เซียนหมากข้ามมิติ – ตอนที่ 382 ต่างมีความอัศจรรย์

เซียนหมากข้ามมิติ

ตอนที่ 382 ต่างมีความอัศจรรย์

แม้ตัวอักษรเหล่านี้เริ่มมีความรู้สึกเมื่อสิบกว่าปีก่อน แต่ความจริงแล้วตอนเขียนตำราเต็มไปด้วยจิตและเจตของจั่วหลี

เหตุการณ์ทั้งหมดที่มันได้สัมผัสในอีกร้อยปีข้างหน้านั้นไม่ได้ถูกลืมไปอย่างสิ้นเชิง แต่มีความทรงจำทางแนวคิดที่คลุมเครือ

นี่เกิดเป็นความจริงที่ขัดแย้งกันอยู่บ้าง เมื่อเทียบกับสิ่งมีชีวิตอย่างกระเรียนกระดาษหรือแม้แต่หูอวิ๋น ตัวอักษรเหล่านี้พูดจารู้เรื่องไม่น้อย ไม่มีทางเรียนรู้ทุกอย่างอย่างช้าๆ เหมือนกับภูตและปีศาจที่เริ่มจากศูนย์ แต่พื้นฐานยังมั่นคงไม่พอ ดังนั้นเหมือนกับคลาวด์เกมมิ่งที่จี้หยวนเคยเห็นบ่อยๆ บนอินเทอร์เน็ตเมื่อชาติก่อน เขาคิดว่าตนเองเข้าใจ แต่ความจริงไม่เข้าใจโดยสิ้นเชิง เรียบง่ายจนน่ากลัว และด้วยธรรมชาติของตัวอักษร ย่อมเต็มไปด้วยความปรารถนาที่จะกล่าวออกมา

อืม บอกว่าปรารถนาที่จะกล่าวออกมาอาจไม่ค่อยถูกต้อง เพราะแม้จะเป็นเพียงการเถียงกัน ตัวอักษรเหล่านี้ก็เบิกบานใจ

พูดจากับเจ้าตัวเล็กบนเทียบเจตกระบี่เป็นเรื่องที่ค่อนข้างยากอย่างไม่ต้องสงสัย อยากทำความเข้าใจต้นสายปลายเหตุของเรื่องราวบางอย่างและขั้นตอนระหว่างนั้น สนทนากับแล้วลำบากและกินแรงทีเดียว

แต่โชคดีที่จี้หยวนที่พวกมันเรียกว่านายใหญ่มีความน่าเกรงขามอย่างน่าประหลาด เมื่อสนทนากันแล้วเกิดการเถียงกันจนไปต่อไม่ได้ ขอเพียงจี้หยวนพูดคำเดียว ตัวอักษรตัวน้อยทั้งหมดล้วนเชื่อฟัง

เรื่องที่พูดได้ชัดเจนในคำเดียวมักก่อให้เกิดความโกลาหลระหว่างตัวอักษรบางตัว สร้างความวุ่นวายให้กับเทียบเจตกระบี่ทั้งหมด

ประเด็นคือจี้หยวนไม่สามารถจับตัวอักษรตัวใดตัวหนึ่งมาถามถึงเรื่องที่เกิดขึ้นได้ เพราะตัวอักษรเหล่านี้กระทบกระทั่งกันเองในบางเรื่อง และต่างก็ยืนกรานกันทั้งสิ้นว่าตนเองเป็นฝ่ายถูก ไม่เช่นนั้นจะเถียงกันอีก และเพราะการเคลื่อนไหวเป็นกลุ่ม บางครั้งบางตัวอักษรอยู่ในสภาวะพักผ่อนในช่วงเวลานั้น กลับมีตัวอักษรอื่นพาไป ดังนั้นความรงจำของทั้งหมดจึงไม่ครบถ้วน

เจ้าตัวน้อยพวกนี้แม้ชอบเถียงกัน (สำหรับตัวอักษรแล้ว พวกมันหัวแข็งทีเดียว) แต่นอกจากวิวาทกันด้วยปาก ความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันกลับเป็นของจริง ไม่ว่าจะมีตัวอักษรกี่ตัวออกไป ตัวอักษรตั้งแต่ต้นจนจบต่างไปด้วย นี่อาจเป็นเทียบเจตกระบี่ที่สมบูรณ์แบบ และให้ความรู้สึกของครอบครัวที่เข้มข้นยิ่ง

