บทที่ 1063 ลู่จื่ออวิ๋นหายไป
บทที่ 1063 ลู่จื่ออวิ๋นหายไป
ห้องตำรา ลู่อี้ส่งข้อมูลให้กับเซี่ยเฉิงจิ่น
เซี่ยเฉิงจิ่นกางออกดู แล้วลุกขึ้นยืนทันที “พ่อตา อวิ๋นเอ๋อร์นาง…”
“หน่วยข่าวกรองรายงานว่าอวิ๋นเอ๋อร์กลับมายังเมืองหลวงก่อน ระหว่างทางถูกโจมตี ตกลงไปในแม่น้ำไม่รู้เป็นตายร้ายดีอย่างไร คนของเราค้นหานางไปทั่วทุกที่กลับหาไม่พบ ข้ารู้ว่าหมู่นี้อาณาจักรเฟิ่งหลินไม่ได้สงบสุขนัก เจ้าอยู่ที่นี่นานไม่ได้ บัดนี้เกิดเรื่องเช่นนี้กับอวิ๋นเอ๋อร์อีก เจ้าคิดจะทำอย่างไร?”
“ข้าจะไปตามหาอวิ๋นเอ๋อร์” เซี่ยเฉิงจิ่นกล่าว “ส่วนเรื่องในราชสำนัก ข้าจะเขียนจดหมายถึงท่านอัครเสนาบดี ให้สิทธิ์เขาจัดการอย่างเต็มที่”
“อาณาจักรเฟิ่งหลินไม่สงบ เจ้ากลับมอบอำนาจในราชสำนักให้อัครเสนาบดีคนสำคัญแล้ว คิดถึงผลที่ตามมาบ้างหรือไม่?”
“ไม่ว่าผลที่ตามมาจะเป็นอย่างไร ข้าก็เต็มใจที่จะแบกรับมัน และข้าทนแบกรับมันได้ อย่างไรก็ตามหากเกิดอะไรขึ้นกับอวิ๋นเอ๋อร์ ข้าไม่สามารถทนไหว”
อาณาจักรไม่อาจขาดฮ่องเต้ได้แม้เพียงวันเดียว ทว่าอาณาจักรหนึ่งสามารถมีฮ่องเต้ได้หลายพันคน อย่างไรก็ตาม ภรรยาของเขานั้นไม่ใช่ นางอาจกำลังรอให้เขาไปช่วยอยู่ที่ไหนสักแห่ง ภรรยาของเขามีเขาเป็นสามีเพียงผู้เดียวเท่านั้น
“ข้าจะตระเตรียมคนส่งเฉิงอี๋กลับอาณาจักรเฟิ่งหลิน เจ้าเห็นว่าอย่างไร?”
“พ่อตาพิจารณาทุกอย่างถี่ถ้วนแล้ว” เซี่ยเฉิงจิ่นกล่าว “ขอบคุณพ่อตายิ่งนัก”
เซี่ยเฉิงอี๋เป็นรัชทายาท หากเซี่ยเฉิงจิ่นไม่อาจกลับอาณาจักรได้ก็ให้เซี่ยเฉิงอี๋เข้าไปจัดการสถานการณ์โดยรวมเสีย บัดนี้เขาควรรับหน้าที่สำคัญแล้ว
เมื่อเซี่ยเฉิงอี๋ทราบเรื่องการเตรียมการของบิดา เขาก็เร่งเร้าให้บิดาไปตามหามารดาและยินดีกลับอาณาจักรไปรักษาสถานการณ์โดยรวม
ลู่อี้ไม่วางใจ จึงจัดเตรียมคนสนิทหลายคนให้เซี่ยเฉิงอี๋ อีกทั้งยังมอบตราประทับหมาป่าในมือให้เขา
ตราประทับหมาป่าที่ว่าเป็นกองทัพส่วนตัวของลู่อี้ แต่ละคนเพียงหนึ่งต้านได้ถึงร้อย ทั้งหมดมีจำนวนเพียงหนึ่งพันคนเท่านั้น ลู่อี้ใจกว้างกับหลานชายผู้นี้ยิ่งจึงมอบคนให้เขาถึงห้าร้อยคนอย่างไม่ลังเล
ณ เมืองฮู่เป่ย มู่ซืออวี่ผลักประตูเปิดเข้าไปข้างใน
“พระชายาลู่ ท่านเคาะประตูไม่ได้หรือไร?”
ฉีเซียวรีบซ่อนแขนไว้ใต้เสื้อผ้า
“กลิ่นเลือดโชยมาแต่ไกล นอกจากกลิ่นเลือดแล้วยังมีกลิ่นเหม็นด้วย หากข้าเคาะประตู ท่านคงไม่บอกให้ข้ารู้ว่าได้รับบาดเจ็บ ถึงแม้จะต้องตายอยู่ข้างในกระมัง?”
“คราวนี้ได้รับบาดเจ็บที่ใดอีก?”
