ตอนที่ 386
โอกาสแบบนี้ต้องคว้าเอาไว้ให้มั่น ภิกษุฮุ่ยถงสบกับตาสตรีตรงหน้า พยายามควบคุมเสียงให้มั่นคงแล้วกล่าวว่า
“องค์หญิงใหญ่ อาตมามีสหายเดินทางไกลมาหา จำต้องพบกันสักหน่อย หวังว่าจะอำนวยความสะดวกด้วย”
หญิงสาวในชุดสีดอกท้อนั่งตัวตรง หันไปมองทางประตูโดยสัญชาตญาณ จากนั้นมองภิกษุฮุ่ยถง
“ในเมื่อเป็นสหายมาเยี่ยม เช่นนั้นหรูเยียนไม่รบกวนไต้ซือแล้ว”
นางลุกขึ้นยืน จากนั้นคารวะภิกษุฮุ่ยถงที่ลุกขึ้นยืนแล้วเช่นกัน
“สาธุพระวิทยาราช!”
ฮุ่ยถงคารวะกลับเช่นกัน จากนั้นตามองค์หญิงใหญ่เดินไปที่หน้าประตู เมื่อเปิดประตูออก นางกำนัลคนเก่งกำลังยืนอยู่ที่หน้าประตู ส่วนภิกษุที่มารายงานรออยู่ไม่ไกล
องค์หญิงใหญ่ยิ้มกล่าวกับนางกำนัล
“พวกเราไปที่วัดเถอะ หลังจากนี้ค่อยกลับเรือน”
ตอนองค์หญิงใหญ่พูดคำนี้ ฮุ่ยถงส่งสายตาให้ภิกษุที่อยู่ข้างๆ ฝ่ายหลังรู้กัน รีบออกไปบอกกล่าวแขกที่ยังคงรออยู่ข้างนอก
จี้หยวนรอที่ซุ้มประตูได้ไม่ถึงครึ่งเค่อก็เห็นภิกษุที่รีบร้อนจากไปรีบร้อนกลับมาแล้ว
“สาธุพระวิทยาราช โยมจี้ อาจารย์อาให้ข้ามาเชิญท่านเข้าไป เชิญทางนี้!”
เมื่อกล่าวสาธุแล้วเขาผายมือเชิญ จี้หยวนคารวะกลับก่อนกล่าวว่าลำบากแล้ว จากนั้นสาวเท้าตามไป
เป็นเพียงซุ้มประตูที่ไม่ได้ปิดเอาไว้ แต่เมื่อข้ามไปแล้วกลับรู้สึกได้ว่าความวุ่นวายที่ส่วนนอกของวัดเต้าเหลียงจางหายไปไม่น้อย ข้างในให้ความรู้สึกว่าเป็นดินแดนบริสุทธิ์ของพุทธศาสนาอย่างแท้จริง
“โยมเชิญทางนี้!”
เมื่อถึงจุดที่ต้องเลี้ยวเปลี่ยนทิศทาง ภิกษุจะก้าวไปก่อนก้าวหนึ่ง
พอถึงมุมเลี้ยวอีกมุมหนึ่ง จี้หยวนและภิกษุรูปนี้เดินไปแล้วพบกับนางกำนัลคนหนึ่งติดตามสตรีในชุดสีดอกท้อกำลังเดินมาอย่างช้าๆ
ในสายตาของจี้หยวน นางกำนัลผู้นั้นลมหายใจยาว กอปรกับเลือดลมเต็มเปี่ยมและลมปราณที่เบาบางแต่มั่นคง น่าจะเป็นยอดฝีมือที่มีหน้าที่สำคัญติดตัวคนหนึ่ง
ส่วนสตรีในชุดสีดอกท้อมีลมปราณสูงส่ง ใกล้เคียงกับปราณราชวงศ์อยู่บ้าง ต้องเป็นหนึ่งในราชนิกูลแน่นอน เมื่อรวมกับข่าวลือก่อนหน้านี้แล้ว ฐานะของนางเป็นอย่างไรเกรงว่ามีคนเปิดเผยแล้ว
ตอนจี้หยวนสังเกตอีกฝ่าย องค์หญิงใหญ่ผู้นั้นและนางกำนัลข้างกายก็มองจี้หยวนเช่นกัน
