บทที่ 1061 ชิงเอ๋อร์ ข้าไม่รู้เรื่องจัดการดูแลเรือน
บทที่ 1061 ชิงเอ๋อร์ ข้าไม่รู้เรื่องจัดการดูแลเรือน
บ่าวรับใช้ตอบ “ข้าน้อยมองเห็นหน้าตาของคนผู้นั้นไม่ชัดเจน ทว่าที่เอวเขามีป้ายห้อยอยู่ เป็นป้ายไม้ของจวนซ่งอย่างแน่นอนขอรับ”
ลู่จื่อชิงหันกลับไปมองซ่งหานจือแล้วเอ่ยว่า “เพียงอาศัยถ้อยคำของบ่าวรับใช้จวนข้าไม่อาจพิสูจน์อะไรได้ ไม่สู้เจ้าตรวจสอบของในจวนเสียก่อนว่ามีอะไรขาดหายไปหรือไม่”
“หมู่นี้ข้าพักอยู่ที่สำนักศึกษาหลวง ไม่ค่อยได้กลับมา ถึงแม้ภายในจวนจะมีบ่าวไม่มากนัก แต่ก็ไม่ได้รู้จักทั้งหมด ส่วนข้าวของภายในจวน ในคลังเก็บของมีบัญชีบันทึกไว้ ซึ่งปกติจะใช้…”
เขาหันไปมองพ่อบ้านที่อยู่ข้าง ๆ
พ่อบ้านกล่าวขึ้นมาอย่างรวดเร็ว “บันทึกการซื้อภายในจวนก็สามารถตรวจสอบได้ขอรับ ของที่ใช้ทุกวัน ล้วนจดบันทึกไว้อย่างชัดเจน เพียงแต่หากต้องการตรวจสอบดู คงลำบากและใช้เวลาไม่น้อยขอรับ”
“ชิงเอ๋อร์ เจ้าก็รู้ การจัดการภายในเรือนหลังไม่ได้ยุ่งยากน้อยไปกว่าเรื่องใด ข้าเป็นเพียงบุรุษผู้หนึ่ง ไม่ชำนาญเรื่องเหล่านี้เลยจริง ๆ” สีหน้าของซ่งหานจือเต็มไปด้วยความสิ้นหวัง
“ไม่ใช่ว่าเจ้าฉลาดมากหรือ? ที่แท้ก็มีหลายสิ่งที่เจ้าไม่เก่งเช่นกัน” ลู่จื่อชิงกล่าว “เอาละ เรื่องนี้ข้าจะตรวจสอบให้เอง เจ้าเพียงแค่อ่านตำราของเจ้าไปเถิด!”
“คุณหนูรองลู่ ถึงแม้ที่จวนจะมีบ่าวรับใช้ไม่มากนัก ทว่าก็ยังมีมากกว่าห้าสิบคน” พ่อบ้านเอ่ย “หากต้องการตรวจสอบเวลาย่อมไม่ใช่เพียงแค่วันสองวัน อย่างนี้จะไม่รบกวนเกินไปหรือขอรับ?”
