ตอนที่ 380 นายใหญ่จี้หยวน
แม้กั้นไว้ด้วยวิชาของเจ้าที่ แต่หูของจี้หยวนยังคงได้ยินเสียงภายในเรือน ได้ยินเสียงวุ่นวายเละทแหมือนโจ๊กหม้อหนึ่งเช่นกัน
‘นายใหญ่ผู้นี้ ไม่ใช่ว่าพูดถึงข้ากระมัง’
จี้หยวนแปลกใจอยู่บ้าง แต่ขณะเดียวกันนั้นก็นึกความเป็นไปได้อื่นไม่ออกแล้ว
เทียบเจตกระบี่เกิดขึ้นเมื่อแปดหรือเก้าสิบปีก่อนหากนับจากปัจจุบัน ประกอบด้วยเจตกระบี่และปราณดั้งเดิมของจั่วหลี มือหนึ่งในใต้หล้าที่ทั่วทุกอาณาจักรยอมรับ เรียกได้ว่าพิเศษมากจนเกือบเหนือกว่าคำว่าไม่ธรรมดามาเกือบร้อยปีแล้ว
หากจะพูดกันตามจริง ผู้ที่ได้รับผลกระทบจากเทียบเจตกระบี่ลึกซึ้งที่สุดน่าจะมีเพียงสองคน คนหนึ่งย่อมเป็นจั่วขวงถูหรือจั่วหลีผู้เขียนเทียบเจตกระบี่ในครั้งนั้น อีกคนหนึ่งก็คือจี้หยวน แม้ระหว่างนั้นเปลี่ยนคนไม่น้อย แต่จี้หยวนรู้สึกว่าคนเหล่านั้นไม่ได้รับผลกระทบจากเทียบเจตกระบี่สักเท่าไหร่
ตัวหนังสือบนเทียบเจตกระบี่กลายเป็นภูตหลายตน นายใหญ่ที่พวกมันเรียกก็อาจหมายถึงจั่วหลีหรือเขาคนแซ่จี้ แต่พูดก็พูดออกไปแล้ว จั่วหลีตายเกือบร้อยปีแล้วเช่นกัน นอกจากนี้เทียบอักษรในตอนแรกแม้ไม่ธรรมดา ทว่าก็เป็นเพียงเทียบอักษรเท่านั้น
‘ดังนั้นกำลังเรียกข้าใช่หรือไม่’
จี้หยวนมองเรือนที่ปกคลุมด้วยวิญญาณดินด้วยสีหน้าประหลาดใจ ถูกตัวอักษรร้อยกว่าตัวเรียกว่านายใหญ่แล้ว รู้สึกแปลกและน่าขันอยู่ในที
เจ้าที่ในเรือนยกไม้เท้า แสงไฟบนนั้นเปลี่ยนจากเปลวเพลิงก่อนหน้านี้เป็นเหมือนกับคบไฟแล้ว
ถึงแม้เป็นเพราะไฟถึงเพิ่มการมองเห็นในเรือนมากขึ้น แต่เจ้าที่มองไปถึงผนังที่เปื้อนคราบหมึกแล้ว ก็ยังมองไม่ออกว่ามีภูตตนใดซ่อนอยู่อีกโดยสิ้นเชิง
เรือนหลังใหญ่ขนาดนี้ เขาแทบเข้าใจในทันทีว่าตนเองหาไม่พบแล้ว ในใจคิดว่าหากพวกมันหนีไปได้ ครั้งหน้าเฝ้าระวังคาดว่ามีโอกาสจับพวกมันไว้ได้
“ในเมื่อพวกเจ้ายังไม่ออกมา เช่นนั้นอย่าหาว่าเจ้าที่อย่างข้ามือหนักแล้วกัน ได้รับความเคารพเลื่อมใสจากคนมากมายขนาดนี้ ย่อมต้องคลายทุกข์ให้ผู้คนอยู่แล้ว”
ฮูม…
ไฟบนไม้เท้าสูงขึ้นหลายฉื่อโดยพลัน ชัดเจนว่าเจ้าที่ไม่ได้ล้อเล่น ต้องการเผาเรือนหลังนี้จริงๆ แล้ว
“เจ้ากล้า!”
