ตอนที่ 938 ตระกูลอวี่ขายบ้าน
เวลาผ่านไปไวเหมือนจรวด และวันปีใหม่สากลก็ใกล้เข้ามาอย่างรวดเร็ว
วันปีใหม่สากลไม่ถือเป็นวันหยุดสำคัญในประเทศจีน แต่วันนี้เป็นวันครบรอบขวบแรกของหนูน้อยมู่ตง จึงเป็นวันที่คุณปู่ฟางและคุณย่าฟางให้ความสำคัญอย่างสูง
หนูน้อยไม่ได้ฉลองครบเดือน และคุณย่าฟางก็รู้สึกเสียใจกับเรื่องนี้มาโดยตลอด
ดังนั้น พวกผู้ใหญ่จึงอยากจัดงานฉลองอย่างยิ่งใหญ่ให้กับวันเกิดปีแรกของหนูน้อย
แม้หลินม่ายกับสามีจะไม่สนใจจัดงานเลี้ยง และรู้สึกว่าไม่จำเป็นด้วยซ้ำก็ตาม
แต่ในเมื่อพวกผู้ใหญ่ชอบ ก็คงต้องปล่อยไปตามความปรารถนาของพวกเขา
วันเกิดของเสี่ยวมู่ตงเป็นวันทำงาน และแขกจำเป็นต้องขอลางานหากต้องการมาร่วมงานวันเกิดของเขา
ทั้งครอบครัวปรึกษาหารือกันและตัดสินใจจัดงานเลี้ยงวันเกิดครั้งแรกในวันปีใหม่สากล แขกจะได้ไม่ต้องเสียเวลา
ฟางจั๋วเยวี่ยและเถาจืออวิ๋นมาถึงบ้านล่วงหน้าหลายวัน
คุณย่าฟางพูดติดตลก “เธอสองคนมากันเร็วขนาดนี้ กลัวว่าจะพลาดงานเลี้ยงของเสี่ยวตงตงหรือยังไง?”
ฟางจั๋วเยวี่ยวางขายาว ๆ ของเขาบนโต๊ะกาแฟ “ผมไม่ได้กังวลว่าจะพลาดงานเลี้ยงวันเกิดเสี่ยวตงตงหรอกครับ ผมเป็นอาของเขา ต่อให้พลาดผมก็สามารถชดเชยให้เขาไม่ใช่หรือไง? จืออวิ๋นกับผมมาเร็วเพราะตัวแทนอสังหาริมทรัพย์ขอให้ผมมาดูบ้าน”
ฟางจั๋วหรานถามอย่างสงสัย “ทำไมบริษัทอสังหาริมทรัพย์ในเมืองหลวงถึงโทรหานายล่ะ?”
ฟางจั๋วเยวี่ยไปที่หลินม่ายและเถาจืออวิ๋นด้วยสายตา “ครั้งล่าสุดที่พี่สะใภ้และเถาจืออวิ๋นไปร่วมการแข่งขันแฟชั่นที่ประเทศเกาะ ผมอยู่ที่บ้านเฉยๆ แล้วรู้สึกเบื่อ เลยไปที่บริษัทอสังหาริมทรัพย์หลายแห่งในเมืองหลวงเพื่อซื้อเรือนสี่ประสาน แม้จะยังไม่เจอหลังที่ชอบ แต่ก็ฝากเบอร์โทรไว้กับตัวแทนอสังหาริมทรัพย์ หากมีที่พักที่เหมาะสมเขาจะได้แจ้งเราให้ทราบ เมื่อสองวันก่อน บริษัทอสังหาริมทรัพย์โทรมาบอกผมว่า พวกเขามีเรือนสี่ประสานสวย ๆ ในมือและชวนผมไปดู เนื่องจากเราจะฉลองวันเกิดปีแรกของหนูน้อยเสี่ยวตง ผมกับจืออวิ๋นจึงมาเร็ว”
หลินม่ายดุ “ไม่ใช่ว่าฉันไม่ช่วยนายซื้อเรือนสี่ประสานสักหน่อย แต่นายกลับบินมาที่นี่เพื่อดูบ้านเองเนี่ยนะ”
ฟางจั๋วเยวี่ยโบกมือและพูดอย่างรู้สึกผิดว่า “ผมไม่กล้าให้พี่สะใภ้ซื้อบ้านอีกแล้ว ครั้งที่แล้วคุณตกอยู่ในอันตรายและพี่ชายของผมได้รับบาดเจ็บสาหัส ทั้งหมดเป็นเพราะการซื้อบ้านให้ผม”
หลินม่ายและสามีพูดพร้อมกัน “มันเป็นแค่อุบัติเหตุ ไม่ได้เกี่ยวกับพวกนายเลย”
แม้ทั้งสองจะกล่าวเช่นนั้น แต่ฟางจั๋วเยวี่ยก็ยังยืนยันที่จะซื้อบ้านด้วยตัวเอง
เถาจืออวิ๋นจับมือหลินม่ายและบ่นว่า “เธอไม่บอกเรื่องใหญ่นี้กับฉันและจั๋วเยวี่ยเลย ถ้าไม่ใช่เพราะรู้เรื่องนี้จากเสิ่นเสี่ยวผิงเมื่อราวสามวันก่อน เธอก็คงคิดจะปิดบังเรื่องนี้จากเราไปตลอดชีวิตเลยใช่ไหม?”