“หากไม่ตรวจสอบให้ชัดเจน จวนพวกเจ้ามีปลวกคอยแทะเช่นนี้ ช้าเร็วจะต้องทำบ้านพวกเจ้าโล่งโจ้งเป็นแน่ ที่น่ากลัวที่สุดคือเหตุการณ์นี้คงไม่ใช่เพิ่งเกิดขึ้นวันสองวัน อีกอย่าง เรื่องใหญ่เพียงนี้ย่อมไม่ได้มีเพียงคนผู้เดียวที่รู้เห็น พวกเจ้าไม่มีผู้ใดรู้ตัว แสดงให้เห็นว่าปัญหาในเรือนหลังจวนซ่งของพวกเจ้ายุ่งยากยิ่ง ข้าเห็นว่า เรื่องนี้ไม่เพียงแต่ต้องได้รับการตรวจสอบเท่านั้น แต่ยังต้องสอบโดยละเอียดถี่ถ้วน ไม่เช่นนั้นบ่าวรับใช้ที่กินข้างในช่วยข้างนอกจะยิ่งเหิมเกริม”
ด้วยเหตุนี้เอง ลู่จื่อชิงจึงเข้ามารับช่วงต่อปัญหาในจวนซ่ง
เดิมทีคิดว่าจะคลี่คลายปัญหาได้ภายในสามวันห้าวัน ทว่าหลังจากตรวจสอบแล้ว นางกลับพบปัญหามากมาย อาทิ จวนซ่งไม่ได้มีบ่าวรับใช้มากมายก็จริง ทว่าเนื่องด้วยนายหญิงของบ้านอยู่ต่างถิ่นเป็นเวลานานจึงไม่มีผู้ใดคอยดูแลเรือนด้านหลัง พ่อบ้านจึงจัดการให้พื้นที่โล่งด้านหลังเป็นสวนผลไม้เพื่อให้สะดวกในการดูแล เนื่องจากเป็นสวนผลไม้ แน่นอนว่าจำต้องมีผู้เชี่ยวชาญมาดูแลสวนผลไม้แห่งนี้ แน่นอนว่าคนเหล่านี้ไม่ใช่คนในจวน อีกทั้งยังไม่ใช่คนงานระยะยาว หากแต่เป็นคนงานชั่วคราว
นอกจากนี้ นอกจากจวนใหญ่แล้ว จวนซ่งยังมีจวนเล็กและสวนผลไม้อีกสิบห้าแห่ง ร้านค้าอีกยี่สิบสามแห่ง
“ซ่งหานจือ ครอบครัวเจ้ารวยเพียงนี้เชียวหรือ?” ลู่จื่อชิงพลิกดูสมุดบัญชี “ข้าจำได้ว่าแม่เจ้าทำการค้าเก่ง แต่ไม่ได้มีจวนมากเพียงนี้กระมัง?”
“อืม จวนห้าแห่งกับร้านค้าอีกสามแห่งเป็นสินเดิมของท่านแม่”
“ที่เหลือเล่า?”
“ที่เหลือ…” ซ่งหานจือหยิบพู่กันขึ้นมาเขียน แล้วเอ่ยด้วยน้ำเสียงสบาย ๆ “หลายปีมานี้ข้าซื้อเอาไว้”
ลู่จื่อชิงมองซ่งหานจือด้วยความประหลาดใจ “มากเพียงนี้เลยหรือ?”
“อยู่ในเมืองหลวงมากที่สุด ยังมีที่อื่นอีกเล็กน้อย อย่างไรก็ไกลเกินกว่าจะจัดการ” ซ่งหานจือกล่าว “เพียงแต่ข้ารู้จักแต่ซื้อไปเรื่อยเท่านั้น ไม่รู้ว่าควรดูแลอย่างไรจึงไม่รู้ว่ากิจการเป็นอย่างไรบ้างแล้ว”
พ่อบ้านที่อยู่ข้าง ๆ “…”
คุณชายของพวกเขาลำบากแล้วจริง ๆ
เพื่อที่จะแต่งภรรยา ถึงกับพูดให้ตนเองกลายเป็นคนไร้ประโยชน์ไปเสียได้
สีหน้าของซ่งหานจือเต็มไปด้วยความทุกข์ยาก ประหนึ่งเป็นคุณชายผู้อ่อนแอทำอะไรไม่เป็นสักอย่าง อย่างไรก็ตาม คราวนี้ความรู้สึกเป็นวีรบุรุษของลู่จื่อชิงพลันกำเริบขึ้นมา สมุดบัญชีที่เดิมทีดูยุ่งยาก ไม่ได้ดูยุ่งยากอีกต่อไป
ณ ศาลาจวนลู่
ลู่จื่อชิงอ่านสมุดบัญชีในมือแล้วพึมพำ “ค่าใช้จ่ายของจวนซ่งไม่น้อยเลย”
ซือหม่าจี้อิงนั่งอยู่ฝั่งตรงข้าม ในมือถือตำราเล่มหนึ่ง เขากล่าวด้วยรอยยิ้ม “แต่ไรมาท่านก็เกลียดเรื่องหยุมหยิมเหล่านี้ ทว่าเพื่อคุณชายซ่งแล้วกลับคอยปรนนิบัติเขา ไม่รู้สึกว่ายุ่งยากแม้เพียงนิด”
“ข้าน่ะหรือ?”
