เซียนหมากข้ามมิติ – ตอนที่ 373 เจ้ามันปีศาจใจถึง

เซียนหมากข้ามมิติ

ตอนที่ 373 เจ้ามันปีศาจใจถึง

เจ้าภูเขาลู่เห็นท่าทางเจ้าวัว เขาไม่ได้เก็บปากเก็บคำ กลับกลายเป็นว่ากล่าวต่อ

“ก่อนหน้านี้ตอนสู้กับเจ้าข้ามองออกว่าแม้พลังเจ้าแข็งแกร่ง แต่บันดาลโทสะง่ายมาก เมื่อกระตุ้นประสาทสัมผัสทั้งห้าการตอบสนองจะอ่อนกำลัง เจ้าคิดว่าเหตุใดข้าถึงยกระดับปราณปีศาจ เหตุใดถึงก่อลมคลั่งทำให้หินทรายปลิวว่อนทั่วฟ้า”

แม้ว่าน้ำเสียงเจ้าภูเขาลู่เจือแววเหน็บแนมเสี้ยวหนึ่ง แต่กลับทำให้หนิวป้าเทียนสงบลงอย่างแท้จริง

โกรธส่วนโกรธ แต่เจ้าวัวจำต้องยอมรับว่าปีศาจแซ่ลู่ตนนี้พูดมีเหตุผล

ตอนนี้เจ้าวัวเข้าใจแล้วว่าเหตุใดการโจมตีสุดท้ายเมื่อครู่ตนถึงติดกับ ใช่ว่าเจ้าแซ่ลู่สามารถซ่อนตัวไร้รูปอย่างแท้จริง แต่เขาเหลือปราณปีศาจกับเมฆปีศาจมากมายไว้บนฟ้าเพื่อทำให้การมองเห็นและการได้ยินสับสน ส่วนร่างจริงเก็บปราณปีศาจชั่วพริบตาก่อนโรยตัวลงพื้นมาลอบโจมตี คราวนี้อีกฝ่ายจึงทำสำเร็จ

หวนนึกถึงการต่อสู้โรมรันก่อนหน้านี้ หลายครั้งเจ้าวัวรู้สึกว่าโจมตีโดนอีกฝ่าย แต่ความจริงกลับต่อยอากาศทั้งสิ้น ภายใต้อิทธิพลของอภินิหาร ‘สยบจิต’ การตัดสินใจและการใช้พลังปีศาจของตนเกิดปัญหาอย่างมาก

แม้ว่าคำพูดเจ้าภูเขาลู่ตอนนี้ไม่น่าฟัง แต่ลองคิดต่างมุม นี่คือการเจตนาเตือนเจ้าวัว จุดอ่อนของเขาชัดเจนเกินไปแล้ว ชัดเจนถึงขั้นถูกเจ้าภูเขาลู่มองออกและนำมาใช้ประโยชน์ในเวลาอันสั้นแค่นี้

ภายใต้สถานการณ์ส่วนใหญ่สามารถใช้พลังกำราบทุกชั้นเชิง แต่ใช่ว่าได้ผลทุกครั้ง ถ้าเจอพวกรู้จักสังเกตการต่อสู้และมีความคิดย่อมตามทัน ทำให้เขาพ่ายแพ้โดยง่าย ยกตัวอย่างเช่นครั้งนี้

“เจ้า…”

เจ้าวัวเพิ่งคิดเอ่ยปากพูดอะไรบ้าง กลับเห็นเจ้าภูเขาลู่พลันเบี่ยงตัว ไม่หันหน้ามาทางเขาอีก เขาจึงก่นด่าเสียงเบา

“เจ้าแม่ง…”

