ตอนที่ 389 วัดต้าเหลียงเกิดเรื่องใหญ่แล้ว
“เช่นนั้นท่านจัดการกับจิ้งจอกตัวนั้นอย่างไร”
ภิกษุฝออิ้นเอ่ยถามเสียงเรียบ จี้หยวนก็ไม่ได้ปิดบังเช่นกัน พูดออกไปตามตรง
“จิ้งจอกตัวนั้นมีมรรควิถีไม่น้อย สติปัญญาไม่ธรรมดา เมื่อนางใช้วิชาเสร็จแล้วก็หนีไป”
จี้หยวนเล่าตามความจริง ภิกษุฝออิ้นพลันเอ่ยขึ้น
“ยอดเยี่ยม ท่านจี้มีเมตตากรุณายิ่ง!”
“ฮ่าๆๆ ไต้ซืออย่ากล่าวชมข้าเลย ครั้งนั้นข้าไม่ได้สังเกตเลยจริงๆ ด้วยเชื่อมั่นในวิชาบังตาของตนเองมากเกินไป”
จี้หยวนยิ้มพลางชี้ไปยังดวงตาของตนเอง
ภิกษุฝออิ้นมองดวงตาสีเทาราบเรียบไร้ระลอกคลื่นของจี้หยวนแล้วพยักหน้าเล็กน้อย
“เห็นทีจิ้งจอกตัวนั้นจะมีวิชาอาคมอยู่บ้างจริงๆ”
ด้วยการฝึกปราณของภิกษุชราในตอนนี้ มีตำแหน่งพระวิทยาราชในพุทธศาสนา เป็นหนึ่งในระดับสูงสุดระดับหนึ่งของพุทธศาสนา ย่อมมองออกว่าดวงตาคู่นี้ของจี้หยวนพิการ แต่ยังคงมองแสงเทพออกอยู่ดี ไม่ใช่พลังวิเศษจากจิตใจหรือสวรรค์ เป็นไปได้อย่างยิ่งว่าเป็นตาทิพย์ที่มองเห็นทุกสิ่งทุกอย่างได้
ตาทิพย์ระดับนี้เป็นสิ่งฝึกฝนให้ได้มาครอบครองยากยิ่งนัก ถึงขนาดไม่มีวิชาฝึกฝนที่แม่นยำถูกต้อง ไม่แน่ว่าท่านจี้ผู้นี้ตาบอดสองข้างตั้งแต่เกิด และเป็นหนึ่งในข้อแลกเปลี่ยนให้ได้มาซึ่งตาทิพย์ระดับสุดยอด
โบราณว่าเอาไว้ หากรับมรรคขั้นสูงสุด สวรรค์อาจเพ่งเล็ง นำพาหายนะมาสู่ตัวได้
คิดแล้วภิกษุชราก็กล่าวต่อ
“ถ้ำสวรรค์จิ้งจอกหยกเร้นลับเป็นอย่างยิ่ง ถึงเป็นแดนอริยะผู้ฝึกปราณของทวีปไอหมอกประจิม ก็ใช่จะรู้ว่ามันอยู่ที่ไหน ทว่าอาตมาบังเอิญรู้ว่าถ้ำสวรรค์ตั้งอยู่ที่ไหน หากท่านจี้ต้องการไปสนทนาด้วย จิ้งจอกเก้าหางตัวนั้นต้องไว้หน้าท่านแน่”
จิ้งจอกเก้าหาง!