“จำได้ว่าตอนที่พี่สะใภ้ของท่านตรวจสมุดบัญชี ท่านพลิกดูเพียงสองสามหน้า จู่ ๆ ก็กลายเป็นคนหมดความอดทน จนกระทั่งถึงบัดนี้ ขอเพียงเกี่ยวข้องกับเรื่องเงินทอง ท่านก็จะไร้ซึ่งความสนใจขึ้นมา”
“ข้าไม่ชอบจัดการบัญชีจริง ๆ แต่สกุลลู่มีคนคอยจัดการเรื่องเหล่านั้น ไม่จำเป็นต้องให้ข้าจัดการ แน่นอนว่าข้าเองก็ไม่จำเป็นต้องผิดต่อตนเอง”
“เช่นนั้นสกุลซ่งเล่า? ท่านมีความสัมพันธ์อะไรกับเขา? เหตุใดถึงเข้าไปเกี่ยวข้องกับเรื่องของสกุลซ่ง?”
“พวกเราเป็นสหายกัน” ลู่จื่อชิงรู้สึกว่าสมุดบัญชีในมือของนางจู่ ๆ พลันร้อนเกินกว่าจะแตะต้อง
“เอาใจยากยิ่ง ไม่สมกับนิสัยของท่านแม้แต่น้อย”
“เช่นนั้นท่านเล่า?” ลู่จื่อชิงไม่เต็มใจยอมรับจึงตอบโต้กลับ “ท่านออกจากบ้านมา ไม่ใช่เพราะคนรักของท่านแต่งให้พี่ชายแท้ ๆ ของท่านหรือ? หากท่านกล้าที่จะรัก กล้าที่จะเกลียด คงไม่…”
ทันทีที่ลู่จื่อชิงเอ่ยเรื่องนี้ขึ้น นางพลันสังเกตเห็นความเศร้าในแววตาของซือหม่าจี้อิง ทันใดนั้นก็ตระหนักได้ว่าตนพลาดพลั้งไปแล้ว
“ขออภัย ข้าสมควรโดนตีจริง ๆ หากท่านแม่อยู่ที่นี่เกรงว่าจะตีข้าแล้ว พี่ใหญ่ซือหม่า ท่านอย่าได้เก็บไปใส่ใจ”
ซือหม่าจี้อิงส่ายหน้า “ข้าเข้าใจว่าท่านไม่ได้ตั้งใจ อีกทั้งเรื่องนี้ก็เป็นความจริง ท่านกล่าวไม่ผิด ไม่จำเป็นต้องขอโทษ”
“ไม่ ท่านยินดีเล่าความในใจของท่านให้ข้าฟังเพราะถือว่าข้าเป็นสหาย แต่ข้ากลับใช้เรื่องนี้ทำร้ายจิตใจท่าน นี่ไม่ใช่สิ่งที่ข้าควรทำ ท่านกล่าวไม่ผิด ข้าเพียงแค่โกรธที่ซ่งหานจือจากไปโดยไม่ร่ำลา… นั่นเป็นเหตุให้รู้สึกอึดอัดเช่นนี้ ข้าบอกตนเองว่าอย่าสนใจเขา ชักสีหน้าให้เขาเห็นสักหน่อย แต่ครั้นข้ารู้ว่าเขาถูกบ่าวรับใช้หลอกเอาก็อดไม่ได้ที่จะลุกขึ้นสู้เพื่อเขา ข้าเป็นคนที่เอาใจยากถึงเพียงนี้ เมื่อครู่ท่านกล่าวไม่ผิด”
“เอาละ เพียงแค่เรื่องเล็กน้อย ไม่จำเป็นต้องใส่ใจ” ซือหม่าจี้อิงกล่าว “ทว่าเจ้าม้าไม้ไผ่น้อยผู้นั้นของท่านมีแต่ความเกลียดชังต่อข้า หรือเขาเข้าใจผิดว่าข้ามีใจให้ท่าน?”
“คงไม่กระมัง” ลู่จื่อชิงกล่าว “เขาไม่ใช่คนจิตใจคับแคบเพียงนั้น”
ซือหม่าจี้อิงส่ายหน้า
แม่หนูน้อยคนนี้ยังเด็กเกินไปที่จะเข้าใจจิตใจของบุรุษ
ความอ่อนโยนของซ่งหานจือแสดงออกเพียงต่อหน้านางเท่านั้น อีกฝ่ายไม่ใช่คนที่คุยด้วยได้ง่าย ๆ นอกจากนี้บุรุษย่อมอยากมีความสำคัญต่อสตรีที่ตนพึงใจ จะอดทนให้มีผู้อื่นอยู่ข้างกายได้อย่างไร?
“หลังจากช่วยเขาจัดการเรื่องสกุลซ่งแล้ว ท่านมีแผนอย่างไร?”
“ข้ายังไม่รู้ ถึงตอนนั้นค่อยว่ากันเถอะ!”
ซือหม่าจี้อิงกล่าว “ใช่แล้ว เรื่องนี้ไม่ใช่เพียงวันสองวันก็จะตรวจสอบออกมาได้”
“พี่ใหญ่ซือหม่า ท่านไม่เชื่อข้าหรือ?”
“ไม่ใช่ว่าข้าไม่เชื่อท่าน เพียงแต่…” ไม่เชื่อใน ‘ความหวาดระแวง’ ของเจ้าเด็กผู้นั้นมากกว่า
เพียงแต่เห็นได้ชัดว่าดรุณน้อยกับดรุณีน้อยคู่นี้พึงใจต่อกัน นี่คงเป็นสีสันเล็ก ๆ น้อย ๆ ของพวกเขากระมัง! ในความเป็นจริง พวกเขาล้วนเข้าใจเรื่องนี้ ทว่าไม่มีผู้ใดชี้ทางให้ เพียงแค่อยากปล่อยให้มันดำเนินไปตามธรรมชาติ
ซือหม่าจี้อิงนึกถึงอดีตคนรักของตนเองขึ้นมา
เขาและนางก็เป็นเหมยเขียวม้าไม้ไผ่เช่นกัน เพียงแต่น่าเสียดาย ครอบครัวไม่เป็นใจให้เขากับนาง หากแต่เป็นใจให้พี่ใหญ่กับนาง บัดนี้คงแต่งงานแล้ว เขากลับ…
เพียงแค่อยากจะหลีกหนีจากสถานที่แห่งความโศกเศร้านั้นและหาอย่างอื่นทำ
ซือหม่าจี้อิงนึกถึงคำถามที่ถามนางก่อนจะจากมา เขาถามว่านางอยากหนีไปพร้อมกับเขา ไปในที่ที่ห่างไกลหรือไม่ เขารับรองว่าเขาจะหาอาหารการกินเครื่องนุ่งห่มให้นางอย่างเพียงพอ อย่างไรเสีย เขาก็ไม่เคยต่อสู้ในสนามรบที่ไร้ความแน่นอน
ทว่า นางกลับปฏิเสธ…
นางอยากจะรั้งอยู่เข้าพิธีหมั้นหมายแต่งงานระหว่างสองสกุลให้สำเร็จลุล่วง
แต่ก็ใช่ พี่ชายของเขาดีกว่าเขามาก
อีกฝ่ายเป็นขุนนางบุ๋นบู๊ เป็นความหวังของสกุล อีกทั้งยังเป็นว่าที่ผู้นำสกุลคนถัดไป ไม่ว่าจะพิจารณาอย่างไร การเลือกพี่ชายของเขาเป็นคนเกี่ยวดองก็ถือเป็นทางเลือกที่ฉลาดที่สุด
“คุณหนูรองลู่” พ่อบ้านจวนซ่งเดินเข้ามา
“ท่านลุงถัง มีอะไรหรือ?” ลู่จื่อชิงถาม
“เป็นเช่นนี้” พ่อบ้านจวนซ่งกล่าวด้วยความลำบากใจ “คุณชายพบว่ามีของสำคัญยิ่งหายไปจึงอยากขอให้คุณหนูไปช่วยค้นหาขอรับ”
“หรือว่าถูกบ่าวรับใช้นำออกไปขายแล้ว?”