ตอนนี้จี้หยวนพิจารณาม้วนกระดาษบนมือพอสมควรแล้ว เขาม้วนเก็บเข้าไปในแขนเสื้อ เจ้าภูเขาลู่ตอบโต้หนิวป้าเทียนสองสามประโยค ไม่เพ่งเล็งเยี่ยนเฟยทันที เมื่อเห็นจี้หยวนดูม้วนกระดาษเสร็จ เขาถามข้อสงสัยซึ่งครั้งก่อนไม่ทันได้ขอความกระจ่าง

“ท่านจี้ หลังจากข้าถอดรยางค์เปลี่ยนกระดูก เห็นชัดว่าหลุดพ้นจากร่างเสือ ทั้งรู้สึกถึงการเปลี่ยนแปลงซึ่งซ่อนอยู่ อานุภาพสยบจิตที่ข้ากล่าวถึงก่อนหน้านี้ควบคุมได้ตามใจ ทั้งมีหางนี้ด้วย แม้ว่าไม่อาจครองวิชา แต่คล้ายว่าสามารถฝึกจนสำเร็จผลบางอย่าง”

เจ้าภูเขาลู่พูดถึงตรงนี้แล้วผ่อนเสียง เอ่ยถามอย่างกระวนกระวายและเฝ้ารออยู่บ้าง

“ท่านจี้ ท่านทราบว่าร่างปีศาจของข้าตอนนี้คืออะไรหรือไม่”

หนิวป้าเทียนซึ่งกำลังขยับกล้ามเนื้อหันมองเจ้าภูเขาลู่อีกครั้ง

“ฝึกมาตั้งนาน ตัวเจ้ายังไม่รู้ว่าตนเป็นปีศาจอะไร ท่านจี้ ข้าว่าท่านคงไม่ทราบเช่นกัน ไม่แน่ว่าเจ้าหมอนี่อาจฝึกจนบื้อ ฝึกจนกลายเป็นตัวประหลาด!”

เจ้าวัวถือโอกาสพูดตอนนี้ ไม่ยอมรอคราวหน้า คำกล่าวว่าวิญญูชนแก้แค้นสิบปียังไม่สายเป็นสิ่งที่พวกบัณฑิตพูดกัน เมื่อครู่เจ้าวัวถูกว่าจนอัดอั้นเช่นนี้ เมื่อสบโอกาสมีหรือจะไม่รีบเหน็บเจ้าภูเขาลู่สักสองประโยค

“กรร…”

มุมปากเจ้าภูเขาลู่ส่งเสียงคำราม เขาจำต้องยอมรับ วัวเถื่อนตัวนี้มีพรสวรรค์ร้ายกาจอย่างหนึ่ง ขอเพียงเขาต้องการ ย่อมยั่วโทสะคนอื่นได้โดยง่าย

เรื่องนี้ทำให้เยี่ยนเฟยที่อยู่ด้านข้างประหม่าอยู่บ้าง ส่วนจี้หยวนเห็นแล้วทำหน้าไม่ถูก เมื่อครู่เพิ่งนึกถึงนักพรตชิงซง พอเห็นท่าทางของเจ้าวัว เขาคิดว่าทั้งสองคนคล้ายคลึงกันระดับหนึ่ง

แต่นักพรตชิงซงไร้เดียงสากว่าหน่อย แค่พูดตามจริงจนคนรังเกียจ เจ้าวัวชั่วร้ายกว่าเล็กน้อย

ส่วนข้อสงสัยของเจ้าภูเขาลู่ คนอื่นตอบได้หรือไม่จี้หยวนไม่รู้ แต่ตัวเขามีคำตอบแล้ว เขายิ้มเล็กน้อยก่อนกดเสียงต่ำ เงยหน้ามองเมฆปีศาจซึ่งตอนนี้เพิ่งซ่านสลาย เสียงทุ้มต่ำและราบเรียบดังจากปากจี้หยวน

“ร่างพยัคฆ์เก้าหาง หน้าคล้ายคนแต่มีกรงเล็บ อานุภาพชวนประหวั่น ยืนบนเขาคุนหลุนทอดมองไปทางตะวันออก นั่นคือสัตว์เทพนามลู่อู๋”

“ลู่อู๋?”

