บทที่ 1062 หรืออยากตามข้ากลับอาณาจักร?
บทที่ 1062 หรืออยากตามข้ากลับอาณาจักร?
“เรื่องนี้ไม่ทราบขอรับ” พ่อบ้านถังกล่าว “คุณหนูรู้จักคุณชายของเราดีที่สุด อีกทั้งท่านก็รู้ความเคยชินของเขา ไม่สู้ไปช่วยหาเป็นอย่างไรขอรับ?”
“ได้ ข้าจะไปดู” ลู่จื่อชิงหยิบสมุดบัญชีขึ้นมา แล้วลุกขึ้นยืนก่อนจะเอ่ยกับซือหม่าจี้อิง “พี่ใหญ่ซือหม่า ท่านก็ไม่ต้องอยู่ข้างนอกแล้ว ลมค่อนข้างแรงทีเดียว ระวังจะจับไข้ เช่นนั้นข้าขอตัวก่อน”
“ไปเถอะ”
ลู่จื่อชิงติดตามพ่อบ้านถังเข้าไปในลานเรือนซ่งหานจือ
“ของอะไรของเจ้าหายไปหรือ?”
“จี้หยกที่ท่านแม่มอบให้ข้า”
“แพงมากเลยหรือ?
“มีค่าเป็นอย่างมาก”
“จี้หยกนั้นไม่เหมือนกัน” ซ่งหานจือกล่าว “ก่อนหน้านี้ข้าเคยใส่ไว้ในกล่อง บัดนี้กลับพบว่ามันหายไปแล้ว”
ลู่จื่อชิงหยิบกล่องที่เขาเอ่ยถึงขึ้นมาดู “กล่องนี้ไม่ได้มีกลไกอะไรนี่!”
“ข้าจำได้” ซ่งหานจือกล่าว “เมื่อหลายปีก่อน ก่อนที่ข้าจะไปจากเมืองหลวง ข้าฝังของบางอย่างไว้ใต้ต้นไม้ต้นนั้นกับเจ้า จำได้หรือไม่? ข้าคงจะใส่จี้หยกชิ้นนั้นไว้ข้างใน”
ลู่จื่อชิงตามซ่งหานจือไปที่ต้นไม้นั้น
นางจำได้ว่าซ่งหานจือฝังกล่องไว้ข้างใต้จริง ๆ เพียงแต่นางไม่รู้ว่ามีอะไรอยู่ในกล่อง เพียงบอกว่าคราวหน้าหากกลับมาเมืองหลวงแล้วค่อยเปิดมัน ต่อมาเมื่อกลับมาถึงเมืองหลวง นางก็มัวแต่ทะเลาะกับเขาจึงไม่ได้คิดถึงเรื่องนี้
บัดนี้นางกลับมาอยู่ใต้ต้นไม้ที่ว่าแล้ว เมื่อคิดถึงความรู้สึกอย่างสตรีที่ผุดขึ้นมา แก้มของนางก็ร้อนผ่าวขึ้นเล็กน้อย ราวกับมีบางสิ่งบางอย่างแตกต่างออกไปจากเดิม
“จะขุดหรือ?” ลู่จื่อชิงถาม
“ขุด” ซ่งหานจือใช้พลั่วขุดดิน “ตอนนั้นที่ฝังไว้ เจ้าสงสัยว่าข้างในมีอะไร ข้าห้ามไว้ไม่ให้เจ้าเห็น ตอนนี้ถึงเวลาควรเปิดเผยปริศนาแล้ว”
ที่นี่คือลานเรือนของซ่งหานจือ บ่าวรับใช้คนเก่า ๆ ถูกเขาไล่ออกไปนานแล้ว ทั่วทั้งลานเรือนจึงมีเพียงพวกเขาสองคนเท่านั้น
ในชั่วระยะชาถ้วยเดียว กล่องก็ถูกขุดขึ้นมา
ซ่งหานจือนำกล่องออกมาโดยไม่คำนึงถึงดินที่เปรอะเปื้อน
กล่องถูกปิดผนึกไว้เป็นอย่างดี เห็นได้ชัดว่าเขาคิดมาอย่างรอบคอบ ไม่มีแมลงหรือมดแทะแม้แต่น้อย
ไม่เพียงเท่านั้น ช่องว่างของกล่องยังปิดผนึกด้วยขี้ผึ้ง ข้างในทายากันเน่าเสียเอาไว้ เมื่อเปิดผ้าชั้นนอกออก ข้างในก็จะยังคงเหมือนกับตอนที่ฝังไว้
“เจ้าเปิดดูเป็นอย่างไร?” ซ่งหานจือมองลู่จื่อชิงด้วยความคาดหวัง
“นี่ไม่ใช่ของของเจ้าหรือ? ไยจึงอยากให้ข้าเปิด?”
“เจ้าไม่อยากรู้หรือ?”
