศัยอยู่จวนฝั่งตรงข้าม”
“สหายซ่ง ได้ยินชื่อเสียงท่านมานานแล้ว”
“สหายซือหม่า”
“พี่ใหญ่ซือหม่า ยังมีเวลาอีกครึ่งปีก่อนสอบขุนนาง ระหว่างนี้ท่านจะไปเรียนที่สำนักศึกษาหลวงหรือไม่?” ลู่จื่อชิงเอ่ยถาม
“ข้าตั้งใจเช่นนั้น”
“เช่นนั้นข้าจะไปกับท่าน” ลู่จื่อชิงกล่าว “คนในสำนักศึกษาหลวงเหล่านั้นมักจะรังแกคน มีข้าอยู่กับท่าน พวกเขาไม่กล้ารังแกท่านอย่างแน่นอน”
“ชิงเอ๋อร์ ข้าอยากจะคุยกับเจ้าสักสองสามคำ” ซ่งหานจือกล่าว
“เช่นนั้นก็ว่ามาสิ” ลู่จื่อชิงมองเขานิ่ง ๆ
“ข้าอยากคุยกับเจ้าตามลำพัง”
“พี่ใหญ่ซือหม่า เช่นนั้นท่านรอประเดี๋ยว อีกสักพักข้าจะกลับมา”
“ได้”
ลู่จื่อชิงตามซ่งหานจือออกไปนอกเรือน
ซือหม่าจี้อิงมองเงาร่างของทั้งสอง ยิ้มแย้มพลางส่ายศีรษะ “สาวน้อยขี้หงุดหงิด”
ซ่งหานจือเอื้อมมือออกไปคว้ามือลู่จื่อชิงมากุม
ลู่จื่อชิงก้าวถอยหลังแล้วกล่าว “เจ้าจะพูดอะไร?”
“ชิงเอ๋อร์ พิษของข้าถอนไปแล้ว”
“ยินดีกับเจ้า” ลู่จื่อชิงกล่าวยิ้ม ๆ “ข้ารู้ว่าเคราะห์ร้ายของเจ้าผ่านไปย่อมมีโชคดีตามมา ตอนนี้ข้าพูดถูกกระมัง?”
“ชิงเอ๋อร์ เจ้าอย่าเมินข้า”
“ข้าไม่ได้เมิน” ลู่จื่อชิงกล่าว “ครั้งนี้ข้าออกไปท่องเที่ยวกับพี่ชาย ได้พบสิ่งน่าสนใจมากมายระหว่างทาง เพียงแต่ตอนนี้ข้าไม่มีเวลาเล่ารายละเอียดให้เจ้าฟัง มีโอกาสค่อยว่ากัน”
ซ่งหานจืออยากจะก้าวออกไปข้างหน้าสองสามก้าว ทว่าลู่จื่อชิงกลับเอาแต่ก้าวถอยหลัง
“เจ้าคิดจะเอ่ยอะไรกันแน่?” ลู่จื่อชิงมองเขา “หากไม่มีอะไรข้าจะกลับแล้ว”
“เจ้าอย่าโกรธได้หรือไม่? ตอนนั้นที่ข้าจากไปโดยไม่บอกลาเพราะไม่อยากให้เจ้าต้องกังวล ข้าไม่รู้ว่าพิษนี้จะรักษาหายหรือไม่ หากรักษาไม่ได้ เจ้าตามข้าไปรังแต่จะตื่นตระหนก อีกทั้งยังเป็นไปได้ว่าเจ้าอาจเห็นข้าตายต่อหน้า นี่ไม่ใช่สิ่งที่ข้าอยากเห็น…”
“ข้าเข้าใจ ข้าเข้าใจเจ้าได้” ลู่จื่อชิงกล่าว “พี่ชายข้าก็เกลี้ยกล่อมข้าเช่นนั้น ดังนั้นข้าจึงไม่โกรธแล้ว”
ซ่งหานจือรู้จักนางดีเกินไป
หากนางโกรธ เรื่องนี้ไม่นานก็จะแก้ไขได้ หากไร้ร่องรอยความโกรธบนใบหน้านาง เช่นนั้นต้องระวัง นี่แสดงให้เห็นว่าง้อนางไม่ได้ง่าย ๆ แน่นอน
“ไม่มีเรื่องอื่นแล้วกระมัง? หากไม่มีอะไร ข้ากลับละ” ลู่จื่อชิงกล่าว “จริงสิ หลายปีมานี้ข้าเคยชินกับการติดตามเจ้าและถูกเจ้าติดตามมาตลอด ความเคยชินเช่นนี้น่ากลัวยิ่งนัก แต่ไรมาข้าไม่เคยคิดว่าเมื่อเราเติบโตขึ้น เจ้าจะต้องแต่งงาน ข้าก็ต้องแต่งงาน หากข้ายังติดตามเจ้าเหมือนเมื่อก่อน ผู้ใดยังจะกล้าแต่งให้เจ้าคุณชายใหญ่สกุลซ่งเล่า? ภายหน้าพวกเราหลีกเลี่ยงข้อครหาเถอะ”
สิ้นคำ ลู่จื่อชิงก็โบกมือให้เขา ครานี้นางจากไปแล้วจริง ๆ
ซ่งหานจือ “…”
ครั้งสุดท้ายที่เขาตื่นตระหนกเช่นนี้คือตอนที่ต้องแยกจากลู่จื่อชิง
กลับมาครานี้ ลู่จื่อชิงเปลี่ยนไปมากจริง ๆ
ในสายตานางไม่หลงเหลือการพึ่งพาอาศัยกันอีกต่อไป คนทั้งคนนิ่งสุขุม ทั้งยังใจกว้าง ไม่หลงเหลือความเป็นเด็กเหมือนก่อนหน้า
ทว่าการเปลี่ยนแปลงดังกล่าวไม่ใช่สิ่งที่เขาต้องการเห็น
เขาอยากให้นางเหมือนก่อนหน้านี้ที่ไม่ว่าทำอะไรล้วนนึกถึงเขา อยากให้เขาอยู่เคียงข้าง ไม่ว่าเขาจะตามติดนางหรือนางตามติดเขา ขอแค่เพียงไม่ต้องแยกจากกันก็พอแล้ว
แต่นางกลับบอกว่า…
เขาจะต้องแต่งงาน นางก็ต้องแต่งงาน
เช่นนั้นที่ผ่านมาพวกเขานับเป็นอะไรต่อกัน?