ในสถานการณ์นี้ กว่าจี้หยวนทำความเข้าใจเหตุการณ์ทั้งหมดที่ตัวอักษรเหล่านี้ออกจากบ้านไปได้อย่างแท้จริง เวลาก็ล่วงเลยไปสองชั่วยามแล้ว

ระหว่างนั้นตัวอักษรบางตัวเล่าว่าออกจากเทียบเจตกระบี่อย่างไร และหลบหลีกอันตรายถึงชีวิตได้อย่างไร เดี๋ยวไปทางตะวันตกเดี๋ยวไปทางเหนือในยามที่อกสั่นขวัญหายได้อย่างไร ตลอดหลายปีมานี้ออกมาไกลสองหมื่นลี้ด้วยอารมณ์บ้าคลั่ง ถึงสวรรค์ระหว่างทางที่อำเภอโม่หยวนแล้วแรงดึงดูดใจรุนแรงเกินไป คราวนี้ถึงได้เกียจคร้านอยู่ชั่วคราว

“หมายความว่าปีศาจ ภูต และเทพผีทั่วไปยากจะพบพวกเจ้าได้อย่างนั้นหรือ เจ้ามาตอบ ตัวอื่นห้ามพูด!”

จี้หยวนนวดขมับ ถามตัวอักษรบางตัวเท่านั้น ถามจบแล้วก็เลือกตัวอักษรตัวหนึ่งในนั้นทันที เน้นย้ำสิทธิที่ให้พูดเพียงตัวเดียว

ตัวอักษรคมที่ถูกเรียกบิดซ้ายบิดขวา ราวกับมองไปรอบๆ จากนั้นค่อยมองจี้หยวน

“เรียนนายใหญ่ ข้าเองก็ไม่แน่ใจ อย่างไรเสียพวกข้าอยากหลบ นอกจากนายท่านแล้วยังไม่มีใครตามหาพวกข้าพบ มีครั้งหนึ่งที่พวกข้าทะเลาะกันยกใหญ่แล้วมีปีศาจตนหนึ่งพบเข้า แต่พอพวกข้าหลบ มันก็หาไม่เจอแล้ว วนเวียนอยู่ที่เดิมครึ่งเดือน พวกข้าหลบอยู่ครึ่งเดือนไม่กล้าพูดจา พวกข้าอึดอัดแทบตาย!”

ตัวอักษรหลายตัวบนเทียบเจตกระบี่ขยับตัวขึ้นในเวลานี้ ชัดเจนว่ามีข้อโต้แย้งอีกครั้ง คาดว่าทุกตัวล้วนมีสิ่งที่อยากพูดเกี่ยวกับประสบการณ์นี้ ทว่าจี้หยวนถลึงตาใส่ ตัวอักษรทุกตัวนอนลงอย่างว่าง่ายทันที

จี้หยวนหรี่ตาเล็กน้อย

“ทีแรกปีศาจตนนั้นมองเห็นพวกเจ้าหรือ เป็นเจ้าพูดเหมือนเดิม ตัวอื่นห้ามพูด”

“เอ่อ ข้าไม่ได้สังเกต…ตอนนั้นทุกคนต่างกำลังร้องและวิ่งหนี ข้าก็วิ่งตามเช่นกัน…”

“ฟืด…”

จี้หยวนสูดลมหายใจเข้า ทำได้เพียงมองตัวอักษรตัวอื่น

“พวกเจ้ามีใครรู้บ้าง”

สิ้นเสียงนั้น

“ข้าๆๆ!”

“ข้ารู้!”

“นายท่าน ข้าก็รู้!”

“พวกเขาล้วนไม่รู้ ข้ารู้ชัดที่สุด!”

“เจ้าพูดโกหก ข้ารู้ดีกว่าเจ้า!”

“เจ้าพูดมั่ว ข้ารู้ดีที่สุด!”

“ข้าพบปีศาจตัวนั้นก่อนใคร!”

พริบตาเดียวก็เถียงกันแล้ว

“หยุด! เจ้ามาพูด!”