“อืม…” นางค่อนข้างสงสัยทีเดียว
ลู่จื่อชิงเปิดกล่องใบนั้นออก
นางเห็นเพียงของเล็ก ๆ น้อย ๆ ที่อยู่ข้างใน
กระบี่ ตำรา นกจักรกล ถุงหอม และเครื่องประดับหยก…
“ของพวกนี้…” ลู่จื่อชิงนำมันออกมา “เหตุใดถึงได้รู้สึกคุ้น ๆ เล่า?”
“ของเหล่านี้ล้วนเป็นสิ่งที่เจ้าให้ข้ามา” ซ่งหานจือกล่าว “นับตั้งแต่ชิ้นแรกจนถึงชิ้นสุดท้ายก่อนที่เราจะแยกจากกัน ทุกอย่างอยู่ที่นี่ แน่นอนว่าไม่รวมถึงของกิน”
“เหตุใดเจ้าถึงเอามาไว้ที่นี่? ของเล็ก ๆ น้อย ๆ เหล่านี้ไม่มีราคาค่างวดอะไร” ลู่จื่อชิงหยิบกลองป๋องแป๋งขึ้นมา
นางยังให้ของแบบเด็ก ๆ ไปด้วย เหตุใดไม่น่าประทับใจเอาเสียเลย?
“สำหรับข้า ทุกอย่างที่ชิงเอ๋อร์ให้มาสำคัญยิ่ง” ซ่งหานจือกล่าว “ของเหล่านี้คือสมบัติที่ข้าอยากจะเก็บไว้ตลอดชีวิต”
“เหตุใดจู่ ๆ เจ้าถึง…” ลู่จื่อชิงทนสายตาที่ลุกเป็นไฟคู่นั้นไม่ได้ นางเอ่ยอย่างขัดเขิน “เจ้าไม่ได้กำลังหาจี้หยกหรือ? ข้าไม่เห็นว่าในนี้มีจี้หยกเลยนี่”
ซ่งหานจือหยิบถุงหอมออกมาจากมุมกล่อง เปิดมันออกแล้วหยิบจี้หยกข้างในออกมา “อยู่ตรงนี้”
“หาเจอก็ดีแล้ว เช่นนั้น…”
“ชิงเอ๋อร์ นี่เป็นจี้ที่ตกทอดมาของสกุลซ่งเรา จะต้องมอบให้นายหญิงของจวนซ่ง” ซ่งหานจือกล่าว “เจ้าเก็บไว้ให้ข้าก่อนได้หรือไม่?”
ลู่จื่อชิงมองเขา “เหตุใดข้าต้องเก็บไว้ให้เจ้า?”
“ข้าอยากเขียนจดหมายถึงท่านพ่อท่านแม่เสียก่อน เชิญพวกเขากลับมา ไปสู่ขอที่จวนลู่ ขอท่านอ๋องกับพระชายาให้ยกเจ้าหมั้นหมายกับข้า เดิมทีข้าควรไปพร้อมกับท่านพ่อ ท่านแม่ และแม่สื่อ ทว่ายังเหลืออีกครึ่งปีจึงจะสอบขุนนาง เวลานี้พระชายาก็ยังไม่กลับมา มิหนำซ้ำเจ้ายังโกรธข้าอีก ข้ารอไม่ไหวแล้วจริง ๆ จี้หยกมอบให้เจ้าเก็บรักษาไว้ก่อน รอข้าสอบขุนนางมีข่าวดี ถึงตอนนั้นข้าจะไปสู่ขอเจ้าอย่างเป็นทางการเป็นอย่างไร?”
“หากเจ้าสอบไม่ผ่านเล่า? ไม่ถูกสิ หากข้าไม่ยินดีแต่งให้เจ้า ไม่ว่าเจ้าจะสอบผ่านหรือไม่ ข้าก็ไม่มีทางตอบตกลง เจ้าอาศัยสิ่งใดคิดว่าข้าลู่จื่อชิงขาดเจ้าไม่ได้ หรือเจ้าคิดว่าแม่เสืออย่างข้าถูกกำหนดไว้ว่าจะไม่ได้แต่งงาน มีเพียงเจ้าซ่งหานจือที่จำใจยอมรับข้าเอาไว้?”
“เจ้าก็รู้ว่าข้าไม่ได้หมายความเช่นนั้น” ซ่งหานจือเอ่ย “ข้าไม่อยากให้เจ้าโกรธข้าอีก ข้าจึงอยากบอกความรู้สึกของข้าให้ชัดเจน อยากบอกเจ้าเรื่องที่ข้าจากไปโดยไม่ร่ำลา”
“ข้าว่านะลู่รอง หากเจ้าไม่อยากแต่งให้เขา เจ้าอยากติดตามข้าไปหรือไม่?” จี้ซ่งเฉิงเอ่ยพร้อมกับแย้มยิ้มเจ้าเล่ห์อยู่บนหลังคา
ซ่งหานจือ “…”
เดิมทีลู่จื่อชิงรู้สึกเขินอายเล็กน้อย ทว่าทันทีที่จี้ซ่งเฉิงโผล่มา บรรยากาศทั้งหมดพลันหายวับไป นางจ้องจี้ซ่งเฉิงด้วยแววตาดุดันแล้วเอ่ยว่า “เหตุใดท่านตามเขาตลอดเลยเล่า?”