เห็นจี้หยวนเดินอย่างสบายใจ มีความสง่างามเป็นของตนเอง แม้กวาดสายตามองมา ทว่าไม่รู้สึกถึงความหยาบคายเลยแม้แต่นิด เหมือนกับชื่มชมทิวทัศน์ดอกไม้งามอย่างสงบเท่านั้น และหลังจากมองอยู่สองครั้งแล้วก็เคลื่อนสายตาไปไม่มองอีก มีความเป็นสุภาพบุรุษทีเดียว ประเด็นอยู่ที่เขาดูลึกลับน่าค้นหา หน้าตาไม่เลวเลยจริงๆ
อย่างไรสังคมนี้ก็มองกันที่หน้าตาเป็นอันดับแรก หากจี้หยวนหน้าบวมมีรอยย่นและมีจมูกรูปร่างเหมือนกระเทียม ต่อให้ท่วงท่าสง่างามแค่ไหนก็น่าจะทำให้คนอื่นหัวเราะเยาะลับหลังอย่างแน่นอน
สองฝ่ายเดินส่วนกัน ไม่มีฝ่ายไหนทักทายกัน มีเพียงภิกษุที่นำทางรูปนั้นเร่งฝีเท้าไปประสานมือคารวะเมื่อสตรีทั้งสองเข้ามาใกล้ ฝ่ายจี้หยวนกลับไม่หยุดฝีเท้าเลย
ครั้นจี้หยวนจากไปแล้ว สตรีทั้งสองหันไปมองเงาหลังอีกฝ่ายตามสัญชาตญาณ เห็นคนผู้นี้ไม่ได้หันหน้ากลับมามองอย่างแท้จริง
“นี่ก็คือสหายของไต้ซือฮุ่ยถงกระมัง ท่วงท่าไม่ธรรมดาดังคาด!”
นางกำนัลเห็นพวกขุนนางใหญ่วางมาดจนชิน แต่เห็นจี้หยวนแล้วก็ยังคงกล่าวชมอย่างอดไม่ได้ องค์หญิงใหญ่ข้างๆ ก็ยิ้มเช่นกัน
“แขกที่ทำให้ไต้ซือฮุ่ยถงปีติเช่นนี้ได้ ย่อมไม่มีทางเป็นคนธรรมดาอยู่แล้ว”
ทั้งสองคนสนทนากันพร้อมเดินอย่างช้าๆ ส่วนจี้หยวนถึงโถงส่วนตัวหลังจากนั้นไม่นาน ภิกษุฮุ่ยถงที่ยังคงมีใบหน้าอ่อนเยาว์หล่อเหลายืนอยู่ในนั้น เมื่อเขาเห็นจี้หยวนมาแล้วก็ออกไปต้อนรับทันที จากนั้นคารวะและกล่าวทักทาย
“สาธุพระวิทยาราช เป็นท่านจี้มาแล้วจริงๆ!”
“ไต้ซือฮุ่ยถงสบายดีหรือไม่”
จี้หยวนประสานมือคารวะ ทั้งคู่ยิ้มทักทายกันเพียงสั้นๆ ก็รู้แล้วว่าอีกฝ่ายสบายดีไม่หยอก
ฮุ่ยถงผายมือให้ภิกษุข้างๆ
“จื้อสิง ออกไปก่อนเถอะ”
“ทราบแล้วอาจารย์อา!”
เมื่อภิกษุรูปนั้นไปแล้ว ในที่สุดจี้หยวนก็ได้ใช้น้ำเสียงเย้าแหย่อย่างชัดเจนพูดสิ่งที่อัดอั้นอยู่ในใจตลอดออกมา
“ไต้ซือฮุ่ยถง สตรีที่เทใจให้ท่านมีไม่น้อยเลย เมื่อรับมือแล้วต้องลำบากยิ่งกว่าการท่องพระสูตรกระมัง”
“เอ่อ…พอเถอะ สำหรับข้าแล้วยากยิ่งกว่าข้ามภูเขาเพื่อขับไล่วิญญาณเสียอีก! ท่านจี้เชิญด้านใน”
ทั้งสองนั่งในโถงส่วนตัว โต๊ะยังคงเป็นโต๊ะเดิม แม้แต่ขนมและน้ำชาก็ไม่ได้เปลี่ยน ทว่าคนที่เข้ามานั่งไม่เหมือนเดิมแล้ว
หลังจากสนทนากันได้ครู่หนึ่ง จี้หยวนรู้เรื่องราวในหลายปีมานี้ของฮุ่ยถงแล้ว
“หมายความว่าแม้อาณาจักรเทียนเป่าไม่นับว่ามีมารปีศาจกำเนิด ทว่ามีเรื่องน่ากังวลใจอยู่ภายใน ปรากฏลักษณะปราณที่ไม่มั่นคง?”