“ตาเฒ่าช่างกล้านัก!”
“รีบปล่อยพวกข้าออกไป!”
“รีบปล่อยพวกข้าออกไปสิ…”
“ตาเฒ่า พวกข้าจะออกไปแล้ว!”
“ใช่ๆๆ พวกข้าจะออกไปแล้ว!”
“ข้าไม่ออกไป!”
“ข้าก็ไม่ออก!”
“จะถูกเผาตายแล้ว!”
“ตายก็ตาย!”
“โอ๊ยๆๆ อย่าเผาๆ!”
เจ้าที่ได้ยินเพียงเสียงหนวกหูของเหล่าภูต อึกทึกเต็มหูไปหมด เกิดเป็นความรู้สึกรำคาญแทบทนไม่ไหว นอกจากได้ยินเสียงแล้ว เขาไม่เห็นความเคลื่อนไหวใดเลย
“หึๆ ยังปากแข็งอีกนะ…”
เขาเคาะไม้เท้าไปทั้งสี่ทิศ เปลวไฟหลายกลุ่มลอยออกมาทันที เริ่มแผดเผาทุกส่วนของเรือนหลังนี้แล้ว
“อ๊าก…”
“ไม่…”
“ต้องถูกเผาตายแล้ว!”
“นายใหญ่ช่วยด้วย!”
“นายใหญ่ช่วยด้วย!”
…
ท่ามกลางบรรยากาศแห่งความร้อนใจและเสียงดังโวยวาย เจ้าที่จุดไฟออกมาแล้ว เตรียมดำดินจากไป ตนเองจะได้ไม่จมอยู่ในทะเลเพลิง วิชาคุมเพลิงแบบนี้ไม่ใช่วิชาเพลิงที่อัศจรรย์อะไรมาก เพียงปล่อยไฟออกไปเท่านั้น หลังจากจุดสิ่งของติดไฟแล้วจะกลายเป็นไฟธรรมดา นอกเสียจากใช้พลังอยู่ตลอด ไม่เช่นนั้นตนเองก็ต้องถูกเผาไปด้วย
ทว่ายังไม่ทันที่เจ้าที่จะดำดินจากไป เขาพบว่าลูกไฟที่ตนเองปล่อยออกไปค่อยๆ อ่อนกำลังลงกลางอากาศ ตอนที่ยังไม่ถูกผนังไม้ก็เหลือขนาดเท่าสะเก็ดไฟแล้ว สุดท้ายไม่มีสิ่งใดถูกเผาไหม้เลย
“เอ๋?”
เจ้าที่พลันตกใจ โบกไม้เท้าจุดไฟอีกครั้งอย่างไม่อยากเชื่อ
ครั้งนี้ลูกไฟลอยออกจากไม้เท้าแค่หนึ่งฉื่อก็ดับไปเอง ไฟบนไม้เท้าถึงขนาดเบาลงเรื่อยๆ สุดท้ายดับพรึ่บไปโดยสิ้ยเชิง ภายในเรือนมืดลงไม่น้อยเลย
‘หรือว่าภูตเหล่านี้จะคุมไฟเก่ง ไม่น่าใช่ ก่อนหน้านี้พวกมันกลัวมากเลยไม่ใช่หรือไร!’
เจ้าที่คิดด้วยความสงสัย เสียงโหวกเหวกภายในเรือนถึงระดับความดังระดับใหม่แล้ว
“ฮ่าๆๆๆ…ตาเฒ่าไม่เก่งจริงนี่!”
“วะฮะฮ่าๆ เยี่ยมเลยๆ เขาจุดไฟไม่ได้แล้ว”
“รีบปล่อยพวกข้าออกไป อย่างไรเจ้าก็เผาพวกข้าไม่ได้แล้ว!”
“ใช่ เผาไม่ได้แล้ว!”
“ไม่ปล่อยพวกข้าก็ไปรายงานสิ!”
“ใช่ รายงาน ไปรายงานนายใหญ่!”