จี้ซ่งเฉิงเลิกคิ้ว “ข้าเป็นบุรุษ ตามเขาแล้วจะเป็นอะไรไป? ข้าไม่ได้มีนิสัยชอบตัดแขนเสื้อ ที่แท้หมู่นี้เจ้าทำตัวแปลก ๆ ต่อเขา เพราะเจ้าหึงข้าหรือ!”
“บ้านเจ้าน่ะสิ!”
“สตรีหยาบคาย” จี้ซ่งเฉิงกล่าว “มีเพียงซ่งหานจือเท่านั้นที่จะทนเจ้าได้ เจ้าไม่ต้องทำร้ายผู้อื่นแล้ว ระยะนี้เจ้าเมินเขา เขาผอมโซลงไปมากทีเดียว หรือว่าเจ้าหลงรักซือหม่าจี้อิงแล้วจริง ๆ? ข้าเห็นว่าเจ้าสองคนดูเข้ากันได้แบบพี่ชายน้องสาวมากกว่า ไม่เหมือนมีความสัมพันธ์อย่างบุรุษสตรีนี่ หรือว่าข้ามองผิดไป?”
“ท่านถ่อไปถึงจวนลู่เพื่อสอดแนมเลยหรือ? ลู่จื่อชิงตกใจ “ผู้คุ้มกันลับของจวนลู่ล้วนแต่กินข้าวเสียเปล่าแล้วรึ?”
“วางใจ ผู้คุ้มลับของจวนลู่พวกเจ้าไม่มีปัญหา เพียงแค่คุ้นเคยกับข้าเกินไปเท่านั้นจึงไม่ได้ไล่ข้าออกมา” จี้ซ่งเฉิงกล่าวต่อ “อย่าเปลี่ยนเรื่อง ซ่งหานจือถามเจ้าน่ะ เจ้าจะแต่งหรือไม่แต่งกันแน่?”
“พี่ใหญ่ซือหม่าเป็นสหายของพี่ชายข้า ข้าเพียงแค่รู้สึกสนิทสนมกับเขา อีกทั้งเขายังอยู่ที่บ้านเรา ข้าจึงมักจะคุยกับเขาตอนที่ไม่มีอะไรทำ” หากไม่ใช่เพราะทะเลาะกับซ่งหานจือ นางคงไม่บึ้งตึงถึงเพียงนั้น ยิ่งไม่จำเป็นต้องหาคนพูดคุยด้วย
ซ่งหานจือมองลู่จื่อชิงด้วยความดีใจ “ดังนั้นเจ้าไม่ได้เปลี่ยนใจหรือ?”
“พวกเราคนสกุลลู่ไม่ได้หลายใจเพียงนั้น” ลู่จื่อชิงกล่าว “อีกอย่าง อย่าได้ทำเหมือนข้ารังแกเจ้า ที่เจ้าทิ้งข้าไปครานั้นไม่ได้คิดหรือว่าข้าจะไม่ให้อภัย”
“ในตอนนั้น…”
“ข้ารู้” ลู่จื่อชิงขัดคำเขา “ข้ารู้ความคิดของเจ้า แต่ข้าก็ยังโกรธ จึงอยากระบายความโกรธออกมาบ้าง แล้วไปเถิด เห็นแก่เจ้าเก็บรักษาของที่ข้าให้ไว้อย่างดี ข้าจะยกโทษให้แล้วกัน”
“เจ้ายกโทษให้เขา เช่นนั้นแปลว่าจะแต่งหรือไม่?” จี้ซ่งเฉิงทนมองภาพสองคนนี้ไม่ได้จึงเอ่ยถามอีกครั้ง “ไม่ง่ายเลยกว่าข้าจะมาที่นี่สักเที่ยว ต้องให้ข้าได้ดื่มสุรามงคลก่อนออกเดินทางกระมัง?”
“การแต่งงานเป็นคำสั่งของบิดามารดา ไยต้องถามข้า?” ลู่จื่อชิงกล่าว “เจ้าไม่ได้อยากสอบขุนนางก่อนค่อยสู่ขอหรือ? รอเจ้าสอบขุนนางผ่านแล้วค่อยว่ากัน ส่วนท่านพ่อท่านแม่ข้าจะเห็นด้วยหรือไม่นั้น เจ้าสามารถถามพวกเขาเองได้”