หลินม่ายพูดอย่างเป็นกันเองว่า “พวกเราไม่ได้บอกใครเลย ถึงจั๋วหรานจะได้รับบาดเจ็บสาหัส แต่เขาก็พ้นขีดอันตรายได้อย่างรวดเร็ว ส่วนฉันได้รับบาดเจ็บแค่ผิวเผิน ดังนั้นทุกคนไม่ต้องเป็นห่วง”
เถาจืออวิ๋นชำเลืองมองฟางจั๋วหราน “พี่ใหญ่ฟื้นตัวดีแล้วเหรอคะ?”
ฟางจั๋วหรานยิ้ม “ใช่ ผมวางแผนที่จะกลับไปทำงานหลังปีใหม่”
“ยังเร็วเกินไป ฉันไม่อนุญาต คุณห้ามไปทำงานจนกว่าจะถึงเดือนมีนาคมเป็นอย่างน้อย!” หลินม่ายพูดอย่างจริงจัง
บ่ายวันนั้น ฟางจั๋วเยวี่ยและเถาจืออวิ๋นไปดูบ้านด้วยกัน
ในมื้อค่ำ หลินม่ายถามเขาว่าบ้านที่ทั้งสองไปดูเป็นอย่างไร
ฟางจั๋วเยวี่ยกินปลาผัดเปรี้ยวหวานพลางกล่าวว่า “เรือนสี่ประสานหลังนั้นไม่ดีเท่าบ้านของพี่สะใภ้ แต่พวกเขากลับขอราคาที่สูงยิ่งกว่า”
หลินม่ายถาม “แล้วพวกเธอชอบบ้านนั้นไหม?”
ฟางจั๋วเยวี่ยตอบ “ก็ไม่เลว ในตลาดตอนนี้ซื้อเรือนสี่ประสานสองวงไม่ง่ายเลยนะ”
หลินม่ายพยักหน้า “ฉันจะไปดูกับพวกเธอตอนเที่ยงวันพรุ่งนี้ ถ้าไม่ว่ายังไงฉันจะช่วยต่อรองราคา”
เถาจืออวิ๋นกังวล “ไปดูบ้านพรุ่งนี้เที่ยงจะไม่กระชั้นชิดเกินไปเหรอ? เธอจะกลับไปทันเข้าเรียนในช่วงบ่ายหรือเปล่า?”
“ไม่มีปัญหา คาบเรียนเริ่มตอนบ่ายสามโมง”
ทันทีที่เลิกเรียนในตอนเที่ยงของวันต่อมา หลินม่ายรีบขึ้นแท็กซี่เพื่อกลับบ้าน
หลังจากที่ครอบครัวรับประทานอาหารกลางวันเสร็จแล้ว หลินม่ายจึงพาฟางจั๋วเยวี่ยและเถาจืออวิ๋นไปดูบ้าน
เมื่อตัวแทนอสังหาริมทรัพย์แซ่เหยียนพาทั้งสามคนไปที่ลานบ้านสำหรับขาย
หลินม่ายได้ยินเสียงทะเลาะวิวาทดังมาจากลานบ้าน จึงถามขึ้นด้วยความกังวล “ดูเหมือนว่าเจ้าของบ้านจะยุ่งอยู่ ไม่ค่อยสะดวกให้เราเยี่ยมชมบ้านหรือเปล่า?”
นายหน้าเหยียนตอบ “สะดวกครับ เจ้าของบ้านกังวลมากว่าจะขายบ้านไม่ได้”
หลังจากนั้นเขาก็เคาะประตูลานบ้าน
การทะเลาะวิวาทภายในหยุดลงทันที ก่อนที่หญิงวัยกลางคนที่ดูใจดีจะเปิดประตูลานบ้านครึ่งหนึ่ง
หล่อนชำเลืองมองฟางจั๋วเยวี่ยและคนอื่น ๆ และพูดว่า “ตอนนี้ที่บ้านมีเรื่องนิดหน่อย วันนี้ฉันคงไม่สะดวกให้พวกคุณเข้ามาดู วันหลังค่อยมาใหม่นะคะ”
ท้ายที่สุดโดยไม่รอให้พนักงานขายตอบ หล่อนก็ปิดประตูบ้านอย่างแรง
หลินม่ายเห็นร่างของหลูเจียซิ่งผ่านรอยแยกของประตูอยู่รางๆ
เธอสงสัยเล็กน้อยว่าครอบครัวนี้เป็นใคร ทำไมหลูเจียซิ่งถึงมาอยู่ที่นี่และทะเลาะกับครอบครัวนี้?
เธอถามนายหน้าเหยียน
นายหน้าเหยียนบอกเธอว่า ทั้งคู่เป็นพ่อแม่ของโยมิ อาซากุสะผู้ฉาวโฉ่ในตอนนี้
หน่วยงานระดับสูงสั่งให้ธนาคารเรียกคืนเงินกู้ที่ให้กับโยมิ อาซากุสะทันที
หากกู้ไม่ได้ ผู้ให้กู้อาจต้องโทษจำคุก
ถ้าโยมิ อาซากุสะปฏิเสธที่จะชำระคืนเงินกู้ พ่ออวี่ผู้จัดการเงินกู้ให้หล่อนโดยฝ่าฝืนกฎระเบียบจะถูกจำคุกและถูกยึดทรัพย์สินทั้งหมด
พ่ออวี่และแม่อวี่จึงต้องการขายเรือนสี่ประสานที่พวกเขาอาศัยอยู่ด้วยความกระวนกระวายใจ เพื่อนำเงินนี้ไปชำระคืนเงินกู้
สำหรับหลูเจียซิ่ง นายหน้าเหยียนไม่รู้จักเขา ดังนั้นจึงไม่รู้ว่าเหตุใดอีกฝ่ายจึงมาอยู่ในบ้านตระกูลอวี่และเกิดการทะเลาะวิวาทแบบนี้
หลินม่ายหัวเราะเยาะ “คุณไม่เห็นหรือว่าพ่อแม่ของโยมิ อาซากุสะดูกระตือรือร้นเหลือเกินที่จะขายบ้านพวกเขาอาศัยอยู่ตอนนี้? ถ้าอยากขายจริง ก็คงไม่ตั้งราคาสูงลิ่วขนาดนั้น”
นายหน้าเหยียนอธิบาย “เงินกู้มีมูลค่ามากกว่าหนึ่งล้านหยวน จึงเป็นเรื่องเข้าใจได้ที่พวกเขาจะตั้งราคาขายสูงขึ้น”
“ข้อแก้ตัวบ้าบออะไรกัน? เงินกู้ที่ครอบครัวของพวกเขาเป็นหนี้กับธนาคาร ผู้ซื้อบ้านควรเป็นควรจ่ายหรือไง?”
นายหน้าเหยียนเงียบไปทันทีหลังได้รับคำถามจากหลินม่าย
ไม่ใช่แค่หลูเจียซิ่งเท่านั้นที่มาทะเลาะวิวาทที่บ้านตระกูลอวี่ แต่ยังรวมถึงพ่อแม่ของเขาด้วย
พ่อหลูและแม่หลูคิดว่า การที่หลูเจียซิ่งถูกตัดสินให้รอลงอาญา ตกงาน มีชื่อเสียงไม่ดี รวมถึงแฟนสาวของเขาที่เพิ่งคบหากันก็ขอเลิกรา ทั้งหมดเหล่านี้ล้วนเป็นความผิดของโยมิ อาซากุสะ
ก่อนหน้านี้พ่อหลูและแม่หลูต้องการเผชิญหน้ากับตระกูลอวี่เพื่อขอคำอธิบาย แต่พวกเขาไม่มีความกล้าที่จะทำเช่นนั้น
แม้ว่าคุณปู่อวี่จะจะล่วงลับไปแล้ว แต่อิทธิพลของอวี่เวยยังคงอยู่ อีกฝ่ายยังถือเป็นตระกูลใหญ่ แล้วพวกเขาจะกล้าดีอะไรมาคุยกับลูกหลานของเจ้าหน้าที่ระดับสูง!
ตอนนี้พ่ออวี่และแม่อวี่ถูกไล่ออกจากราชการ ตระกูลอวี่พังทลายลงอย่างสมบูรณ์ ทำให้พวกเขากล้ามาเผชิญหน้าด้วย
แน่นอนว่าพ่ออวี่และแม่อวี่ปฏิเสธที่จะยอมรับข้อกล่าวหาจากตระกูลหลู
พวกเขาเชื่อว่า การที่หลูเจียซิ่งตกอยู่ในสถานะเช่นนี้เกิดจากความไร้ยางอายของเขาเอง และไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับลูกสาวของพวกเขา
ทั้งสองครอบครัวทะเลาะกันเป็นเวลาหลายชั่วโมง และในที่สุดตระกูลอวี่ก็โทรแจ้งตำรวจและขับไล่ตระกูลหลูออกไป
พ่อหลูเป็นนายทหารฝ่ายเสนาธิการเช่นกัน ดังนั้นเขาจึงไม่กล้าส่งเสียงดังเกินไป เพราะกลัวว่าจะส่งผลกระทบต่อตัวเอง ดังนั้นครอบครัวจึงไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากต้องกลับมาด้วยใบหน้าที่เศร้าหมอง
ในช่วงเย็น นายหน้าเหยียนโทรหาฟางจั๋วเยวี่ยและบอกเขาว่า เจ้าของบ้านขอให้เขาไปดูบ้านอีกครั้งในวันพรุ่งนี้เช้า
หลินม่ายส่ายหัวให้ฟางจั๋วเยวี่ยและพูดสั้น ๆ ว่า “ปฏิเสธไป”
ฟางจั๋วเยวี่ยเข้าใจ “พรุ่งนี้ผมอาจไม่สะดวก แล้วผมจะนัดกับเจ้าของบ้านเพื่อดูบ้านอีกครั้งในวันอื่นครับ”
นายหน้าเหยียนกระวนกระวาย “ในที่สุดเจ้าของบ้านก็ยอมให้คุณดูบ้านแล้ว ทำไมคุณถึงปฏิเสธล่ะ?”
ฟางจั๋วเยวี่ยอารมณ์เสียทันทีที่ได้ยินสิ่งนี้ “เวลาของเจ้าของบ้านมีค่า แล้วเวลาของผมไร้ค่าหรือยังไง? ถ้าเจ้าของบ้านไม่ว่าง ผมก็ไม่รอเหมือนกัน ผมมีเงินและก็ไม่กลัวว่าจะหาซื้อบ้านไม่ได้!”
คำพูดไม่กี่คำเหล่านี้ถูกใจหลินม่ายมาก จนต้องยกนิ้วโป้งให้เขา
นายหน้าเหยียนนิ่งค้างไปและพูดอย่างช่วยไม่ได้ “งั้นผมจะช่วยคุยกับเจ้าของบ้าน และขอให้เขาเปิดบ้านให้คุณดูในวันอื่น หากเห็นว่าสะดวกวันไหนจะมาดูบ้าน ก็โทรบอกผมก่อน ผมจะได้นัดกับเจ้าของบ้านให้ครับ”
ฟางจั๋วเยวี่ยครุ่นคิดครู่หนึ่ง “วันมะรืนนี้ หากสามารถต่อรองราคาได้ ผมจะซื้อทันที”
มะรืนนี้เป็นวันสุดท้ายตามปฏิทินสุริยคติ
หลังรับประทานอาหารเช้า ฟางจั๋วเยวี่ยและเถาจืออวิ๋นไปยังบ้านตระกูลอวี่เพื่อเยี่ยมชมบ้าน
หลินม่ายต้องไปเรียน ดังนั้นเธอจึงไม่ได้ไปกับพวกเขา
หลังเลิกเรียนตอนเที่ยง เมื่อหลินม่ายกลับมาบ้าน เธอพบว่าฟางเว่ยกั๋วและพี่น้องของเขาพาครอบครัวมาบ้านแล้ว พวกเขากำลังเตรียมงานฉลองวันเกิดอายุครบ 1 ขวบของเสี่ยวมู่ตงในวันพรุ่งนี้
แต่ฟางเสียนจิ้งและสามีไม่มา
หลินม่ายคาดเดาว่าอาจเป็นเพราะเธอไม่ให้ฟางเสียนจิ้งยืมเงินในครั้งที่แล้ว อีกฝ่ายจึงโกรธและไม่อยากมาร่วมงาน
หลินม่ายไม่ได้สนใจว่าฟางเสียนจิ้งและสามีจะมาหรือไม่ เธอแค่ส่งคำเชิญไปให้เป็นมารยาท
ไม่ว่าฟางเสียนจิ้งจะนิสัยแย่แค่ไหน แต่หล่อนยังคงเป็นอาหญิงของสามี ดังนั้นจึงยังต้องให้เกียรติอยู่บ้าง
แม้ว่าอาหารกลางวันจะเตรียมจากโรงแรมในบริเวณใกล้เคียงและส่งถึงบ้าน แต่หลินม่ายต้องเตรียมเลี้ยงอาหารมื้อค่ำให้คนจำนวนมาก ดังนั้นเธอจึงไม่มีเวลาถามฟางจั๋วเยวี่ยและเถาจืออวิ๋นเกี่ยวกับการซื้อบ้าน
อย่างไรก็ตามเมื่อเห็นการแสดงออกที่สงบเสงี่ยมของพวกเขา หลินม่ายคาดเดาได้ว่าพวกเขาคงไม่ประสบความสำเร็จในการเจรจา
ที่โต๊ะอาหาร คุณย่าฟางอดไม่ได้ที่จะถามลูกชายและลูกสะใภ้ที่นั่งกับนางและสามีว่า “ทำไมเสียนจิ้งกับสามีถึงไม่มาล่ะ พวกเธอรู้เหตุผลไหม?”
ฟางเว่ยหมินส่ายตะเกียบในมือและตอบว่า “อย่าไปพูดถึงหล่อนเลยครับ อย่างไรเสียนจิ้งและสามีของเธอเป็นเจ้าหน้าที่ระดับกลางและอยู่ในกลุ่มรายได้ดี แต่พวกเขาถูกลูกสาวบังคับลากลงมาจนแทบสิ้นเนื้อประดาตัว แล้วจะมีอารมณ์มาเลี้ยงฉลองงานวันเกิดให้เสี่ยวตงตงได้ยังไง! ในช่วงวันหยุด ทั้งคู่ต้องไปตั้งแผงขายข้างถนนเพื่อหาเงินใช้หนี้!”
คุณปู่ฟางตกใจและถามว่า “ทำไมพวกเขาถึงเป็นหนี้ล่ะ?”
ฟางเว่ยกั๋วถอนหายใจอย่างเย็นชา “ก็เพราะไปยืมเงินจากเพื่อนร่วมงานทุกที่เพื่อค่าเล่าเรียนของเมิ่งเมิ่งในต่างประเทศที่สูงลิบลิ่ว แล้วจะไม่เป็นหนี้ได้ยังไง? พวกเขาสองคนมีหนี้สินล้นพ้นตัวจนไม่มีเงินแม้แต่จะกินไข่สักฟอง ไม่รู้เลยว่าจะต้องใช้ชีวิตลำบากแค่ไหน?”
คุณย่าฟางทนไม่ได้และคุยกับคุณปู่ฟางว่า “เราควรให้ลูกสาวยืมเงินไปใช้จ่ายในชีวิตประจำวันดีไหม?”
คุณปู่ฟางโวยวายด้วยความหงุดหงิด “ถ้าลูกสาวคนนั้นไม่ยอมพาเมิ่งเมิ่งกลับประเทศ ก็อย่าพูดถึงการให้เงินหล่อนยืมเลย ฉันยินดีที่จะให้เงินหล่อนจำนวนหนึ่งด้วยซ้ำ แต่ตราบใดที่เมิ่งเมิ่งยังคงอยู่ต่างประเทศ เราก็ไม่อาจให้หล่อนยืมเงินได้ ค่าเล่าเรียนในต่างประเทศของเมิ่งเมิ่งเป็นเหมือนหลุมลึกที่เติมเท่าไหร่ก็ไม่เต็ม”
คุณย่าฟางถอนใจเฮือกใหญ่
หลังรับประทานอาหารเสร็จแล้ว หลินม่ายหาเวลาไปถามฟางจั๋วเยวี่ยเกี่ยวกับการซื้อบ้าน
มันเป็นอย่างที่เธอคาดเดา ฟางจั๋วเยวี่ยล้มเหลวในการเจรจาซื้อบ้านหลังบ้าน
เหตุผลคือพ่ออวี่และแม่อวี่ไม่ยอมลดราคา
………………………………………………………………………………………………………………………….
สารจากผู้แปล
โลกกลมจริงๆ เลย อยู่ๆ ก็มาเกี่ยวข้องกับยัยอวี่ในทางอ้อมได้ มีกรรมเก่าร่วมกันนะเนี่ย
ไหหม่า(海馬)