…
เจ้าที่มุ่นคิ้ว ฟังจากเสียงจอแจแล้ว เหมือนกับว่าการคุมเพลิงไม่ได้ผลไม่ใช่เพราะพวกมัน เช่นนั้นก็น่าจะมีอะไรพิเศษซ่อนอยู่
“ข้าหลี่น่งเซียงเป็นเจ้าที่ของอำเภอโม่หยวน ผู้สูงส่งท่านใดอยู่ที่นี่ หากสะดวกก็ขอให้ปรากฏตัวหน่อย!”
เจ้าที่ประสานมือพร้อมจับไม้เท้า ขณะเดียวกันกวาดสายตามองไปรอบๆ เอ่ยปากตามมารยาทเป็นการหยั่งเชิง
เมื่อสิ้นเสียง ทันใดนั้นมีเสียงตอบรับ
“เจ้าที่หลี่น่งเซียน จี้หยวนขอคารวะแล้ว!”
จากนั้นเงาร่างของจี้หยวนปรากฏขึ้นในเรือน อยู่ในตำแหน่งที่ห่างจากประตูไม่เกินสี่ห้าก้าว
เจ้าที่หมุนกายตามเสียงไป เห็นคุณชายเสื้อขาวคนหนึ่งอยู่หน้าประตูเรือนไม่ขยับไหว จอนผมยาว ส่วนผมครึ่งหนึ่งกลัดไว้ด้วยปิ่นหยก ดวงตาสีเทากำลังจ้องมองตนเอง อีกทั้งทำมือคารวะด้วย
‘มีคนจริงด้วย?’
“ท่านคือ…”
เจ้าที่แปลกใจเล็กน้อย ยังไม่ทันเอ่ยถามอะไร เสียงภายในเรือนพลันระเบิดขึ้นแล้ว
“นายใหญ่!”
“นายใหญ่!”
“นายใหญ่!”
“อ๊า!”
“เป็นนายใหญ่!”
“เป็นนายใหญ่จริงๆ!”
“ไอ้หยา!”
“นายใหญ่มาแล้ว!”
“นายใหญ่ช่วยด้วย!”
“ตาเฒ่าผู้นี้รังแกพวกข้า!”
…
จี้หยวนมองไปรอบๆ ด้วยเปิดตาทิพย์เต็มที่ถึงพอมองเห็นทุกซอกทุกมุมของเรือนอย่างเพดานและผนัง ตรงที่คราบหมึกค่อนข้างเข้มมีรอยตัวอักษรจำนวนหนึ่งอยู่รางๆ แม้แต่แสงจากภูตก็เป็นสีเดียวกับหมึก
“ออกมาทั้งหมด”
จี้หยวนกล่าวเสียงเรียบ แม้เสียงนุ่มนวล แต่กลับกลบเสียงจอแจทั้งหมดได้ ภายในเรือนเงียบลงในทันที
จากนั้นในสายตาของเจ้าที่และจี้หยวนเริ่มมีตัวอักษรคราบหมึกเข้มลอยออกมาจากทุกมุม รวมถึงบนผนังราบเรียบไร้สิ่งผิดปกติ
กระบี่ ฉัน ตนเอง อาวุธ เหล็ก เจตจำนง แหลม คม…
มีตัวอักษรทั่วไปและมีตัวอักษรความหมายรุนแรง ทั้งหมดเกินกว่าหนึ่งร้อยตัว แต่ละตัวอักษรชัดเจนแยกแยะง่าย ล้วนมีท่วงทำนองวิญญาณสดใสยิ่ง
ที่น่าสนใจคือตัวอักษรบิดงออยู่บ้างไม่น้อยเลย นอกจากนี้ด้านล่างเปื้อนคราบหมึกอยู่กึ่งหนึ่งหรือมุมหนึ่ง ดูแล้วเหมือนกับว่าถือแท่งหมึกไว้ในมืออย่างไรอย่างนั้น