“พวกเรากำลังจะจับเศษเดนคนสำคัญของพรรคเทพจันทราได้ แต่นึกไม่ถึงว่าจะถูกพบเข้า เพียงแต่วางใจเถอะ น้องชายเจ้าสบายดี เขาพักผ่อนอยู่ห้องข้าง ๆ ”
“ก็เพราะได้ยินว่าเขากลับมาแล้ว ข้าจึงรู้ว่าท่านกลับมาด้วย” มู่ซืออวี่มองดูบาดแผลแล้วเอ่ย “อาวุธมีพิษ จะต้องสกัดพิษออก”
“ข้ากินยาถอนพิษไปแล้ว พิษที่ตกค้างไม่นับเป็นอะไร” ฉีเซียวกล่าว
“ไม่ได้ ข้าต้องเค้นมันออกมา”
มู่ซืออวี่หยิบกริชขึ้นมาลนไฟ
ฉีเซียว “…”
ความโหดร้ายของสตรีผู้นี้เพิ่มขึ้นอีกแล้ว
เขาหลับตาลง ปล่อยให้นางใช้กริชเฉือนบาดแผลตนบาดแผลแล้วบาดแผลเล่า ของเหลวอุ่น ๆ จึงไหลออกมา
“ครั้งนี้พวกท่านปล่อยให้คนของพรรคเทพจันทราหนีไปได้อีกแล้วหรือ?”
“หนีน่ะหนีไปแล้ว เพียงแต่ทิ้งหลักฐานสำคัญเอาไว้ ดังนั้นข้าจึงต้องกลับเมืองหลวงเพื่อตรวจสอบ”
ฉีเซียวจะกลับเมืองหลวงแล้ว มู่ซืออวี่จึงขอให้พาจูเฉินไปด้วย เขาจะได้กลับไปเมืองหลวงเพื่อเตรียมตัวเข้าสอบ
แน่นอนว่าตอนนี้ยังเร็วเกินกว่าที่นางจะรีบกลับไป นางเชื่อว่าลู่อี้จะจัดเตรียมทุกอย่างด้วยเวลาที่เหลือได้อย่างเรียบร้อย
มู่ซืออวี่เพิ่งส่งฉีเซียวและจูเฉินไปก็เกิดบางอย่างขึ้นที่สกุลฉิน
นางรุดไปที่สกุลฉินทันที
“พระชายามาแล้ว” พ่อบ้านรีบร้อนวิ่งเข้ามาต้อนรับ “นายท่านของพวกเราได้รับบาดเจ็บ ฮูหยินกำลังดูแลอยู่จึงไม่อาจมาต้อนรับพระชายาด้วยตนเอง โปรดอย่าได้ถือโทษฮูหยินเลยนะขอรับ”
“ชีวิตนายท่านของพวกเจ้าไม่ได้ตกอยู่ในอันตรายใช่หรือไม่?”
“ไม่ถึงขั้นนั้นขอรับ เพียงแค่เฉียดไป… ดาบนั้นแทงใกล้กับหัวใจยิ่ง หากพลาดแม้เพียงนิดคงตายไปแล้ว” พ่อบ้านยังคงหวาดกลัว
“ผู้ใดทำ?”
“นายท่านกล่าวว่ามีคนจากพรรคเทพจันทราพบเรื่องที่เขาทำจึงต้องการแก้แค้นขอรับ”
เจิ้งซูอวี้สภาพร่างกายไม่ดีเป็นทุนเดิม หลังจากฉินเหวินหานได้รับบาดเจ็บ สภาพจิตใจของนางก็ยิ่งย่ำแย่ลงไปอีก
มู่ซืออวี่มอบยาช่วยชีวิตให้นาง ทว่าก็ทำได้เพียงประคับประคองไปตามอาการเท่านั้น ไม่ใช่การแก้ที่ต้นเหตุ ฐานรากของนางนั้นพังไปแล้ว
มู่ซืออวี่รู้ดี นางกลัวจะต้องเสียพี่น้องที่แสนดีผู้นี้ไป
เจิ้งซูอวี้ก็รู้สภาพร่างกายของตนเองดีเช่นกัน เรื่องที่พูดคุยกับมู่ซืออวี่มากที่สุดจึงเป็นเรื่องลูกทั้งสองของนาง
“ลูกเจ้าก็คือลูกข้า เจ้ามีอะไรต้องกังวล? ไม่ถูก ยังคงกังวลให้มากจึงจะดี เจ้าจะได้ไม่ต้องหมดห่วงแล้วทิ้งพวกเขาไว้ข้างหลังจริง ๆ”
เจิ้งซูอวี้มองฉินเหวินหานที่นอนอยู่บนเตียงแล้วเอ่ย “มีเจ้าอยู่ ข้าก็อุ่นใจ เจ้าก็เห็นแล้ว บุรุษผู้นี้ปกป้องแม้กระทั่งตนเองไม่ได้ด้วยซ้ำ ข้าจะวางใจมอบเด็ก ๆ ให้เขาได้อย่างไร? เพียงแต่เด็กสองคนนี้โชคดีจึงมีเจ้าผู้เป็นแม่บุญธรรมผู้นี้คอยปกป้อง”
“ซูอวี้ มันจะต้องดีขึ้นอย่างแน่นอน” มู่ซืออวี่รู้สึกจุกอก
“อันที่จริงเจ้าก็รู้…” เจิ้งซูอวี้สบตานาง “ที่เจ้ายังไม่จากไปเพราะตัดใจจากข้าไม่ได้ เจ้ารู้ดีว่าการจากลาครั้งนี้จะเป็นการจากลาชั่วนิรันดร์ ใช่หรือไม่?”