จี้หยวนชี้ตัวอักษรที่พูดเป็นตัวแรก ตัวอักษรอื่นเงียบลงทันใด ส่วนตัวอักษรหัวใจที่อยากพูดแทบแย่แล้วลุกขึ้น

ดูจากกระแสหมึกบนตัวอักษร จี้หยวนรับรู้ได้อย่างชัดเจนว่าเจ้าตัวน้อยตัวนี้กำลังภูมิใจ

“เรียนนายใหญ่ ครั้งนั้นข้าระแวดระวังมาก เห็นหน้าตาปีศาจตัวนั้นอย่างชัดเจน เป็นสุนัขแก่จมูกโตตัวหนึ่ง ร่างกายเหมือนคนอยู่บ้าง ยืนและเดินได้ อีกทั้งครั้งนั้นมันไม่ได้เฝ้าพวกข้าซ่อนตัวอยู่ที่เดิมเพียงครึ่งเดือน แต่จากไปก่อนครู่หนึ่งเพราะความเจ้าเล่ห์ จากนั้นจู่ๆ ก็กลับมา!”

“เอ๋?”

จี้หยวนหรี่ตาลง เห็นทีสุนัขตัวนี้รู้ว่าตัวอักษรซ่อนตัวอยู่จึงไม่จากไป ถึงขั้นอาจมีประสาทสัมผัสว่องไว รับรู้ได้ว่ามีอันตรายหรือไม่ รวมถึงรู้ว่าเจอภูตที่ไม่ธรรมดาเข้าแล้ว

ถูกต้อง ตัวอักษรกลายเป็นภูตย่อมไม่ธรรมดา แต่ความไม่ธรรมดาในใจของจี้หยวนแตกต่างออกไป ตัวอักษรเหล่านี้คือเทียบเจตกระบี่ แต่ทุกตัวอักษรมีความพิเศษเป็นของตนเอง สิ่งที่จี้หยวนต้องยืนยันให้แน่ใจตอนนี้ก็คือเรื่องนี้

“ใช่แล้วนายท่าน ตอนนั้นข้ากับ ‘รู้สึก’ และ ‘จิตวิญญาณ’ ล้วนคิดว่าปีศาจตนนี้ไม่ได้ไปจริงๆ จึงให้ทุกคนหลบตลอดเวลา ‘รู้สึก’ กับ ‘จิตวิญญาณ’ ยิ่งความรู้สึกไวกว่า ‘กระบี่’ และ ‘คม’ น่าจะใจกล้าและมีความสามารถมากกว่า เมื่อเปรียบกันแล้ว ต่างฝ่ายต่างมีเอกลักษณ์ของตนเอง”

ภูตที่บริสุทธิ์แบบนี้ โดยเฉพาะตัวอักษรที่เกิดจิตวิญญาณจากงานเขียน หากใครกินพวกมันเข้าไป เกรงว่าอาจทำให้ตนเองเกิดความเปลี่ยนแปลงที่น่าอัศจรรย์ได้

“ทุกตัวฟัง ต่อจากนี้อย่าหนีไปไหนมั่วซั่ว เข้าใจหรือไม่”

“ได้!”

“เข้าใจแล้ว!”

“พวกข้าเข้าใจแล้ว!”

“นายท่านต้องพาพวกข้าไปด้วย!”

“ไปหาเยี่ยนเฟยผู้นั้น!”

“ใช่!”

“ไปแล้วเดี๋ยวก็ต้องหนีอีก!”

“ถูกต้อง!”

“เช่นนั้นแล้วนายท่านจะไม่ให้พวกเราหนีนะ”

“เอ๋!?”

“แล้วจะทำอย่างไรดี”

จี้หยวนใช้นิ้วเคาะโต๊ะเบาๆ สองครั้ง ทำให้ทุกตัวอักษรเงียบเสียงลงทั้งหมด

“วางใจเถอะ ไม่ให้เขาแล้ว อย่างไรเสียเยี่ยนเฟยก็เคยอ่านเทียบเจตกระบี่มานานทีเดียว อีกทั้งรักษาเจตจำนงแท้ของข้าเอาไว้ ไม่จำเป็นต้องขัดเกลานานเกินไป พวกเจ้าอยู่ข้างกายข้าก็พอแล้ว”

ตัวอักษรทั้งหมดเพิ่งคิดร้องด้วยความยินดี ทว่าจี้หยวนได้ยินเสียงฝีเท้าใกล้เข้ามาแล้ว ยังไม่ทันที่เขาจะกล่าวปราม ตัวอักษรเหล่านั้นหยุดส่งเสียงอย่างคาดไม่ถึง

จี้หยวนหันไปมองเทียบเจตกระบี่ เห็นตัวอักษรบนนั้นเงียบเชียบก็ยิ้มและพยักหน้า จากนั้นม้วนเทียบอักษรเก็บเข้าไปในแขนเสื้อ