จี้หยวนยิ้มขื่นอย่างจนใจ จับได้คาหนังคาเขาอย่างแท้จริง
“เป็นตัวอักษรหรือนี่ ตัวอักษรกลายเป็นภูตไปแล้วหรือ”
เจ้าที่หัวใจสั่นสะท้าน อดไม่ได้ที่จะพูดโพล่งออกมาด้วยความประหลาดใจ
ตัวอักษรทั้งหมดล้วนลอยอยู่กลางอากาศ ล้อมรอบจี้หยวนไว้ชั้นหนึ่ง บ้างอยู่ในแนวนอน บ้างอยู่ในแนวตั้ง บางครั้งขยับขยุกขยิกครั้งหนึ่งด้วย คล้ายกับกำลังเงยหน้าแอบมองจี้หยวน
อย่าว่าแต่เจ้าที่ จี้หยวนเองก็ไม่เคยคิดเลยว่าจะได้เจอสถานการณ์นี้เช่นกัน
หลังจากเจ้าที่ตกใจแล้วครู่หนึ่ง สายตาเขาเคลื่อนจากตัวอักษรเหล่านั้นมายังตัวจี้หยวน พลันนึกได้ว่าตอนอยู่ริมแม่น้ำก่อนหน้านี้คล้ายกับเห็นคนผู้นี้ด้วย
ตอนนั้นคิดว่าเป็นเพียงมนุษย์คนหนึ่ง จึงไม่ได้ใส่ใจมากเท่าไหร่ ตอนนี้นึกๆ ดูแล้วหากเป็นผู้สูงส่งย่อมมองทะลุภายนอกไปไม่ได้ และถึงแม้เป็นตอนนี้ เจ้าที่ก็ยังคงมองความพิเศษของคนผู้นี้ไม่ออก ยังคงเหมือนกับมนุษย์คนหนึ่ง
พร้อมกันนั้นสายตาของเจ้าที่รวมศูนย์อยู่ที่ข้างๆ อกเสื้อของจี้หยวน พบว่าในอกเสื้อของผู้มาเยือนมีบางสิ่งบางอย่างยื่นหน้าออกมามองรอบๆ เมื่อมองดูให้ดีแล้วกลับเป็นนกกระดาษตัวหนึ่ง
ราวกับรู้สึกได้ถึงสายตาของเจ้าที่ กระเรียนกระดาษหันไปมองเจ้าที่แล้ว จากนั้นหดตัวกลับเข้าไปอยู่ในอกเสื้อจี้หยวนอีกครั้ง
‘เป็นผู้สูงส่งจากที่ใดกันแน่ ไยมีภูตอยู่กับตัวมากมายขนาดนี้!’
ชัดเจนว่าเจ้าที่คิดว่านกกระดาษตัวนั้นเป็นหนึ่งในภูตเช่นกัน
ด้วยความนับถือ เจ้าที่ถือไม้เท้าไว้ในแล้วโค้งคำนับอีกครั้ง
“ข้าน้อยหลี่น่งเซียน เจ้าที่ของอำเภอหยวนโม่ ไม่ทราบว่าภูตตัวอักษรเหล่านี้เป็นของผู้สูงส่งใช่หรือไม่ หากล่วงเกินท่าน ข้าต้องขออภัยตรงนี้!”
“ฮ่าๆๆ ตอนนี้รู้จักกลัวแล้ว!”
“นายใหญ่สั่งสอนเขาเร็ว!”
“นายใหญ่ทวงความยุติธรรมให้พวกข้าด้วย!”
“ใช้กระบี่เซียนสังหารเขา!”
“ไม่ถูกต้อง ใช้เพลิงสมาธิเผาเขาเลย!”
“ไม่ได้ ใช้วิชาตรึงร่างห้อยเขาไว้กลางอากาศสิบปี!”
“ไม่พอๆ ร้อยปี!”
“ใช่ๆ อย่างน้อยต้องร้อยปี!”