ฉินเหวินหานหมดสติอยู่ครึ่งเดือนจึงฟื้นขึ้นมา
ทั้งสองไม่รู้ว่าจะกล่าวอะไร วันรุ่งขึ้น ทรัพย์สินทั้งหมดของสกุลฉินจึงถูกแบ่งออกเป็นสองส่วน ครึ่งหนึ่งมอบให้กับคนในสกุลคนอื่น ๆ อีกครึ่งหนึ่งมอบให้กับมู่ซืออวี่ ยืมมือนางรักษามันไว้ให้ลูกทั้งสองคน
แน่นอนว่าคนสกุลฉินย่อมไม่ยินดี ฉินเหวินหานอยู่ในช่วงรุ่งโรจน์ เหตุใดต้องส่งมอบกิจการออกไป? นอกจากนี้ถึงแม้ว่าเขาจะไม่ต้องการดูแลมัน เขาก็ควรมอบให้คนในสกุลคนอื่น ๆ แทนที่จะมอบครึ่งหนึ่งให้กับมู่ซืออวี่
นั่นคือพระชายาลู่
ถึงแม้นางจะร่ำรวยพอ ๆ กับอาณาจักรหนึ่ง ทว่ากิจการของสกุลฉินก็ไม่ได้มีน้อย ๆ ทันทีที่ตกไปอยู่ในมือนางจะไม่เท่ากับปาหินให้กระดอนไปบนน้ำ*[1] หรือ?
คนในสกุลฉินผู้ใดก็ไม่คิดว่าพระชายาลู่จะมอบเงินที่นางได้รับไปออกมา
เหตุที่ฉินเหวินหานต้องการแบ่งทรัพย์สินเพราะต้องการพาเจิ้งซูอวี้ไปที่เมืองถงหยาง อยากจะลงหลักปักฐานพักฟื้นร่างกายอยู่ที่นั่น
ร่างกายของเจิ้งซูอวี้ไม่อาจทนรับความกระทบกระเทือนใด ๆ อีกต่อไปได้ หลังจากฉินเหวินหานได้รับบาดเจ็บสาหัส ร่างกายก็ไม่ดีอย่างเมื่อก่อนจึงไม่เหมาะที่จะทำการค้าอีกต่อไป
เขาทำงานหนักมาเกือบทั้งชีวิต แต่อย่างไรก็ไม่อาจมอบทุกอย่างให้กับคนในสกุลได้ ภายหน้าลูกทั้งสองคนจะทำอย่างไร? เขาคิดซ้ำแล้วซ้ำเล่า สุดท้ายจึงตัดสินใจว่ามู่ซืออวี่คือผู้ที่เหมาะสมที่สุดที่จะมอบความไว้วางใจให้
เมื่อลูกอายุครบสิบห้าปี นางสามารถมอบทรัพย์สินของสกุลครึ่งหนึ่งให้แก่ฉินซินได้ รอเขารับผิดชอบได้ด้วยตนเอง ค่อยปล่อยที่เหลือทั้งหมดให้อยู่ในมือ
บิดามารดารักบุตรจึงต้องวางแผนการยาวไกลถึงเพียงนี้
มู่ซืออวี่จัดงานเลี้ยงใหญ่ขึ้น จุดประสงค์เพื่อรับลูกทั้งสองคนของเจิ้งซูอวี้เป็นบุตรบุญธรรม ทุกคนจะได้ทราบว่าสกุลฉินยังคงมีจวนอ๋องลู่คอยหนุนหลัง
ต่อหน้าคหบดีและขุนนางคนสำคัญของเมืองฮู่เป่ย นางได้มอบจี้หยกสั่งทำให้เด็กทั้งสองเพื่อเป็นหลักฐานยืนยันว่านางเป็นมารดาของพวกเขาแล้ว
หลี่หงซูนั่งอยู่ในงานเลี้ยงกับลูกของตน มองดูบุตรของสกุลฉินคุกเข่าต่อหน้ามู่ซืออวี่ แล้วหันมามองลูกตนเอง แววตาเต็มไปด้วยความอิจฉา
“ฮูหยินฉิน ยังเป็นท่านที่ร้ายกาจ ท่านกับพระชายาก็เหมือนพี่น้อง ลูกทั้งสองคนภายหน้าย่อมได้รับการสนับสนุนแล้ว” ฮูหยินของคหบดีผู้หนึ่งกล่าวกับเจิ้งซูอวี้