“ถูกต้อง”
ภิกษุฮุ่ยถงพยักหน้า
“ตอนแรกอาตมาวนดูที่อาณาจักรถิงเหลียงก่อน เมื่อกลับมาพำนักที่วัดต้าเหลียงได้ครู่หนึ่งแล้วขึ้นเหนือสู่เหนืออาณาจักรเทียนเป่าทันที เพียงเวลาสี่สิบปีสั้นๆ สถานการณ์ที่นั่นย่ำแย่กว่าตอนที่ข้าไปเยือนครั้งแรกมากมายทีเดียว ในจดหมายที่อาตมาเขียนให้โยมอธิบายเรื่องเหล่านี้อย่างละเอียด แต่เห็นทีโยมไม่ได้รับ”
จดหมายของภิกษุฮุ่ยถงส่งไปถึงตีนเขาลานสารท ไหว้วานเทพภูเขาลานสารทส่งไปถึงภายอาณาจักรต้าเจิน จากนั้นมอบหมายให้ไปรษณีย์ต้าเจินส่งต่อ
หลายปีนี้จี้หยวนไม่ได้อยู่ที่อำเภอหนิงอัน ไม่แน่ใจว่าจดหมายฉบับนั้นหายไประหว่างทางหรือไม่ หรือว่าส่งไปถึงแล้วแต่เขาไม่อยู่จึงหายไปในศาลาว่าการ ครั้งก่อนเจ้าภูเขาลู่แปลงกายจี้หยวนก็ไม่ได้อยู่ที่อำเภอหนิงอัน
“หากเวลาและโอกาสไม่เอื้ออำนวย สามสิบสี่สิบปีเพียงพอให้คนจำนวนหนึ่งทำให้อาณาจักรหนึ่งเกิดความเสียหายอย่างแท้จริง ราชวงศ์เทียนเป่าก่อตั้งอาณาจักรได้สี่ร้อยปีแล้วกระมัง”
จี้หยวนทอดถอนใจพลางถาม
“อืม นานเช่นนั้นแล้ว ก่อนหน้านี้อาตมาตามอาจารย์ไปที่อาณาจักรเทียนเป่าครั้งหนึ่ง เพียงรู้สึกว่าทางนั้นดีไปหมดทุกที่ทาง ทุกที่ล้วนยอดเยี่ยม ทว่าตอนนั้นอาจารย์เคยบอกว่าคนที่รู้จักตัวอักษรบางตัวเป็นเจ้าเมืองได้ ความผ่องใสบางครั้งก็เป็นเพียงรูปลักษณ์ภายนอก ตอนนั้นข้าอายุยังน้อย ไม่ค่อยเข้าใจเรื่องพวกนี้ ตอนนี้เห็นทีตอนนั้นอาจารย์มองทุกอย่างทะลุปรุโปร่งแล้ว”
“สวยแต่รูป จูบไม่หอมสินะ!”
จี้หยวนพึมพำก่อนถามอย่างใคร่รู้
“ไม่ทราบว่าอาจารย์อยู่ที่วัดหรือไม่”
ฮุ่ยถงกล่าวสาธุ
“สาธุพระวิทยาราช อาจารยจ์ของอาตมาหมดอายุขัย มรณภาพไปตั้งแต่สามสิบปีก่อนแล้ว สิริอายุแปดสิบหกปี”
จี้หยวนมุ่นคิ้ว
“ภิกษุระดับสูงเช่นนี้ มีอายุขัยเพียงแปดสิบหกปีเองหรือ พระวิทยาราชไม่ถ่ายถอดภูมิปัญญาเลยหรือไร”
“เป็นตายขึ้นอยู่กับสวรรค์ลิขิต วัดต้าเหลียงของอาตมาไม่ใช่ลานพุทธธรรมของแท้ พระวิทยาราชแปลงกายก็ยังไม่ปรากฏ แม้มีภูมิปัญญาของพระวิทยาราชส่วนหนึ่ง แต่นอกเสียจากมีการช่วยเหลือของยาอัศจรรย์หรือโอสถเซียน ไม่เช่นนั้นก็ไม่มีมนุษย์คนใดฝึกปราณสำเร็จได้ กระนั้นความลึกล้ำในพุทธธรรมของอาจารย์ยังคงเอาชนะลิขิตสวรรค์ไม่ได้ แต่เห็นทีจะพาวิญญาณกลับสู่บัลลังก์พระวิทยาราชได้”
พูดตามตรงว่าผู้แตกฉานในพุทธธรรมย่อมมีจิตใจสูงส่ง แต่ปราณวิญญาณของตนเองไม่เกิดวิชาอัศจรรย์ สภาพร่างกายทนได้ไม่ถึงเดือน
จี้หยวนส่ายหน้า เห็นทีพาวิญญาณกลับสู่บัลลังก์พระวิทยาราชได้อย่างนั้นหรือ
พุทธศาสนาไม่มีระบบการชี้นำที่สมบูรณ์เหมือนกับศาลมืด ภิกษุชรารูปหนึ่งมรณะภาพ นอกเสียจากมีพระวิทยาราชแปลงกายหรือพระวิทยาราชเอง หรือมีวิญญาณผู้มีพุทธธรรมสูงส่งมารับไป ไม่เช่นนั้นส่วนใหญ่ล้วนเข้าศาลมืดทั้งนั้น
แต่ตอนนี้ฮุ่ยถงมีพุทธธรรมจริงแท้ติดกาย เข้าใจปัญหานี้ไม่มากก็น้อย จี้หยวนก็ไม่พูดออกมาทั้งหมด
“จริงสิไต้ซือ ท่านเป็นอะไรกับองค์หญิงใหญ่กันแน่”
“ไอ้หยาท่านจี้อย่าพูดเลย ตอนท่านมาคงพบองค์หญิงใหญ่ด้วยกระมัง อย่ามองว่านางอ่อนช้อยอ่อนแอ ความจริงแล้วมีความคิดความอ่านมาก อีกทั้งเป็นพี่สาวแท้ๆ ของฮ่องเต้องค์ปัจจุบัน ไม่มีใครในอาณาจักรถิงเหลียงกล้าหือ ไม่รู้เหมือนกับว่าเหตุใดถึงถูกชะตากับอาตมา รับมือแล้วเหนื่อยใจอยู่บ้าง!”
เมื่อพูดถึงเรื่องนี้ขึ้นมา ภิกษุฮุ่ยถงจึงเริ่มระบายความในใจ
ความลำบากใจพรรค์นี้ ฮุ่ยถงทำได้เพียงบอกกับจี้หยวน ฐานะของเขาในวัดต้าเหลียงค่อนข้างพิเศษ ไม่มีใครให้พูดคุยด้วย แม้ภิกษุมากมายล้วนบอกว่าช่วงเวลาบวชเรียนขจัดความทุกข์ได้ แต่ตัวภิกษุฮุ่ยุงเองกลับมีความทุกข์อยู่บ้าง
“ฮ่า ข้าว่าองค์หญิงใหญ่อายุยังน้อย ท่วงท่างดงามน่ามอง ใบหน้ายิ่งไม่มีทางเป็นรองใคร ไต้ซือไม่คิดอยากแต่งงานบ้างหรือ ข้าว่าแม้พุทธธรรมของท่านจะลึกซึ้ง ทว่าพระพุทธเจ้าใช่ภิกษุชราจำศีลเสียเมื่อไหร่ ไยไม่ลองพิจารณาดูบ้าง”
“ท่านจี้อย่าล้อเล่นแบบนี้เลย หากองค์หญิงใหญ่ได้ยินเข้าต้องไม่ดีแน่ๆ”