ตัวอักษรรอบๆ ส่งเสียงเจี้ยวจ้าวอีกครั้ง ครั้งนี้จี้หยวนมองเห็นชัดเจนแล้ว เสียงนี้มาจากคราบหมึกบนตัวอักษร ชัดเจนว่าตัวอักษรเหล่านี้กลายเป็นภูตแล้ว มีความสามารถพิเศษบางอย่างตามธรรมชาติ
เมื่อสิ้นเสียงตำหนิทั้งหมดแล้ว เจ้าที่หัวใจสั่นสะท้านครั้งหนึ่ง ภูตเหล่านี้เป็นผู้บริสุทธิ์อย่างเห็นได้ชัด ยิ่งเป็นผู้บริสุทธิ์ก็ยิ่งหมายความว่าที่พวกมันพูดเป็นความจริง
“เงียบ!”
จี้หยวนพูดขึ้น ทำให้ทุกเสียงเงียบลงไปในทันที จากนั้นเขาประสานมือให้เจ้าที่ด้วยความกระวนกระวายใจอย่างชัดเจนอีกครั้ง
“เป็นข้าคนแซ่จี้สั่งสอนไม่เข้มงวดถึงได้เกิดเรื่องพรรค์นี้ จริงสิ ขอถามเจ้าที่ว่าตัวอักษรเหล่านี้ขโมยแท่งหมึกออกไปแล้ว ได้ทำเรื่องอันตรายอย่างอื่นหรือไม่”
“ไม่ได้ทำๆ!”
เจ้าที่รีบโบกมือ
“หลายวันนี้มีผู้มีฐานะมากราบไหว้ถวายของบูชาที่ศาลเจ้าที่อยู่หลายครั้ง ด้วยโรงผลิตหมึกถูกขโมยของอยู่หลายครั้ง เชิญเจ้าหน้าที่และผู้สูงส่งมาเฝ้าโกดังแล้วก็ยังคงไร้ผล กลัวว่าเป็นฝีมือของผีสาง ข้าจึงนำเครื่องบูชามาเสาะหาดูหลายๆ ที่ แล้วก็พบเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในวันนี้”
จี้หยวนเข้าใจแล้ว ครั้นกำลังคิดพูดก็ได้ยินเสียงโวยวายดังขึ้นจากข้างนอก เป็นเจ้าของโรงผลิตหมึกและคนอื่นๆ มาแล้ว หลังจากบอกกล่าวกับเจ้าที่แล้ว เขาพาตัวอักษรจากไปก่อน
เมื่อเจ้าของโรงผลิตหมึกพาคนมาถึงในเรือน เขาเพียงเห็นแท่งหมึกที่เจ้าที่เสกออกมากระจัดกระจายอยู่บนพื้น ชั้นวางหมึกล้มระเนระนาดไม่น้อย
แม่น้ำที่ห่างจากโรงผลิตหมึกหลายลี้ จี้หยวนและเจ้าที่นั่งอยู่บนหินริมแม่น้ำ ตัวอักษรเหล่านั้นลอยกลับสู่เทียบเจตกระบี่ทั้งหมดแล้ว แต่ยังไม่ได้เก็บเทียบอักษรไป ยังคงวางแผ่อยู่ข้างๆ จี้หยวน
แท่งหมึกที่ทั้งสมบูรณ์และบิ่นไปบ้างกองหนึ่งอยู่ข้างเทียบเจตกระบี่ เป็นส่วนที่ถูกขโมยไปก่อนหน้านี้
หลังจากทำความเข้าใจจากเรื่องเล่าของเจ้าที่แล้ว จี้หยวนทั้งโมโหและอยากหัวเราะ ขณะเดียวกันมองเทียบเจตกระบี่ข้างกาย
“พวกเจ้าตาแหลมนัก เลือกกินเฉพาะแท่งหมึกคุณภาพสูง…”
ตัวอักษรเหล่าต่างเรียกนายใหญ่อย่างเบิกบานใจ สถานการณ์ที่จับได้คาหนังคาเขาแบบนี้ จี้หยวนไม่มีทางแกล้งโง่ได้แล้ว