“สัตว์เทพ?”

เจ้าภูเขาลู่กับเจ้าวัวต่างพึมพำกับตัวเอง แต่คนหนึ่งเน้นคำว่า ‘ลู่อู๋’ อีกคนกลับสนใจคำว่า ‘สัตว์เทพ’

เจ้าวัวเคยได้ยินคำว่าสัตว์เซียน คำว่าสัตว์เทพนี้ให้ความรู้สึกเหมือนวิญญาณเทพภูผาธาราหรือผู้บำเพ็ญมรรคเทพตามแรงปรารถนาอยู่บ้าง แต่ทำไมถึงไม่เรียกว่าเทพภูเขาหรือเทพวารีโดยตรง ทั้งเหตุใดเจ้าภูเขาลู่ถึงไม่เหมือนเทพ

จี้หยวนก้มหน้ามองเจ้าภูเขาลู่กับหนิวป้าเทียน พยักหน้าเล็กน้อยพลางกล่าว

“ไม่ผิด นั่นคือลู่อู๋ แต่ลู่อู๋ตัวจริงมีเก้าหาง ส่วนเจ้ายังขาดอยู่บ้าง”

“ขาดอยู่บ้างเสียที่ไหน ขาดอยู่มากต่างหาก!”

หนิวป้าเทียนแสร้งพึมพำเสียงเบา แต่เขารู้ว่าทุกคนในที่นั้นล้วนได้ยินชัดเจน แต่เจ้าภูเขาลู่ไม่มีทางโกรธเพราะเรื่องนี้

จี้หยวนไม่สนใจเจ้าวัวเช่นกัน เขามองเจ้าภูเขาลู่ซึ่งทำหน้าใคร่ครวญ ถอนหายใจพลางกล่าวต่อ

“เจ้าไม่ต้องคิดเรื่อยเปื่อย ฝึกปราณให้ดีก็พอ ทั้งไม่ต้องไปหาพวกเดียวกัน ต่างจากพวกมังกรเจียว ลู่อู๋คงมีแค่ตัวเดียว นับประสาอะไรกับปัจจุบัน”

เมื่อได้ยินคำพูดอาจารย์ เจ้าภูเขาลู่รีบประสานมือ

“ขอรับ!”

จี้หยวนกวาดมองทั้งสามคนอีกครั้ง สุดท้ายค่อยมองไปทางเมืองลั่วชิ่ง

“เรื่องที่เหลือพวกเจ้าจะทำอย่างไร รีบจบเรื่อง ข้าไปเยือนเมืองลั่วชิ่ง ปลอบเทพผีที่นี่ก่อน”

จี้หยวนพูดจบแล้วกระโดดเบาๆ ท่องแหวกอากาศก่อลมใต้ฝ่าเท้า เหยียบสายลมเย็นลอยไปทางเมืองลั่วชิ่ง

ตอนนี้ชาวบ้านเมืองลั่วชิ่งเพิ่งรู้สึกตัวกลับมาจากพายุก่อนหน้านี้ แต่พูดตามตรงว่าพายุก่อนหน้านี้ดูเหมือนน่ากลัว แต่ความจริงไม่ส่งผลกระทบอะไรกับชาวบ้านในเมือง

ต่อให้มีหินทรายตกในเมืองบ้าง แต่บริเวณเล็กใกล้กำแพงเมืองทางตะวันออกแค่มีฝุ่นทรายเพิ่มมาบางส่วน

ไม่มีผลกระทบทางวัตถุ แต่มีผลกระทบทางจิตใจไม่น้อย ก่อนหน้านี้มีเสียงคำรามน่ากลัวดังแว่วเข้ามาในเมืองรางๆ แม้หลายคนคิดว่าเป็นอสนีบาต แต่มีคนลนลานคิดว่าเป็นสิ่งชั่วร้ายหรือปีศาจ ช่วงนี้อาณาจักรจู่เยวี่ยหลายแห่งไม่สงบ