ผ่านไปไม่นานเท่าไหร่ เสียงฝีเท้าเข้ามาใกล้เรื่อยๆ จากนั้นเสียงเคาะประตูก็ดังขึ้น

ก๊อกๆๆ…

“ท่านจี้ ใกล้เวลามื้อเที่ยงแล้ว ท่านอยากให้ข้ายกอาหารมาให้ท่าน หรือจะไปกินด้วยกันที่ห้องครัวของศาลดี”

จี้หยวนคิดแล้วว่าไม่อยากรบกวนทุกคน จึงตอบออกไปว่า

“ไม่ต้องหรอก ข้าตามเจ้าไปกินที่ห้องครัวก็ได้”

พูดแล้วจี้หยวนลุกคืนเดินไปเปิดประตู ก่อนจะถึงกระเรียนกระดาษบินกลับไปยู่ในอกเสื้อแล้ว

“เช่นนั้นท่านจี้ตามข้าไปด้วยกันเถอะ ไม่ได้มีแขกมาเยือนนานมากแล้ว จึงมีทั้งอาหารรสเลิศและสุราดี หากท่านจี้ไม่ถือสากินข้าวร่วมกับพวกเขาเป็นอย่างไร”

“ตามแต่เจ้าบ้าน ข้าไม่ถือสา ไปเถอะ”

“ดี ท่านจี้ตามข้ามา!”

ผู้ดูแลศาลเห็นท่านจี้ไม่มีความเห็นเป็นอื่น ถึงวางใจเชิญเขาเดินไปยังห้องครัวของศาลซึ่งอยู่นอกลาน

ศาลเจ้าที่แห่งนี้ไม่เล็กเลยจริงๆ ตำหนักหลักใหญ่จนน่าแปลกใจ นอกจากรูปปั้นเจ้าที่แล้ว ตำแหน่งอื่นเต็มไปด้วยโคมสว่างไสว ล้วนเป็นคำสั่งของผู้มีเงินละแวกนี้ ซึ่งใช้เงินไปไม่น้อยเลย

การที่ศาลเจ้าที่แห่งนี้ได้รับการกราบไหว้มากมายย่อมต้องมีเหตุผล สักการะพระพุทธเจ้าไม่ใช่เพราะต้องการแสวงหา ‘ปาฏิหาริย์’ ส่วนเจ้าที่ท้องถิ่นเป็นเทพที่มีประวัติยาวนาน เจ้าที่หลี่น่งเซียงคุ้มครองที่นี่เป็นอย่างมาก จึงมีไฟกำยานเฟื่องฟูอยู่เสมอ

ห้องครัวของศาลเจ้าที่หลี่น่งเซียงที่จริงแล้วเป็นห้องโถงหน้าหลังเชื่อมถึงกัน โถงหลังมีไว้สำหรับทำอาหารที่ต้องใช้ไฟโดยเฉพาะ ส่วนโถงหน้าเหมือนกับโรงทานวัดอยู่บ้าง จัดวางโต๊ะเก้าอี้เอาไว้จำนวนหนึ่ง

หากนับรวมผู้ดูแลศาลและคนงานแล้ว ศาลเจ้าที่แห่งนี้มีคนทั้งหมดสามคน โต๊ะเก้าอี้เหล่านี้มีไว้รองรับสถานการณ์เช่นวันนี้ ผู้นำตระกูลร่ำรวยคนไหนมาบริจาคเงินหรือกราบไหว้เทพ จากนั้นกินอาหารถวายเทพที่เชื่อว่าจะช่วยขจัดภัยและขอพรได้มื้อหนึ่ง

วัดพุทธส่วนใหญ่ต่างไม่กินเนื้อสัตว์ ทว่าศาลเจ้าที่ไม่มีกฎเกณฑ์นั้น จะกินเนื้อสัตว์หรือไม่ไม่มีห้าม อีกทั้งดื่มสุราได้ ทว่าอาหารถวายเทพมีความพิถีพิถันอยู่บ้าง ทำอาหารเสร็จแล้วถวายเทพเจ้าที่ก่อน เมื่อขอลาแล้ววางที่โรงทานเริ่มกินถึงเป็นอาหารถวายเทพ หมายถึงการกินอาหารร่วมกับเทพเพื่อขจัดภัยพิบัติและแก้ไขปัญหา

ตอนนี้ในห้องครัวนั่งกันอยู่สิบกว่าคน คนงานศาลสองคนและข้ารับใช้ของตระกูลร่ำรวยบางตระกูลกำลังยกอาหารส่งต่อถ้วยให้กัน