เมื่อได้ฟังคำจี้หยวน รัศมีแสงของภิกษุระดับสูงอย่างฮุ่ยถงหายไปมากกว่าครึ่ง รู้ว่าข้างนอกไม่มีใครแท้ๆ แต่ยังคงมองไปทางประตูอย่างระมัดระวัง จากนั้นกล่าวอย่างหัวเราะไม่ออก ร้องไห้ไม่ได้อยู่บ้าง
“ตอนนี้ฮ่องเต้ออกราชโองการเพื่อพี่สาวของตนเองโดยเฉพาะ ให้อาตมาสอนพระสูตรแก่องค์หญิงใหญ่เป็นการส่วนพระองค์ ทว่านางมาเรียนพระสูตรที่ไหนกัน…”
จี้หยวนหัวเราะแล้ว
“ฮ่าๆๆ นางโลภในตัวท่านกระมัง”
“เอ่อ…”
ฮุ่ยถงมีสีหน้าชะงักค้าง แม้คำพูดของท่านจี้ฟังแล้วสองแง่สองง่ามเป็นอย่างยิ่ง ทว่าเขาเถียงอะไรไม่ออกเลย
วัดต้าเหลียงเป็นวัดประจำอาณาจักรถิงเหลียง ที่จริงแล้วมีความสัมพันธ์ค่อนข้างลึกซึ้งกับราชวงศ์อาณาจักรถิงเหลียง แม้ฮุ่ยถงเป็นภิกษุที่มีพุทธธรรมแท้จริง แต่ฮ่องเต้ออกราชโองการมาแล้วก็ทำได้เพียงรับไว้
“ไม่พูดแล้วๆ เคราะห์ดอกท้อนี้ท่านจัดการเอาเองเถอะ อ้อ พูดถึงเคราะห์ ข้าคนแซ่จี้นึกถึงเรื่องหนึ่งขึ้นได้ ตอนอยู่ที่ต้าเจินไต้ซือพูดถึงคนชื่อจ้าวหลงใช่หรือไม่ นั่นเป็นชื่อทางพุทธศาสนาหลังบวชแล้วกระมัง”
ฮุ่ยถงมุ่นคิ้วพลางคิด จากนั้นส่ายหน้า
“อาตมาจำไม่ได้ว่ามีเรื่องนี้ด้วย”
“อ้อ เช่นนั้นก็เป็นชื่อทางพุทธศาสนาอื่นที่คล้ายกัน…”
“ชื่อพุทธศาสนาที่คล้ายกับอาตมา?”
ฮุ่ยถงครุ่นคิดด้วยความสงสัย แม้ว่า ‘ฮุ่ย’ จะใช้กันมากมายในวัดจริงๆ ก็ตามที
“ไต้ซือไม่ต้องคิดมากหรอก”
จี้หยวนยิ้ม ใช้ตาทิพย์มองไปทางหนึ่ง คล้ายกับมองทะลุผนังไม้ของเรือนออกไป มองไปทางตำหนักพระวิทยาราชที่ใหญ่ที่สุดในวัดต้าเหลียง
ที่นั่นกำยานปราณพุทธเวียนวนเต็มเปี่ยม เสียงบทสวดเลือนรางสะท้อนไปมา
“ข้าจำได้ว่าศาสดาของพวกท่านคือพระวิทยาราชใช่หรือไม่”
“ถูกต้อง เป็นพระวิทยาราช ท่านจี้มองอะไรออกหรือ”
ภิกษุฮุ่ยถงรู้อยู่ลึกๆ ว่าคนที่อยู่ตรงหน้าเป็นผู้สูงส่งครอบครองมรรควิถีอัศจรรย์ ไม่มีทางปล่อยอะไรให้เล็ดรอดไปได้
“วัดต้าเหลียงของพวกท่านพยายามมาหลายปีขนาดนี้ พระพุทธรูปกลางตำหนักฟังเสียงสวดมนต์ทุกวัน ดูดซับแรงปรารถนากำยานมายาวนาน ในที่สุดก็มีเค้าลางพระวิทยาราชแปลงกายอยู่บ้าง ว่ากันว่าตอนพระวิทยาราชแบ่งร่างแปลงกาย ตัวจริงของพระวิทยาราชจะยอมศิโรราบ ไม่รู้ว่าเป็นความจริงหรือไม่”
จี้หยวนถอนสายตากลับมามองฮุ่ยถง
“เอ่อ เรื่องนี้อาตมามีความรู้และประสบการณ์ตื้นเขิน ไม่อาจตอบคำถามของท่านจี้ได้”
เมื่อวัดต้าเหลียงมีพระวิทยาราชแปลงกายประจำการ ไม่ว่าร่างแปลงนี้มีพลังพุทธศาสนาเท่าไหร่ วัดต้าเหลียงล้วนไม่นับว่าเป็นวัดพุทธธรรมดาแล้ว แต่นับเป็นลานพุทธธรรมแท้จริง เท่ากับว่าสถานที่ฝึกปราณแห่งใหม่ถือกำเนิดขึ้นแล้ว
………………………………..