แต่ความประหวั่นพรั่นพรึงเช่นนี้สืบเนื่องไม่นานนัก คาดว่ากำยานของศาลเจ้าในเมืองคงถูกจุดมาช่วงหนึ่งแล้ว จากนั้นเมื่อพบว่าไม่เป็นไรคงลืมเลือนไปช้าๆ

ทว่าเทพหลักเมืองกับเหล่าเทพผีที่ชาวบ้านลั่วชิ่งจุดธูปกราบไหว้ทุกวัน ตอนนี้กำลังรออย่างประหม่าเหนือกำแพงเมือง

ผ่านไปไม่นานดังคาด แขกชุดขาวโดดเด่นคนหนึ่งโรยตัวลงตรงเมือง เทพหลักเมืองลั่วชิ่งซึ่งรออยู่ก่อนแล้วนำเหล่าเทพผีทยอยประสานมือคารวะ

“ขอบคุณท่านเซียนที่กำราบปีศาจ!”

คำพูดของเทพหลักเมืองกล่าวไม่ผิด จี้หยวนคร้านจะเอ่ยแก้เช่นกัน คารวะตอบก่อนกล่าวปลอบ

“เทพหลักเมืองกับเจ้ากรมศาลมืดทุกท่านไม่ต้องมากพิธี การต่อสู้ของปีศาจนอกเมืองปิดฉากลงแล้ว ทั้งไม่มีทางทำให้ชาวเมืองลั่วชิ่งได้รับผลกระทบ…”

จี้หยวนไม่มีทางเล่าเรื่องชัดเจนเกินไป เล่าต้นสายปลายเหตุคลุมเครือเล็กน้อย เน้นปลอบประโลมไม่ใช่อธิบาย

เหตุการณ์เมื่อครู่แม้ว่าเทพผีในเมืองไม่ได้เห็นชัดเจนตลอด แต่ช่วงท้ายกลับเห็นชัดเจนยิ่ง กอปรกับจี้หยวนต้องการให้พวกเขาคลายความสงสัย เขาจึงเผยพลังและปราณวิญญาณของตนบางส่วน

ผู้มุ่งตรงสู่การฝึกเซียน โดยเฉพาะผู้ฝึกปราณชั้นสูง พลังและปราณวิญญาณภายในกายมักปรากฏออกมาพร้อมกัน ให้ความรู้สึกเหมือนวิญญาณเซียน ต่างจากปราณปีศาจกับปราณมารโดยสิ้นเชิง แม้ว่าไม่อาจสวมรอยได้อย่างสมบูรณ์ แต่จี้หยวนทำเช่นนี้ทำให้เทพผีสบายใจไม่น้อย

หลังจากรอจี้หยวนพูดจาโน้มน้าวเทพผีเมืองลั่วชิ่งอย่างเป็นมิตรเสร็จ เมื่อกลับมาตรงคฤหาสน์เล็กนอกเมืองอีกครั้ง เขาสงสัยว่าตนเดินผิดทาง

คฤหาสน์เล็กส่วนใหญ่ถูกทำลายในการต่อสู้ของปีศาจสองตนก่อนหน้านี้ เหลือเพียงห้องเก็บของกับเรือนหลังหนึ่ง ส่วนโต๊ะหินกับม้านั่งสองสามตัวหน้าเรือนยังอยู่ดี

ตอนนี้หนิวป้าเทียนกำลังถือกาน้ำชาซึ่งยังสมบูรณ์ หลังจากล้างอุปกรณ์ชงชาเล็กน้อย เขาเริ่มชงชาและรินชาให้คนอื่นอย่างเอาใจใส่ ผู้รับการรินชาไม่ใช่เยี่ยนเฟย หากแต่เป็นเจ้าภูเขาลู่ซึ่งนั่งข้างเยี่ยนเฟย