เวลานี้อากาศยังคงร้อนมาก แม้ถวายอาหารที่หน้าโต๊ะบูชาแล้วครู่หนึ่ง อาหารทั้งหมดนอกจากอาหารประเภทกินเย็นๆ แล้ว อย่างอื่นร้อนควันฉุย

ผู้มาบริจาคในวันนี้คือหลิวหยวนไว่ เป็นเจ้าของโรงผลิตหมึกขนาดใหญ่เช่นกัน เมื่อเช้าเขานอนหลับฝันเห็นเจ้าที่บอกว่าแก้ไขเรื่องแปลกเมื่อหลายวันก่อนได้แล้ว ครั้นตกใจตื่นบอกกับภรรยาเรียบร้อย สุดท้ายตัดสินใจมาบริจาคทันที ตอนนี้เขานั่งกินข้าวที่โต๊ะกลมกับภรรยาตนเองแล้ว

โต๊ะที่วางอาหารไว้มีสองโต๊ะ ครอบครัวหลิวหยวนไว่และผู้ดูแลศาล รวมถึงข้ารับใช้ในตระกูลที่ได้เรื่องสองคนนั่งโต๊ะเดียวกัน ส่วนโต๊ะที่เหลือเป็นโต๊ะของข้ารับใช้และคนงานศาลสองคน

“อาจารย์เจิ้ง อาจารย์จ้าวไม่มาหรือ”

“อ้อ ลุงจ้าวไปเชิญแขกที่พำนักในศาล เดี๋ยวก็มาแล้ว ท่านดูสิ มาโน่นแล้ว!”

คนงานศาลจัดวางชามและตะเกียบพลางตอบหลิวหยวนไว่ เห็นผู้ดูแลศาลนำทางจี้หยวนมาถึงหน้าประตูพอดี

“ท่านจี้ เชิญทางนี้ ท่านนั่งที่โต๊ะนั้น”

ผู้ดูแลศาลชี้ข้างๆ หลิวหยวนไว่ เพราะคนมาน้อย ทว่าโต๊ะกว้างมาก เมื่อนั่งลงที่โต๊ะเดียวกันจึงไม่แออัดขนาดนั้น

จากนั้นผู้ดูแลศาลรีบเดินไปประสานมือให้หลิวหยวนไว่และฮูหยินหลิว

“หลิวหยวนไว่ ฮูหยินหยวน ท่านจี้เป็นแขกคนสำคัญของศาลเรา ร่วมโต๊ะกินอาหารกับท่านทั้งสองได้กระมัง”

“ไม่ถือสาๆ”

หลิวหยวนไว่ยิ้มบ่งบอกว่าไม่เป็นไร อีกทั้งยืนขึ้นประสานมือให้จี้หยวนด้วย

จี้หยวนพยักหน้าประสานมือให้แล้วก็ถือโอกาสนั่งลงที่หน้าโต๊ะ ฝ่ายผู้ดูแลศาลจัดวางชามและตะเกียบให้จี้หยวนอย่างกระตือรือร้น เมื่อวางถ้วยสุราเรียบร้อยแล้ว เขาถึงขนาดตาแหลมมองเห็นคราบฝุ่นเล็กๆ ที่หน้าโต๊ะ ภายใต้สถานการณ์ที่หาผ้าขี้ริ้วไม่เจอ เขาใช้แขนเสื้อของตนเองรีบเช็ดออก

ทุกอย่างนี้หลิวหยวนไว่เห็นกับตา พลันทำให้เขาอยากรู้จักผู้มาเยือนเป็นอย่างยิ่ง ก่อนหน้านี้เจ้าเมืองเคยมาครั้งหนึ่ง ทว่าไม่เห็นผู้ดูแลศาลกระตือรือร้นขนาดนี้เลย

เซียนหมากข้ามมิติ

เซียนหมากข้ามมิติ

Status: Ongoing
เพราะกระดานหมากเก่าๆ จี้หยวน พนักงานบริษัทธรรมดาๆ จึงข้ามมิติมาสู่โลกใหม่ในร่างขอทานตาเกือบบอด เพื่อเอาตัวรอดในโลกที่ไม่คุ้นเคย เขาจึงต้องใช้ไหวพริบของคนยุคปัจจุบันและกลหมากพัฒนาตัวเองให้แกร่งกล้า!

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท