ตอนที่ 393 เคราะห์อสนีที่เกินหว่าเหตุ
พลันมีสายฟ้าเสียงดังสนั่นปลุกจี้หยวนที่จมอยู่ในเขตแดนท่วงทำนองวิญญาณ เขาเงยหน้ามองท้องฟ้าในทันใด ไม่จำเป็นต้องนับนิ้วคำนวณก็รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น
“เคราะห์อสนี? เป็นไปได้อย่างไร…”
จี้หยวนเพิ่งพูดได้ครู่เดียวก็ตระหนักได้ถึงอะไรบางอย่าง ก้มหน้ามองวิวัฒน์ฟ้าดินบนโต๊ะม้วนนั้นที่น้ำหมึกยังไม่แห้งดี
“ตำราเล่มนี้ชักนำเคราะห์อสนีมาหรือ”
ลมหวีดหวิวรอบข้างและเสียงฟ้าร้องลั่น เมฆดำยิ่งมายิ่งรวมตัวกันมากขึ้น ทำให้วันฟ้าใสกลายเป็นวันฟ้าครึ้มที่มีเมฆดำกระจายตัวอยู่ภายในเวลาอันสั้น
‘แย่แล้ว อยู่ที่วัดต้าเหลียงไม่ได้!’
ตั้งแต่ถูกเสียงฟ้าผ่าปลุกก็ตระหนักได้ถึงความเลวร้ายของเรื่องราว ความจริงยังผ่านไปไม่ถึงสองลมหายใจเลย
แม้ภายในวัดต้าเหลียงมีภิกษุระดับสูงอยู่ไม่น้อย แต่ส่วนใหญ่ล้วนเป็นคนธรรมดาที่มีกายเนื้ออวัยวะทั่วไป นอกจากนี้ถึงเป็นภิกษุระดับสูงส่วนนั้น หากพูดถึงมรรควิถีและการฝึกปราณก็ไม่ได้สูงมาก จี้หยวนรู้ว่าตอนนี้ไม่ใช่เวลาลังเล จึงตัดสินใจคุมวาโยเหยียบเมฆขึ้นไป ยิ่งใช้พลังมากพอจนกลายเป็นแสงจากไป
ภิกษุทั้งหลายที่วัดต้าเหลียงตอนนี้อยู่ในอารามตกใจ ภิกษุไม่น้อยรีบร้อนวิ่งออกจากกุฏิมามองดูท้องฟ้า เห็นท้องฟ้ามีเมฆและมีสายฟ้าแลบแปลบปลาบ
“อย่ากังวลใจ อย่ากังวลใจ! ภิกษุวัดต้าเหลียงอย่าแตกตื่น!”
“ภิกษุ กลับกุฏิและอุโบสถเพื่อหลบฝน สวดมนต์ต่อพระวิทยาราช! พวกเราฝึกพุทธธรรมอย่างสงบ เคราะห์อสนีไม่มีทางมาถึงตัว!”
ห้ามปรามและปลอบโยนภิกษุทั้งหมดแล้ว คราวนี้ภิกษุที่ใจไม่แข็งเท่าไหร่ถึงสงบใจลงได้บ้าง
เปรี้ยง…ครืน…
“กรี๊ด…”
สายฟ้ามากะทันหันเกินไป องค์หญิงใหญ่ฉู่หรูเยียนตื่นกลัวจนกรีดร้องออกมาเสียงดัง กอดนางกำนัลข้างกายไว้ตามสัญชาตญาณ ฝ่ายนางกำนัลและภิกษุฮุ่ยถงตัวสั่นเพราะตกใจกลัวสายฟ้าเช่นกัน จากนั้นมองท้องฟ้าโดยจิตใต้สำนึก
เห็นเพียงเมฆดำกลิ้งไปมาเหมือนน้ำวน รวมกลุ่มหมุนวนกลางท้องฟ้า ยิ่งมีสายฟ้าแดดิ้นอยู่ในนั้น
หวิว…หวิว…หวิว…
ลมคลั่งพัดขึ้น ดอกไม้ใบหญ้าในลานวัดแทบจะแนบสนิทกับพื้นดิน หลายคนยืนไม่มั่นคงแล้ว
“เคราะห์อสนี! มีเคราะห์อสนีได้อย่างไร!?”
ภิกษุฮุ่ยถงกล่าวด้วยอารามตกใจ ตอนนี้องค์หญิงใหญ่อาศัยแรงประคองจากนางกำนัลถึงยืนมั่นคงได้
“ไต้ซือฮุ่ยถง นี่มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่”
คำพูดนี้ไม่ได้ถูกเสียงลมคลั่งกลบไป ฮุ่ยถงได้ยินแล้ว ทว่าไม่ได้ตอบสนองแต่อย่างใด เห็นแสงสีขาวสายหึ่งเกิดขึ้นภายในบริเวณต้องห้ามของวัด และเห็นเงาร่างคนเหยียบเมฆลอยขึ้นไปอยู่เลือนราง
ภิกษุวัดต้าเหลียงไปจนถึงฉู่หรูเยียนและนางกำนัลมองเห็นแสงสีขาวลอยขึ้น ตอนที่แสงสีขาวลอยขึ้นสู่ท้องฟ้า น้ำเสียงที่จี้หยวนพยายามรักษาความราบเรียบเอาไว้ดังมาถึงในวัด
“ภิกษุวัดต้าเหลียงไม่ต้องกลัว เคราะห์อสนีนี้เป็นของข้าจี้หยวน เมื่อข้าไปแล้วจะไม่ส่งผลกระทบถึงวัดต้าเหลียง…”
เสียงนี้ราบเรียบทว่าก้องกังวาน กลบเสียงสายฟ้าหลายระลอกได้ ดังสะท้อนไปทั่วทั้งวัดต้าเหลียง
“คนผู้นั้นกำลังบิน! นั่นคือท่านจี้หรือ ท่านจี้กำลังบิน!?”
นางกำนัลมองคนเหยียบเมฆกลายเป็นแสงสีขาวจากไปด้วยอารามตกใจ ความจริงเพียงแค่พริบตาเดียวเท่านั้น แสงสีขาววาบผ่านท้องฟ้าเหนือลานวัด แค่กะพริบตาครั้งเดียวก็เหลือแค่กลุ่มแสงแล้ว ไม่นานนักก็หายไปไม่เห็น
แม้เมฆดำเหนือวัดต้าเหลียงยังไม่หายไป ทว่าความรู้สึกเหมือนน้ำวนก่อตัวกลับไม่เหลือแล้ว มีเพียงเมฆดำทั่วไปปกคลุมอยู่ด้านบน ตามมาด้วยเสียงฟ้าร้องเป็นครั้งคราว ลมคลั่งยิ่งลดกำลังลงไปมาก เป็นเพียงพายุฝนฟ้าคะนองเท่านั้นเอง
จนกระทั่งถึงวินาทีนี้ บรรยากาศตื่นกลัวภายในวัดต้าเหลียงค่อยสงบลง
ครืน…
เสียงฟ้าร้องยังคงดังขึ้นเหมือนเดิม ทว่าไม่ได้มีอำนาจคุกคามจิตใจเหมือนก่อนหน้านี้อีกแล้ว
“องค์หญิงใหญ่ รีบตามอาตมาไปที่กุฏิเถอะ อีกเดี๋ยวฝนจะตกแล้ว!”
“เอ่อ ตกลง ดี!”
“ไต้ซือฮุ่ยถง เสียงเมื่อครู่นี้เป็นเสียงท่านจี้หรือ แล้วเขากลายร่างเป็นแสงบินไปหรือ”
นางกำนัลถามอีกครั้งด้วยน้ำเสียงตื่นเต้นเล็กน้อย ก่อนหน้านี้ภิกษุฮุ่ยถงเคยกล่าวไว้อย่างชัดเจนถึงว่าสิ่งที่เรียกว่าเทพเจ้า พระพุทธเจ้า ผู้อมตะ และนักบุญ แต่ในแง่ของผลกระทบด้านจิตใจ มันไม่ใหญ่เท่ากับที่จี้หยวนบินให้นางเห็น
“เป็นท่านจี้จริงๆ เขาเหยียบเมฆขี่แสงธรรมบินไป ชัดเจนว่าไม่อยากทำให้วัดต้าเหลียงลำบาก ทว่าเคราะห์อสนีนี้…สาธุพระวิทยาราช ขอพระพุทธคุ้มครองด้วย เอ่อ…”
ทันใดนั้นภิกษุฮุ่ยถงพูดต่อไม่ออกแล้ว เดิมทีท่านจี้เป็นเซียนที่นั่งเสวนามรรคกับพระวิทยาราชศาสนาพุทธได้ พุทธธรรมต้องปกป้องเขา…
‘ด้วยมรรควิถีของท่านจี้ เคราะห์อสนีน่าจะไม่เหนือบ่ากว่าแรง ทว่าเหตุใดถึงชักนำเคราะห์อสนีมาได้ ท่านจี้ไร้มลทินถึงปานนั้น…’
ภิกษุฮุ่ยถงพลันมองต้นไม้ใหญ่ที่อยู่ในบริเวณต้องห้ามไกลออกไป หรือพูดอีกนัยหนึ่งท่านจี้ไม่ได้เป็นคนชักนำเคราะห์อสนีมาด้วยตนเอง!
“ไต้ซือ เคราะห์อสนีคืออะไรหรือ”
“ไต้ซือฮุ่ยถง ท่านจี้จะไม่เป็นไรใช่หรือไม่”
“ไต้ซือ ข้าเรียนวิชาเหาะเหินดำดินหนีได้หรือไม่ ท่านแนะนำข้าให้กับท่านจี้ได้หรือไม่”
สตรีทั้งสองถามคำถามอยู่ข้างๆ ฮุ่ยถงไม่ยอมหยุด
“สาธุพระวิทยาราช ท่านทั้งสอง พวกเรารีบไปหลบฝนที่กุฏิเถอะ คำถามเหล่านี้อาตมาจะค่อยๆ ตอบ!”
…
ตอนนี้จี้หยวนเหาะหนีด้วยความเร็วสูงสุด เขาเหาะผ่านตรงไหน เหนือศีรษะตรงนั้นจะมีเมฆดำรวมกลุ่ม เหมือนกับไล่ตามเขาอย่างไรอย่างนั้น หรือเรียกว่าตามม้วนตำราในมือเขาก็ได้
จี้หยวนเปิดตาทิพย์เต็มที่ สายตากวาดมองพื้นที่กว้าง ตรงไหนคนอยู่น้อยก็หลบไปตรงนั้น ทว่าเคราะห์อสนีตามมากระชั้นนัก ไม่มีเวลาเหลือมากเท่าไหร่ เขาทำได้เพียงเหาะหนีอย่างเต็มกำลัง อยู่ห่างไกลได้มากเท่าไหร่ยิ่งดี
ท้ายที่สุดแล้วจี้หยวนหยุดตรงสันเขาที่รกร้างเป็นอย่างยิ่ง แทบจะทันทีที่เขาหยุดลง เมฆดำบนท้องฟ้าพลันขยายอาณาเขตกว้างใหญ่ สายฟ้านับไม่ถ้วนแหวกว่ายอยู่ในนั้น อีกทั้งเมฆดำขยายใหญ่อย่างต่อเนื่อง ทำให้ท้องฟ้ามืดลงอย่างต่อเนื่องเช่นกัน
หลังจากนั้นสิบกว่าอึดใจ โดยรอบมืดสลัวราวกับม่านราตรีโรยตัวลงมาก็ไม่ปาน
โครม…
สายฟ้าผ่าลงบนยอดเขา ทำเอาต้นไม้ต้นหนึ่งบนนั้นแตกออกเป็นเสี่ยงๆ แสงสายฟ้าขนาดใหญ่กะพริบแสงส่องสว่างภูเขาลูกใหญ่ท่ามกลางความมืด
จี้หยวนร่อนลงบนสันเขาก่อนเงยหน้ามองท้องฟ้า เมฆดำมหึมาหมุนวนแสงสายฟ้าก่อตัว เหมือนกับยังคงกดดันลงมาอย่างต่อเนื่อง
พูดตามตรงว่าแม้จะเป็นจี้หยวนในตอนนี้ เห็นภาพนี้แล้วก็ยังคงกระวนกระวายใจอยู่ดี แต่หากวางวิวัฒน์ฟ้าดินลงแล้วหนีไปยิ่งเป็นไปไม่ได้อย่างแน่นอน
หลังจากอนุมานออกมาแล้ว แม้แต่ตัวจี้หยวนเองยังไม่ได้อ่านเลยสักรอบ ตอนนี้หากเสียมันไป จิตใจเขาต้องได้รับความกระทบกระเทือนอย่างหนัก หลังจากนี้จะอนุมานออกมาได้อีกตอนไหนก็ไม่รู้
‘ก็แค่เคราะห์อสนีเองไม่ใช่หรือ มาเถอะ!’
ทว่าตอนนี้ไม่อาจและไม่กล้าเก็บม้วนตำราเข้าในแขนเสื้อ ไม่เช่นนี้เขาคนแซ่จี้ต้องตายเป็นแน่แท้
เปรี๊ยะ…เปรี้ยง…
จี้หยวนยังคิดไม่ทันจบ สายฟ้าสายแรกบนท้องฟ้าก็ผ่าลงมาอย่างเร่งร้อน ส่องสว่างทั่วทั้งภูเขารกร้างจนขาวโพลนทั้งผืน
ครืน
ฮึ่ม…เปรี้ยง…
จี้หยวนใช้นิ้วชี้ชี้ขึ้นบนท้องฟ้า แสงสายฟ้ากระจายไปทั่วทุกทิศทาง ส่วนเหนือศีรษะมีมือสีแดงขนาดใหญ่สองข้างแบกท้องฟ้าเอาไว้ ขวางอยู่เหนือศีรษะจี้หยวน เป็นจอมพลังเกราะทองที่เรียกออกมาในพริบตาเดียว
แปะๆ…แปะ ปัง…ครืน…
แสงสายฟ้าที่กระจายออกไปกวาดผ่านโดยรอบสันเขารกร้าง ไม่ว่าจะเป็นหินใหญ่หรือต้นไม้แห้งล้วนแตกกระจายกระเด็นกระดอนไป บนพื้นดินยิ่งเป็นรอยไหม้หลายรอย
สายฟ้าทั้งหมดรอบข้างจี้หยวนถูกแหวกออกราวกับเจอเยื่อบางๆ ชั้นหนึ่ง ส่วนบนกายจอมพลังเกราะทองพัวพันไว้ด้วยแสงสายฟ้าเต็มไปหมด วิญญาณดินสีเหลืองรวมกลุ่มจากใต้เท้าของจอมพลังเกราะทองตลอดเวลาเพื่อต้านทานสายฟ้า พลังของจี้หยวนเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ทำให้จอมพลังเกราะทองไม่ถึงกับเหนื่อยล้าไร้เรี่ยวแรง
สายฟ้านี้ไม่ได้หายวับไป อานุภาพฟ้าเทลงมาเหมือนกับแม่น้ำสายยาวไหลริน จี้หยวนกัดฟันอดทน พูดไม่ได้ว่ากินแรงเป็นอย่างยิ่ง ทว่าเครียดเกร็งนัก
ในที่สุดสายฟ้าสายนี้ก็ผ่านพ้นไป เวลาสี่ห้าลมหายใจยาวนานเหมือนกับสี่ห้าชั่วยาม ด้านข้างนอกจากใต้เท้าของจี้หยวนและจอมพลังเกราะทองที่ยืนอยู่แล้ว บริเวณอื่นดำเป็นตอตะโกไปหมด
“ฮู่…”
จี้หยวนผ่อนลมหายใจก่อนมองจอมพลังเกราะทอง สายฟ้าบนตัวมันยังคงอยู่ บนร่างของจอมพลังเริ่มเกิดควันดำเป็นหย่อมๆ ชัดเจนว่าใกล้ต้านไม่ไหวแล้ว
ไม่ได้การแล้ว จี้หยวนทำได้เพียงกวักมือ เก็บจอมพลังเกราะทองกลับคืน แม้กลับเป็นกระคนกระดาษยันต์แผ่นสีเหลืองอีกครั้ง บนนั้นยังคงมีแสงสายฟ้าเวียนวนอยู่ดี และจี้หยวนรู้สึกได้ถึงความเจ็บและชาบนฝ่ามือ
จี้หยวนรู้จักร่างวิญญาณของจอมพลังเกราะทองเป็นอย่างดี แม้แต่จอมพลังยังต้านไม่ไหว ถึงไม่แน่ใจว่าร่างกายตนเองแข็งแกร่งเท่าไหร่ แต่เขาไม่คิดไปลองอยู่แล้ว
กระนั้นจี้หยวนยังไม่ทันได้คิดมาก
เปรี้ยง…ครืน…
แสงสายฟ้ามาอีกสาย ตอนนี้ท่ามกลางแสงสายฟ้าปรากฏสีม่วงอ่อน อานุภาพที่กดอัดลงมาเหมือนกันหอกสายฟ้าเข้าจู่โจม ส่องสว่างโดยรอบจนสว่างจ้าในพริบตาเดียว
ชั่วเวลาสี่ห้าอึดใจ สายฟ้าสายนี้ถึงค่อยจบลง ครั้งนี้จี้หยวนเรียกจอมพลังเกราะทองออกมาสองตัว ทว่าถูกสายฟ้าผ่าแหลกทั้งหมด ตัวเขาเองยังประสบกับความรู้สึกของไฟฟ้าสถิตหลังจากสายฟ้าสายสุดท้าย แม้แต่ดวงตาก็เจ็บและชาอยู่เล็กๆ
“ฮู่…ฮู่…”
จี้หยวนหอบหายใจเล็กน้อยเพื่อคลายความกดดัน แม้เสียพลังไปก็ยังคงรับไหว ทว่าความจริงแล้วความกดดันในจิตใจหนักหนาเกินไปแล้ว
สายตาเขาจ้องมองท้องฟ้าทันที สายฟ้าบนนั้นรวมกลุ่มกันรวดเร็วจนน่าประหลาด ครั้งนี้ปรากฏแสงสีทองท่ามกลางสีม่วง สายฟ้ายังคงมาบรรจบกันที่แกนกลางของกลุ่มเมฆ…
“บัญชา ขับไล่ปีศาจผูกมัดวิญญาณ!”
จี้หยวนตะโกนเสียงหนึ่ง ในที่สุดก็ใช้ท่าไม้ตายจัดการกับสายฟ้า เมื่อสิ้นเสียงบัญชาและปราณโลกาสวรรค์ยังคงอยู่ พริบตานั้นเวทอสนีพุ่งออกจากแขนเสื้อจี้หยวนแล้วตรงขึ้นสู่ท้องฟ้า
ซ่า…
เวทอสนีขนาดมหึมาแผ่กระจายอยู่บนท้องฟ้า พร้อมกันนั้นสายฟ้าผ่าลงมาอีกครั้ง
เปรี้ยง…
แสงสายฟ้าเหมือนกับน้ำตาที่ตกลงจากท้องฟ้าเป็นเวลานาน เทลงบนเวทอสนีอย่างต่อเนื่อง แสงจากเวทอสนีพลันกลายเป็นสีม่วงทอง ความสดใสและความตายของเวทแต่ละครั้งยิ่งจ้าตาและขยายออกไปเรื่อยๆ
ไม่เลว เวทอสนีต้านไว้ได้!
ต้านไว้ได้กี่ลมหายใจ สอง? สาม?
จี้หยวนลำบากใจมาก เวทอสนีเป็นอัญมณีหนึ่งเดียวในมือตอนนี้ หากเสียไปแล้วคงจะต้องปวดใจตายอย่างแท้จริง ทว่าต่อให้ปวดใจแค่ไหนก็ต้องทนไว้ ไม่เช่นนั้นเขาต้านเคราะห์อสนีครั้งนี้ไม่ไหวแน่!
จี้หยวนแน่ใจว่าเคราะห์อสนีครั้งนี้ไม่อาจมีมากเกินไป อย่างมากเหลืออีกสามสาย ทว่าเป็นสามสายที่มีอานุภาพน่าหวาดหวั่นอย่างแน่นอน ไม่เช่นนั้นใช้อานุภาพที่เกินกว่าเหตุมากกว่านี้ หากมีหกสายเจ็ดสาย เขาก็ทำได้เพียงวิ่งหนีแล้ว
ในที่สุดแม้มีปราณโลกาสวรรค์ร่วมต้าน แสงจากเวทอสนีเองถึงช่วงที่บาดตาแล้ว นี่หมายความว่าเวทอสนีกำลังจะแตกสลาย กระนั้นตอนนี้ผ่านไปสามลมหายใจครึ่งพอดิบพอดี
เก็บ!
จี้หยวนคิดในใจ ทันใดนั้นสะบัดแขนเสื้อเพื่อดึงเวทอสนีที่รวดร้าวกลับมา จากนั้นในวินาทีเดียวกันมือขวาคว้าด้ามกระบี่เครือเขียว กลางตัวอักษร ‘ท่วงทำนองวิญญาณเครือเขียวซ่อนคมหมื่นจั้ง’ บนฝักกระบี่นั้น แสงของตัวอักษร ‘ซ่อน’ หลอมเข้าสู่ตัวอักษร ‘คม’ แทบทั้งหมดแล้ว
“ประเมินข้าต่ำไปหน่อยแล้ว!”
จี้หยวนตะโกนใส่ท้องฟ้าด้วยความโมโห ชักกระบี่ออกจากฝัก
ชิ้ง…
ฉ่า…
กระบี่เซียนแสดงอำนาจอย่างเต็มที่ ประกายกระบี่เจิดจ้าเช่นเดียวกับแสงสายฟ้า รอบข้างถูกส่องแสงจนมีแต่สีขาวมองไม่เห็นอย่างอื่น ยื่นมือออกไปไม่เห็นนิ้วทั้งห้าเช่นกัน
ตอนนี้ปราณกระบี่ประกายกระบี่นำอานุภาพที่ไม่อาจคาดเดาได้วาดผ่านพระจันทร์ครึ่งเสี้ยว ผ่าสายฟ้าที่เหมือนกับงูสายฟ้าออกเป็นสองท่อน อีกทั้งผ่าไปถึงสวรรค์เก้าชั้นฟ้า ผ่าเมฆสายฟ้าขมุกขมัวข้างบนด้วยเช่นกัน
แซกๆๆ…แซก…
แม้สายฟ้าถูกผ่าไป แต่ยังคงมีสายฟ้าตกลงมาตามด้ามกระบี่นับไม่ถ้วน
“ฮึ่ม…”
จี้หยวนครางเสียงทุ้ม พยายามข่มความเจ็บปวดเอาไว้ คว้าวิชาอัศจรรย์วิวัฒน์ฟ้าดินไว้แน่นขนัด โคจรวิชาคุ้มครองมันต่อเนื่อง พลังของสายฟ้าไร้ขีดจำกัดพลันพุ่งเข้าใส่มือซ้ายของจี้หยวนอย่างมีเป้าหมาย พร้อมกันนั้นแสงธรรมพันม้วนตำราเอาไว้แล้ว