‘นี่มันเรื่องอะไรกัน วัวเถื่อนตัวนี้สมองกระทบกระเทือนหรือ ดูเหมือนว่าโจมตีไม่โดนศีรษะนะ…’

แน่นอนว่าเจ้าวัวไม่ได้ถูกอัดจนโง่ สาเหตุที่ท่าทางเอาใจใส่เช่นนี้ นอกจากเจ้าภูเขาลู่สอบถามเรื่องเยี่ยนเฟยอย่างชัดเจนพร้อมจัดการสถานเบาแล้ว สาเหตุหลักคือเขาบังเอิญรู้ว่าเจ้าภูเขาลู่มีเงินมาก!

“โอ้ มาๆๆ เหล่าลู่ๆ แม้ว่าเรือนของพวกเราพังทลายแล้ว แต่กระบอกชานี้ไม่เสียหาย กาน้ำชายังสะอาด ชิมใบชานี้ดู ถือเป็นชาป่าคั่วของภูเขาใกล้เคียง น้ำชาดื่มแล้วสดชื่นมาก ลองชิมๆ!”

เมื่อเห็นจี้หยวนกลับมา เจ้าวัวรีบกล่าวทักทาย

“ท่านจี้กลับมาแล้ว เทพผีเมืองลั่วชิ่งมัวแต่นิ่งเงียบไม่ออกโรง ท่านไม่ไปอธิบายก็ไม่เป็นไร รีบมาดื่มชาเถอะ ดื่มชา!”

จี้หยวนพยักหน้าเดินมาส่งสายตาถามเจ้าภูเขาลู่ แต่เห็นบนหน้าฝ่ายหลังเปี่ยมความมึนงง ชัดเจนว่าไม่รู้ว่าเหตุใดเจ้าวัวเถื่อนถึงเปลี่ยนท่าทีครั้งใหญ่กะทันหัน ก่อนหน้านี้ยังคอยหาโอกาสตอบโต้เขาตลอด

จี้หยวนจึงมองไปทางเยี่ยนเฟย ผลคือเยี่ยนเฟยแค่ยิ้มอักอ่วน

“ท่านจี้เชิญนั่ง!”

เจ้าวัววางถ้วยชาจี้หยวนเสร็จ รินน้ำชาซึ่งยังอุ่นอยู่ให้หนึ่งถ้วย ส่วนตนนั่งลงก่อนถามรสชากับเจ้าภูเขาลู่และจี้หยวน

“เป็นอย่างไรบ้าง รสชาติเป็นอย่างไร”

“พอใช้ได้”

“ไม่เลวนัก”

จี้หยวนกล่าวตอบประโยคหนึ่ง คำตอบเจ้าภูเขาลู่กลับยกระดับขึ้นมาส่วนหนึ่ง

เจ้าวัวหัวเราะแหะๆ

“นี่คือชาที่ข้าคนแซ่หนิวคั่วด้วยตัวเอง นึกถึงตอนเป็นวัวเทียมตัวหนึ่ง แม้บ้านยากจน แต่หญิงเจ้าของบ้านขยันขันแข็ง ฤดูใบไม้ผลิจะขึ้นเขาเก็บใบชาป่ากลับบ้านมาคั่วเอง น้ำชากับใบชาที่ดื่มเสร็จมักเทลงคอกวัวของข้า ใบชานั้นชุ่มคอนัก…”

เจ้าวัวรำลึกถึงประสบการณ์ช่วงหลายปีก่อนอย่างยากพบเห็น พูดจบแล้วมองเรือนด้านหลังเล็กน้อย

“น่าเสียดายคฤหาสน์หลังนี้ ถือเป็นบ้านที่ข้ากับน้องเยี่ยนฝึกกายบำเพ็ญจิต กระทะเปี่ยมความทรงจำซึ่งข้าพกมาหลายร้อยปีนั่นพังทลายแล้ว…”

“พรวด…”