จี้หยวนพลันตั้งสติ ปีศาจจิ้งจอกฝึกปราณจนมีเก้าหางมีความยากระดับใด นั่นมีคุณสมบัติพอให้เรียกว่าเซียนจิ้งจอกแล้วจริงๆ มิน่าเล่าภิกษุฝออิ้นถึงบอกว่ามีทั้งปีศาจจิ้งจอกและเซียนจิ้งจอก
แต่คำพูดจากปากจี้หยวนยังคงจริงจังเป็นอย่างยิ่ง
“ขอบคุณสำหรับข้อมูล”
“อืม ต้องการตามหาถ้ำสวรรค์จิ้งจอกหยก ต้องหาเขาพยับครามให้เจอก่อน เขาลูกนี้ไม่ใช่ภูเขาชื่อดังลูกใดที่คนทั่วไปรู้จักกันในทวีปไอหมอกประจิม ถึงขนาดไม่นับว่าเป็นเขาที่มีอยู่ทั่วไปอย่างแท้จริง”
ได้ฟังเช่นนี้แล้วจี้หยวนประหลาดใจมาก เขาเป็นคนที่ชอบเรื่องอัศจรรย์เป็นอย่างยิ่ง นับเป็นหนึ่งในความบันเทิงของผู้ฝึกเซียน
“หมายความว่าอย่างไร”
ภิกษุชราเงยหน้าขึ้น สายตาจ้องมองการเรียนตัวของเส้นใยด้านบนต้นไม้ใหญ่ เพราะตอนนี้อยู่ในช่วงฤดูใบไม้ร่วง ใบไม้กลายเป็นสีเหลืองบ้างแล้ว ทว่ายังไม่ร่วงลงมา
“สารทฤดูกล้ำกรายต้นไม้ใหญ่ ใบไม้ร่วงเกิดหิมะโปรยเขาไร้สีเขียวขจี อาตมาได้ยินพระเถระสำนักพุทธของอาตมาพูดไว้ คำว่าพยับครามในบรรดาจิ้งจอกไม่กี่สายพันธุ์ เมื่อใกล้หมดฤดูใบไม้ร่วงเข้าสู่ฤดูหนาว เริ่มต้นเขียวขจร สุดท้ายพยับคราม ไม่มีภูเขาลูกใดชื่อว่าพยับคราม ต่อให้มีภูเขาชื่อเดียวกันก็ต่างความหมายกันไป เขาพยับครามที่ถ้ำสวรรค์จิ้งจอกหยกตั้งอยู่หมายถึงต้นฤดูใบไม้ผลิ กลางฤดูใบไม้ผลิ และปลายฤดูใบไม้ผลิของยอดเขาทั้งสามอย่างน้ำเชี่ยว เขียวขจี และจันทร์มืด”
“หากเวลานั้นเป็นเวลาที่เขาพยับครามจะปรากฏ แล้วจะเข้าไปในถ้ำสวรรค์จิ้งจอกหยกได้อย่างไร”
ถ้ำสวรรค์ไม่ว่าใหญ่หรือเล็กแทบจะมีอาณาเขตของตนเอง และมีเขตอาคมวิเศษบางอย่างคุ้มกันอย่างแน่นอน ไม่อาจรู้ได้ว่าอยู่ที่นั่นแล้วจะเข้าไปได้หรือไม่
“เรื่องนี้อาตมาไม่แน่ใจ ทว่าท่านไปถึงที่นั่นในเวลาที่เหมาะสม อาศัยดวงตาคู่นี้ก็จะมองเค้าลางออกเอง”
หลังจากสนทนากับภิกษุชราแล้ว จี้หยวนไม่รู้สึกถึงความกดดันใดเลยแม้สักนิด นี่อาจเป็นเพราะชินจากการคบค้าสมาคมกับมังกรเฒ่าแล้ว แต่เขายิ่งยินดีเชื่อว่านี่เป็นเพราะพุทธธรรมของไต้ซือฝออิ้น
อย่างน้อยตอนนี้จี้หยวนก็เข้าใจได้เรื่องหนึ่ง พระวิทยาราชสำนักพุทธที่ว่าไม่ใช่พุทธองค์ร่างทองขนาดมหึมา แต่เป็นภิกษุที่ฝึกปราณอย่างถ่องแท้รูปหนึ่ง
ส่วนภิกษุชราฝออิ้นสนทนากับจี้หยวนแล้วมีความรู้สึกเบิกบานใจเช่นเดียวกัน ยากนักที่เขาจะสนทนาอย่างคนธรรมดาเช่นนี้
สองคนยิ่งคุยกันยิ่งลงลึกถึงรายละเอียด ไม่ได้จำกัดอยู่ที่ภายนอกของเรื่องราว ผิวเผินพูดถึงดาราศาสตร์ ภูมิศาสตร์ และปรากฏการณ์ทางธรรมชาติ ลึกซึ้งพูดถึงการฝึกปราณในแขนงต่างๆ ไปจนถึงการเปลี่ยนผันของฟ้าดินในกาย
ได้เจอกับพระวิทยาราชสำนักพุทธไม่ใช่เรื่องง่าย จี้หยวนย่อมไม่มีทางปล่อยให้โอกาสดีเช่นนี้หลุดมือไป ความจริงแล้วภิกษุชราฝออิ้นก็มีความรู้สึกเช่นเดียวกัน ด้วยยากนักจะได้นั่งเสวนามรรคกับผู้ฝึกเซียนที่ระดับการฝึกปราณลึกล้ำยากหยั่งคาดเช่นนี้ และยิ่งอยู่ในช่วงเวลาสำคัญของวัดต้าเหลียงในตอนนี้แล้วด้วย การพบกันครั้งนี้ยิ่งเป็นเหมือนกับโชคชะตาวาสนา
หากพูดถึงเรื่องดาราศาสตร์ ภูมิศาสตร์ และปรากฏการณ์ทางธรรมชาติ จี้หยวนที่ได้รับอิทธิพลจากชาติก่อนมีเรื่องให้พูดมากมายจริงๆ
หากพูดถึงการฝึกปราณ จี้หยวนและมังกรเฒ่าถกกันอยู่หลายครั้ง กอปรกับมหามรรคและคำสั่งสอนที่ได้เรียนรู้ตั้งแต่เด็กจนโตเมื่อชาติก่อน ต่อให้จำได้เพียงไม่กี่ประโยคเท่านั้น แต่สิ่งที่เผยแพร่ได้อย่างกว้างขวางจะต้องมีสาระสำคัญที่อยู่ในนั้น
หากพูดถึงการเปลี่ยนผันของฟ้าดินในกาย จี้หยวนเปิดเขตแดนเป็นฟ้าดินแล้วผืนหนึ่ง ยิ่งกลมกลืนกับฟ้าดินภายนอกอยู่รางๆ
เมื่อพูดถึงอภินิหารบางอย่าง เพื่อเพิ่มแรงโน้มน้าวให้มากขึ้น จี้หยวนถึงขนาดใช้วิชาวิวัฒน์ฟ้าดินเล็กน้อย แสดงเขตแดนของตนเองในรายละเอียดที่เล็กที่สุด โดยรอบปรากฏภาพของดอกไม้ในฤดูใบไม้ผลิ พระจันทร์ในฤดูใบไม้ร่วง และดวงดาวที่แปรเปลี่ยน แสดงให้เห็นความสัมพันธ์ระหว่างเวลาและอวกาศของการเปลี่ยนแปลงฟ้าดินอย่างสมบูรณ์
ภิกษุฝออิ้นและจี้หยวนยิ่งพูดคุยกันยิ่งประหลาดใจ ยิ่งพูดคุยกันยิ่งสนุกสนาน ถึงขนาดรู้สึกว่าปัญหาที่ทำให้กลัดกลุ้มมานานปีก่อนหน้านี้มีเค้าลางคลี่คลาย ขาดก็แต่เพียงไปขัดเกลาความคิดใคร่ครวญให้แตกฉานหลังจากนี้แล้ว
จี้หยวนได้รับประโยชน์มากมายเช่นเดียวกัน หากมองในมุมของพระวิทยาราชพุทธศาสนา เขาย่อมแตกต่างกับเซียนปีศาจมารเทพ ปัญญาเป็นหนึ่งคำที่พุทธศาสนาเน้นย้ำเป็นอย่างยิ่ง อีกทั้งมีบทบาทสำคัญในหลักเหตุผล ภิกษุชราฝออิ้นไม่ใช่พระวิทยาราชที่มีดวงตาโกรธแค้นและสายฟ้าสีทองในศาสนาพุทธอย่างชัดเจน กระนั้นมีพุทธธรรมลึกล้ำและลึกซึ้งยิ่งนัก
คำถามบางอย่างที่ถกกับมังกรเฒ่าก่อนหน้านี้ไม่ได้รับคำตอบ แต่อยู่ที่นี่แล้วจี้หยวนกลับมีความรู้สึกเข้าใจอย่างถ่องแท้ ยิ่งทำให้ความยากลำบากในการฝึกปราณที่ติดอยู่ในใจจี้หยวนมานานหายไปด้วย
ห่างออกไปเล็กน้อย ฮุ่ยถงและพวกเจ้าอาวาสวัดต้าเหลียงแม้เป็นภิกษุที่มีระดับพุทธธรรมสูงส่ง ตอนนี้ยากจะควบคุมตัวเองได้อยู่บ้างแล้ว
ผู้สูงส่งสองคนนั่งเสวนามรรคกันใต้ต้นไม้ เหตุผลที่พูดถึงนั้นทีแรกพวกเขายังฟังเข้าใจ แต่ยิ่งถลำลึกลงไปภิกษุที่ระดับพุทธธรรมต่ำอยู่บ้างรู้สึกมึนงงแล้ว แต่ถึงจะเป็นอย่างนั้นก็ยังคงกัดฟันอดทนบังคับตนเองให้ตั้งสติเอาไว้
การเสวนามรรคแบบนี้ ชีวิตนี้อาจไม่ได้พบเจอเลยสักครั้ง ถึงแม้ฝึกปราณจนถึงระดับสูงแลมีอายุหลายร้อยปีแล้วก็อาจเป็นเช่นนั้น
สองมือของภิกษุฮุ่ยถงประกบกันแน่นสนิท ในหูมีเสียงยามผู้สูงส่งทั้งสองเสวนามรรคด้วยกัน คล้ายกับมีประโยคนับไม่ถ้วนดังก้องอยู่ นี่เป็นเพราะได้ยินเสียงมรรคจากข้างหน้า ทว่าที่อยู่ข้างหลังยังคงดังก้อง ฮุ่ยถงใช้พุทธธรรมของตนเองดูดซับเสียงมรรคเอาไว้ ทำให้ไม่จางหายไป ไม่เช่นนั้นหากจางหายไปแล้วจะถือเป็นความเสียหายอย่างใหญ่หลวง
แม้ตอนนี้ฟังไม่เข้าใจไม่แตกฉาน ทว่าร้อยปี หลายร้อยปี หรือบนเส้นทางการฝึกปราณในอนาคตล้วนมีประโยชน์อยู่กับตัวไม่ขาดหายไป
ตอนนี้ฮุ่ยถงนึกอะไรขึ้นได้ พลันเงยหน้ามองไปรอบๆ เห็นพียงแสงสว่างเหมือนหมอกเหมือนควัน กลางอากาศเกิดมีกลิ่นหอมและดอกไม้ร่วงโรยไล่ออกไปถึงข้างนอกลานวัดแล้ว
“แย่แล้ว!”