และตั้งแต่เมื่อครู่นี้ ตัวอักษรในเทียบเจตกระบี่ไม่ส่งเสียงแล้ว ก่อนหน้านี้พวกมันเห็นหมึกดีเลยอยากกิน ตอนนี้เพิ่งเข้าใจว่าของสิ่งนี้ได้แล้วใช่ว่าอาศัยความสามารถจะกินได้ตามใจชอบ และเข้าใจว่าหาเรื่องเดือดร้อนให้นายใหญ่จนเขาไม่พอใจแล้ว
“ขอถามเจ้าที่ ที่นี่เป็นสถานที่ผลิตแท่งหมึก แท่งหมึกคุณภาพระดับนี้หนึ่งแท่งมีราคาเท่าไหร่หรือ”
สิ่งที่จี้หยวนคิดคือสถานที่ผลิดน่าจะมีราคาถูกลงไม่น้อย ทว่าเจ้าที่ผู้นี้ตั้งสติแจ่มชัดอย่างชัดเจน เมื่อได้ยินจี้หยวนพูดก็รู้ทันทีว่าหมายถึงอะไร
“ท่านจี้ไม่จำเป็นต้องกังวล สิ่งที่พวกมันขโมยไม่ใช่ของคุณภาพดี สุดท้ายยังต้องคัดเลือกอีก และนี่ยังไม่ได้มาตรฐานนำออกไปขาย กระนั้นราคาวัตถุดิบไม่นับว่าสูง ทุกชิ้นมีราคาประมาณสิบเหวินเท่านั้น สำหรับคนรวยเหล่านี้ที่ทำเงินได้มากมายแล้ว มันเป็นเพียงเศษเงินเท่านั้น”
“ที่แท้เป็นเช่นนี้เอง”
เจ้าที่ยังคงพูดต่อ
“คุณชายไม่จำเป็นต้องกังวลกับเรื่องเล็กน้อยเช่นนี้ ข้าจะเข้าฝันคนตระกูลตงเหล่านั้น บอกว่าหลังจากนี้จะไม่มีอะไรเกิดขึ้น แค่คอยเฝ้าดูโรงผลิตหมึกให้มากหน่อย เท่านั้นก็ป้องกันความเสียหายได้แล้ว”
นี่เกินพอที่จะชดเชยความสูญเสียได้ เจ้าของโรงผลิตเองทำกำไรได้อย่างแน่นอน เจ้าที่พูดเช่นนี้เพราะเขาเคยลงมือหนักเกินไปมาก่อน เกือบลงมือเผาภูตตัวอักษรเหล่านี้จนตาย
หากเป็นภูตปกติตายแล้วก็ตายเถอะ แต่ตอนนี้อย่างไรเสียก็มีผู้สนับสนุนรายใหญ่ นับว่าต้องแสดงความเมตตาแล้ว
จี้หยวนย่อมขอให้เป็นเช่นนั้น
“ขอบคุณเจ้าที่ที่ช่วยเหลือ ข้าคนแซ่จี้ติดหนี้ท่านแล้ว! เอาอย่างนี้แล้วกัน หากเจ้าที่มีหนทาง ช่วยหาหมึกดีให้ข้าคนแซ่จี้หน่อยเถอะ ข้าจ่ายเงินแล้วท่านไปซื้อมาก็ได้”
ได้ฟังเช่นนั้นแล้วเจ้าที่ถึงสบายใจ ยิ้มขึ้นได้แล้ว
“ฮ่าๆๆๆ…ท่านจี้พูดเล่นแล้ว ต้องการหมึกดีจำนวนน้อยไม่ยาก ข้าช่วยท่านหามาได้อยู่แล้ว แต่ข้าจะรับเงินจากท่านได้อย่างไร อีกอย่างข้าจะต้องการเงินไปทำอะไร…”
“จริงหรือ สิ่งนี้ก็ไม่ต้องการหรือ”
ตอนนี้จี้หยวนแบมือออก มีเหรียญทิพย์สีทองระยิบระยับพวงหนึ่งนอนอยู่ตรงนั้นอย่างนิ่งสงบ ท่วงทำนองวิญญาณและกระแสแสงผลุบๆ โผล่ๆ อยู่บนนั้น แค่เห็นแวบแรกก็รู้แล้วว่าไม่ใช่ของธรรมดา