“แม่นางจื่อชิงเป็นอะไรไปหรือ?” ซือหม่าจี้อิงเห็นนางกลับมาจึงกล่าวด้วยรอยยิ้ม “หงอยเหงาเศร้าซึม หรือว่าพูดคุยกับสหายเก่าเป็นไปได้ไม่ดี?”
“ไม่ ข้าเพียงแค่บอกเขาว่า ข้าอยู่ได้ต่อให้ไม่มีเขา”
“เหมยเขียวม้าไม้ไผ่ เด็กน้อยชายหญิง ช่างเป็นมิตรภาพที่วิเศษจริง ๆ อย่าได้ทำร้ายความรู้สึกกันเพียงเพราะความโกรธเลย” ซือหม่าจี้อิงเอ่ย
“พี่ใหญ่ซือหม่า ท่านอายุพอ ๆ กับพี่ชายของข้า ไยคำพูดคำจาถึงได้เชยเพียงนี้” ลู่จื่อชิงเอ่ย
“อาจเป็นเพราะ… ผ่านความผกผันของชีวิตมามากกระมัง!” ซือหม่าจี้อิงเอ่ย “ในเมื่อท่านไม่อยากเอ่ยถึงเรื่องตนเอง เช่นนั้นก็พูดเรื่องสำนักศึกษาหลวง”
ซ่งหานจือกลับมายังจวนซ่งด้วยความห่อเหี่ยว
จี้ซ่งเฉิงที่นั่งอยู่บนหลังคามองมาทางเขา “ชนกำแพงทิศใต้เข้าแล้วหรือ?”
“เจ้ารู้ว่าชิงเอ๋อร์พาบุรุษผู้หนึ่งกลับมาหรือ?”
“นางพาคนผู้หนึ่งกลับมาไม่ใช่เรื่องปกติหรือไร?” จี้ซ่งเฉิงเอ่ย “สตรีสกุลลู่แต่ละคนดึงดูดคนยิ่งกว่าผู้ใด พี่หญิงของนางดึงดูดผู้คนด้วยความงาม นางดึงดูดผู้คนด้วยบุคลิกที่แตกต่าง”
“ชิงเอ๋อร์ไม่โกรธ ยังพูดคุยยิ้มแย้มกับข้า”
“แย่ละ เกรงว่าคราวนี้เจ้าจะง้อนางกลับมาไม่ได้ง่ายดายเพียงนั้น”
“เจ้าก็คิดว่าชิงเอ๋อร์ที่แสร้งไม่โกรธน่ากลัวกว่าตอนโกรธใช่หรือไม่?”
“แน่นอน สาวน้อยผู้นั้นเป็นคนตรงไปตรงมา หากนางมีความสุขก็คือมีความสุข หากนางไม่มีความสุขนางก็ไม่มีความสุข นี่เจ้าทำให้นางขุ่นเคืองแต่กลับไม่เห็นนางโกรธ นั่นแปลว่านางจะต้องโกรธมากเป็นแน่ นี่ไม่ใช่แค่เรื่องง้อนางอีกต่อไปแล้ว”
“ช่วยข้าคิดหาวิธีเถอะ”
“เจ้ามีวิธีมากมาย ยังต้องให้ข้าช่วยอีกหรือ?” จี้ซ่งเฉิงกระโดดลงมาจากหลังคา “ไม่ถูก สาวน้อยผู้นั้นเมินเจ้า ข้าก็จะมีโอกาส บางทีข้าอาจจะพานางกลับไปเป็นฮองเฮาได้”
“ความสนใจที่ท่านมีต่อชิงเอ๋อร์หมดไปนานแล้วกระมัง? หากอยากพานางไปเป็นฮองเฮาจริง ๆ คงไม่เรื่อยเปื่อยอย่างตอนนี้”
จี้ซ่งเฉิงเย้ยหยัน “น่าเบื่อ ข้ายังอยากจะแกล้งเจ้าต่อไปอีกระยะหนึ่ง ถึงคราที่ต้องไปคอยเจาะรูหน้าต่างกระดาษ*[1] แล้ว”
“ตอนนี้จะทำอย่างไรดี?” ซ่งหานจือกล่าว “บุรุษผู้นั้นแซ่ซือหม่า ซือหม่าเป็นสกุลใหญ่ หรือว่าจะเป็นสกุลซือหม่าที่ผลิตราชครูถึงสามรุ่นออกมาของราชวงศ์ก่อนหน้า หากเป็นซือหม่านั่น เช่นนั้นเขาก็ไม่ใช่คนไร้ชื่อเสียงเรียงนาม”
“สิ่งที่สำคัญที่สุดคือ…” จี้ซ่งเฉิงเข้าไปใกล้ ๆ เขาแล้วเอ่ย “เจ้ากำลังมองข้ามจุดที่สำคัญไป เขาหล่อเหลายิ่ง!”
[1] เจาะรูหน้าต่างกระดาษ หมายถึง ทำสิ่งต่าง ๆ ให้ชัดเจนตรงไปตรงมา