ฮุ่ยถงมองเจ้าอาวาสที่อยู่ข้างๆ พบว่าเจ้าอาวาสชราซวดเซแล้ว มุมปากมีเลือดไหล ทว่าไม่ได้รับบาดเจ็บ กลับเป็นเพราะตนเองกัดลิ้นจนเป็นแผล กระนั้นยังคงเวียนศีรษะอยู่บ้างดังเดิม
ฮุ่ยถงรีบก้าวเข้าไปก้าวหนึ่ง เขย่าร่างเจ้าอาวาสสองที
“เจ้าอาวาส เจ้าอาวาส!”
“หืม?”
เจ้าอาวาสได้สติคืนมา จากนั้นมองคนข้างๆ ด้วยความตื่นตกใจ
“ฮุ่ยถง! นี่เป็นวาสนาครั้งใหญ่ที่วัดต้าเหลียงของพวกเราไม่ได้พบมาแล้วเป็นพันเป็นหมื่นปี เจ้าพุทธธรรมลึกล้ำต้องจดจำได้เป็นแน่ ต้องจดจำเอาไว้ให้หมดนะ นี่มันหนักหนาเกินไปสำหรับข้า จำได้ไม่เท่าไหร่เลย และข้าใกล้จะต้านไว้ไม่ไหวแล้ว!”
“ข้ารู้ เจ้าอาวาสโปรดวางใจ ฮุ่ยถงจะพยายามอย่างเต็มที่ แต่ขอให้เจ้าอาวาสคิดหาหนทางโดยเร็ว ผู้สูงส่งทั้งสองถกกันถึงจุดที่ลึกซึ้งเกินไปแล้ว สภาพการณ์โดยรอบเกิดมายา…”
เจ้าอาวาสชรามองทั้งซ้ายและขวา พบว่าเป็นเช่นที่อีกฝ่ายพูด
“เจ้าอาวาส ท่านโปรดบอกภิกษุทั้งหลายให้รีบขับไล่ผู้ศรัทธาทั้งหมดในวัดออกไป เชิญทุกคนที่อยู่ในตลาดข้างนอกวัดให้กลับไปได้ทั้งหมดก่อนยิ่งดี ไม่เช่นนั้นคนทั่วไปเห็นภาพทางมรรคแล้วจะเกิดภาพมายาต่างๆ ขึ้นในจิตใจ อาจส่งเสียงร้องโหวกเหวกเพราะปีติโศกเศร้าหรือตื้นตัน…วัดต้าเหลียงมีผู้มาเยือนเยอะเกินไป หากทุกคนเป็นเช่นนั้นจะรบกวนผู้สูงส่งทั้งสองเสวนามรรคกัน!”
ทุกคนล้วนมีความคิดเป็นของตนเอง ถึงยืนอยู่ในมุมภิกษุอย่างฮุ่ยถงก็เป็นเช่นนั้น
มนุษย์ได้ยินการเสวนามรรคแบบนี้แล้วมีประโยชน์หรือไม่ แน่นอนว่ามี ประโยชน์แตกต่างกันไปในแต่ละคน แม้ผู้ใหญ่ที่มาขอพรที่วัดส่วนใหญ่มีจิตใจซับซ้อนยากแตกฉาน ทว่าอย่างไรเสียก็ยังมีประโยชน์
หากคนกลุ่มหนึ่งเห็นภาพการณ์นี้แล้วแตกตื่น ส่งเสียงโวยวายดังลั่นย่อมรบกวนจี้หยวนและพระวิทยาราชฝออิ้นอย่างแน่นอน วาสนาที่ว่าบางครั้งลึกลับซับซ้อน อาจเป็นเพราะผู้สูงส่งทั้งสองจะคิดว่าเป็นประสงค์ของสวรรค์ จากนั้นจบการเสวนามรรคที่ตรงนี้
ในที่สุดการเสวนามรรคของผู้สูงส่งที่ยาวนานจนไม่รู้ว่าจะจบลงเมื่อไหร่ก็จบลง ผู้ศรัทธาได้รับประโยชน์ไม่มาก ทว่าความเสียหายของวัดต้าเหลียงใหญ่หลวงนัก!
เจ้าอาวาสชราเป็นคนฉลาด พลันนึกถึงเรื่องสำคัญขึ้นได้
“นะโมพระวิทยาราช ข้าสั่งภิกษุทั้งหลายให้เคลื่อนไหวแล้ว จริงสิ นำราชโองการแต่งตั้งวัดประจำอาณาจักรที่ฮ่องเต้องค์ก่อนพระราชทานให้มา!”
เจ้าอาวาสเช็ดเลือดที่มุมปาก มองผู้สูงส่งสองคนที่ร่างกายปกคลุมด้วยความเลือนรางใต้ต้นไม้ ยกขาก้าวไปข้างหน้าอย่างระมัดระวัง จนกระทั่งห่างกันเพียงสิบกว่าจั้งแล้วถึงกล้าวิ่งสั้นๆ ก่อนกระโจนตัวเหาะไป
เมื่อครู่ได้ฟังเสียงเสวนามรรค ได้เห็นภาพเสวนามรรค เมื่อได้สติกลับคืนพบว่าใช้เวลาตั้งแต่เช้าจรดบ่าย ทว่าตอนนี้คนที่วัดยังคงมีอยู่ไม่น้อยเลย
…
“โยมทุกท่าน วันนี้วัดต้าเหลียงต้องปิดก่อนเวลาหนึ่งชั่วยาม ขอทุกท่านกลับไปก่อนเถอะ!”
“โยม วัดต้าเหลียงต้องปิดก่อนเวลา ไว้ค่อยกลับมาอีกครั้งโอกาสหน้า!”
“โยม วัดต้าเหลียงต้องปิดแล้ว ไม่สะดวกให้โยมอยู่สวดมนต์ในโบสต์ต่อแล้ว วันหน้าค่อยมาใหม่!”
…
ตำหนักพระวิทยาราชฝออิ้น ตำหนักพระวิทยาราชจั้วตี้ ตำหนักพระวิทยาราชนู่มู่ ลานวัดใหญ่ ลานวัดเล็ก ทุกอาราม…
ทุกที่ที่มีผู้ศรัทธาทั้งมากและน้อยล้วนมีภิกษุคอยประกาศ ไม่ว่าผู้ศรัทธาตื่นตกใจหรือไม่พอใจ ภิกษุเหล่านี้ไม่ต่อปากต่อคำและไม่ลงไม้ลงมือ ทว่าอดทนเชิญคนออกไป ถึงขนาดไล่คนด้วยซ้ำไป
อย่างไรเสียวัดต้าเหลียงก็เป็นวัดประจำอาณาจักรถิงเหลียง ถึงแม้ท่ามกลางผู้ศรัทธาจะมีผู้มีอำนาจอยู่ไม่น้อยเลย แต่ก็ไม่กล้าทำอะไรเกินกว่าเหตุ ทุกคนล้วนรู้ว่าต้องเกิดอะไรขึ้นกับวัดต้าเหลียงอย่างแน่นอน ทว่าไม่มีภิกษุรูปไหนพูด ไม่อาจบังคับให้พูดได้เช่นกัน
เมื่อผู้ศรัทธาส่วนใหญ่ออกจากประตูวัดไปแล้วถึงพบว่าตลาดหน้าวัดที่อยู่ไม่ไกลนั้น พ่อค้าและนักท่องเที่ยวจากไปแล้วเช่นกัน วัดต้าเหลียงจะชดเชยให้เป็นสองเท่า แต่ก็ต้องรอสักพักค่อยกลับมาทวง และต้องทำบัญชีอย่างจริงจังมาพิสูจน์ด้วย
มีคนที่มีตำแหน่งค่อนข้างสูงเห็นภาพนี้แล้วตกใจมากจนต้องเอ่ยขึ้น
“วัดต้าเหลียงเกิดเรื่องใหญ่แล้ว!”