เยี่ยนเฟยพ่นน้ำชาออกจากปาก ยังดีว่าใช้มือขวางทันเวลา มิฉะนั้นคงพ่นใส่ตัวท่านจี้แล้ว

“แม้การสร้างคฤหาสน์ใหม่ต้องใช้เงินมาก พวกเราขาดเงินแค่เรื่องเล็ก แต่ความทรงจำกลับใช้เงินซื้อกลับมาไม่ได้…”

จี้หยวนมุมปากกระตุก หลุดถามประโยคหนึ่ง

“ถ้าเป็นทองคำเล่า”

“ทองคำถือว่า เอ่อ… ทองคำแล้วอย่างไรเล่า…”

จี้หยวนพอเข้าใจแล้ว วัวตัวนี้ขู่เอาเงินจริงๆ นำเงินไปทำอะไรเขาย่อมนึกออก ถึงอย่างไรเรื่องเมื่อปีนั้นเขายังจำได้ดี เมื่อมองเยี่ยนเฟยอีกครั้ง อีกฝ่ายก้มหน้าก้มตาละอายใจดังคาด

เจ้าวัวเป็นถึงปีศาจตนหนึ่ง คิดหาเงินย่อมไม่ยาก แต่หาไม่ทันใช้จ่าย เงินซึ่งผลาญกับหอนางโลมเมืองลั่วชิ่งหลายปีนี้ สำหรับหลายคนนับว่าเป็นจำนวนเหลือคณา ตอนนี้เมื่อรู้ว่าเจ้าภูเขาลู่เป็นบ่อทอง มีหรือจะไม่เข้าใกล้

เจ้าภูเขาลู่คิดไม่ถึงว่าปีศาจวัวหน้าด้านถึงขั้นนี้ แม้รู้สึกว่าเจ้าวัวเสแสร้งอยู่บ้าง แต่ยังรู้สึกว่าเจ้าวัวเหมือนพูดเรื่องจริง

“คฤหาสน์เสียหาย แน่นอนว่าข้าคนแซ่ลู่ย่อมชดใช้ ถ้าต้องการให้ข้าร่วมสร้างใหม่ใช่ว่าไม่ได้”

เจ้าภูเขาลู่กล่าวประโยคหนึ่ง เจ้าวัวตบเข่าฉาดเต็มแรง

“ใจถึง! เหล่าลู่เจ้ามันปีศาจใจถึง!”

จากนั้นเจ้าวัวขยับเข้าใกล้เจ้าภูเขาลู่เล็กน้อยพลางกล่าว

“เจ้ามีเงินเท่าไหร่”

เจ้าภูเขาลู่อึ้งงันครู่หนึ่ง ไม่นับทองรูปหัวสุนัขกองหนึ่ง หากนับเงินอย่างเดียว มีเศษเงินกับเงินรางวัลของตระกูลต่ง

“ประมาณสองพันกว่าตำลึง”

“ดี! เหล่าลู่ใจถึง! สองพันกว่าตำลึงก็สองพันกว่าตำลึง ข้าคนแซ่หนิวขอรับไว้!”

หนิวป้าเทียนยื่นมือโอบไหล่เจ้าภูเขาลู่พลางหัวเราะร่า ฝ่ายหลังพลันเลิกคิ้ว ข่มกลั้นไม่ซัดเขากระเด็น

………………………………..

เซียนหมากข้ามมิติ

เซียนหมากข้ามมิติ

Status: Ongoing
เพราะกระดานหมากเก่าๆ จี้หยวน พนักงานบริษัทธรรมดาๆ จึงข้ามมิติมาสู่โลกใหม่ในร่างขอทานตาเกือบบอด เพื่อเอาตัวรอดในโลกที่ไม่คุ้นเคย เขาจึงต้องใช้ไหวพริบของคนยุคปัจจุบันและกลหมากพัฒนาตัวเองให้แกร่งกล้า!

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท