บทที่ 1056 กลุ่มอิทธิพลต่างๆ ในฟ้าบุพกาล
อวี้ยวนออกท่องฟ้าบุพกาลได้จังหวะพอดี เพราะในช่วงเวลาเดียวกันนี้งานชุมนุมฟ้าบุพกาลครั้งที่สามได้สร้างแรงกระตุ้นผลักดันขึ้นมาอีกครั้ง เวลาผ่านไปหลายแสนปีคลื่นบุตรแห่งสวรรค์ลูกใหม่ปรากฏขึ้นในฟ้าบุพกาลอีกครั้ง ต่างมุ่งมาดปรารถนาตำแหน่งสูงสุดอันเป็นตัวแทนของยอดบุตรแห่งสวรรค์
บุตรแห่งสวรรค์หมื่นผู้กล้าจากงานชุมนุมฟ้าบุพกาลครั้งก่อนได้พิสูจน์ตัวให้เห็นแล้ว ล้วนกลายเป็นผู้ทรงพลังและผู้มีอิทธิพลเลื่องชื่อระบือนามในอาณาเขตฟ้าบุพกาลหลายแสนแห่ง ส่วนสิบยอดฟ้าก็กลายเป็นตัวตนที่สร้างความตกตะลึงให้แก่หน้าประวัติศาสตร์ ภายใต้รูปการณ์เช่นนี้จึงทำให้ความสำคัญของงานฟ้าบุพกาลถูกยกระดับสูงขึ้นไปตามธรรมชาติ
เมื่องานชุมนุมฟ้าบุพกาลดำเนินไปอย่างราบรื่น หานเจวี๋ยก็ตัดสินใจว่าครั้งนี้จะไม่ไปด้วยตัวเองอีก
ในอาณาเขตเต๋าทั้งสามแห่งล้วนมีร่างแยกของเขาอยู่ หากมีลูกศิษย์อยากออกไปก็แจ้งความประสงค์กับร่างแยกของเขาได้ตลอดเวลา
เวลาผ่านไปหลายล้านปี
อายุขัยของหานเจวี๋ยครบหนึ่งร้อยสิบล้านปีบริบูรณ์ ทว่าเขาไม่ได้รับแจ้งเตือนทางเลือกรางวัลอีก มีเพียงสวรรค์ประทานโชคที่เพิ่มขึ้นมาหนึ่งครั้ง
เช่นนี้ก็แปลว่าต่อไปจะได้รับทางเลือกรางวัลทุกๆ หนึ่งร้อยล้านปี ถึงแม้กำหนดเวลาจะยาวนานขึ้น แต่ของรางวัลก็น่าจะมีระดับสูงขึ้นเช่นกัน
ดูเหมือนต่อไปต้องเพิ่มกำหนดเวลาปิดด่านเป็นครั้งละสิบล้านปีเสียแล้ว มิเช่นนั้นต้องคอยนานเกินไป
อีกอย่างช่วงนี้เขาก็รู้สึกว่าระยะเวลาห้าล้านปีสั้นเกินไปจริงๆ
หานเจวี๋ยเริ่มตรวจดูกล่องจดหมาย
ช่วงห้าล้านปีที่ผ่านมา บรรดาเชื้อสายและเหล่าศิษย์ของเขากลับสงบนิ่งลงทั้งสิ้น หากเทียบกับเมื่อหลายแสนปีก่อนแล้วนับว่าสงบลงมากจริงๆ
หลังจากหานเจวี๋ยตรวจดูจดหมายเสร็จก็เอ่ยถามขึ้นว่า “ซั่นเอ้อร์ งานชุมนุมฟ้าบุพกาลกำลังจะเริ่มขึ้นแล้ว เจ้าอยากไปหรือไม่”
พอซั่นเอ้อร์ได้ยินก็ลืมตาขึ้นมา ถามอย่างระมัดระวัง “ข้าไปได้หรือขอรับ”
หานเจวี๋ยเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “ย่อมได้แน่นอน พอไปร่วมชมจบค่อยกลับมาฝึกบำเพ็ญต่อ”
ซั่นเอ้อร์ตื่นเต้นดีใจ รีบคารวะขอบคุณหานเจวี๋ย
“เมื่อถึงเวลาเจ้าก็ติดตามไปกับเหล่าปฐมบรรพชนหญิงเถิด ช่วยดูแลปกป้องพวกนางด้วย”
“แน่นอนขอรับ!”
หานเจวี๋ยลุกขึ้นเดินออกจากอารามเต๋า ไปเยี่ยมเยือนบรรดาคู่บำเพ็ญ
สิงหงเสวียน ชิงหลวนเอ๋อร์ เซวียนฉิงจวิน เซียนซีเสวียนและฉางเยวี่ยเอ๋อร์ต่างก็ตั้งตารอคอยงานชุมนุมฟ้าบุพกาลยิ่งนัก ล้วนเตรียมตัวไปชมเรื่องครื้นเครงแล้ว หานเจวี๋ยก็มิได้ขัดขวางห้ามปราม
เมื่อถึงเวลาก็ส่งพวกนางไปยังอาณาเขตเต๋าแห่งที่สองก่อน แล้วค่อยให้ออกเดินทางไปพร้อมกับลี่เหยา อู้เต้าเจี้ยนรวมถึงเหล่าเทพมาร
ช่วงหลายล้านปีที่ผ่านมาลี่เหยาเก็บตัวยิ่งนัก แต่ทุกครั้งที่หานเจวี๋ยไปเยี่ยมนางกลับพบว่าตบะของนางมีพัฒนาการอย่างก้าวกระโดดอยู่ตลอด บรรลุถึงระดับยอดมหามรรคระยะสมบูรณ์นานแล้ว ทว่ายังคงพากเพียรบำเพ็ญอยู่
เมื่อมีลี่เหยาและเหล่าเทพมารฟ้าบุพกาลอยู่ การบุกตะลุยไปทั่วฟ้าบุพกาลก็มิใช่เรื่องยากเย็นเลย
หลายวันต่อมา หานเจวี๋ยมายังอาณาเขตเต๋าแห่งที่สอง
พออู้เต้าเจี้ยนเห็นเขาปรากฏตัวขึ้นก็ดีใจยิ่งนัก โผเข้ามาหาทันที
ลี่เหยาก็ลืมตาขึ้นมาเช่นกัน มองเขาอยู่เงียบๆ
หานเจวี๋ยนั่งลง เริ่มพูดคุยกับพวกนาง หัวข้อสนทนาย่อมเกี่ยวข้องกับการฝึกบำเพ็ญ
หนึ่งชั่วยามต่อมา ทั้งสามคนเข้าสู่แบบจำลองการทดสอบ หานเจวี๋ยต่อสู้กับลี่เหยาและอู้เต้าเจี้ยน ทดสอบพลังของพวกนาง
สตรีทั้งสองล้วนเป็นเทพมารฟ้าบุพกาลทั้งคู่ ความห่างชั้นด้านคุณสมบัติย่อมไม่ต่างกันมาก เพียงแต่ลี่เหยาหนักแน่นเด็ดขาดกว่า ยามฝึกบำเพ็ญจิตใจไม่วอกแวก อู้เต้าเจี้ยนมีใจลอยไปบ้างเป็นครั้งคราว ดังนั้นช่วงเวลาในการบำเพ็ญจึงเทียบกับลี่เหยาไม่ได้
ช่วงเริ่มต่อสู้ หานเจวี๋ยไม่ได้โจมตีเลย แต่ปล่อยให้สตรีทั้งสองสำแดงพลังวิเศษสารพัดออกมาก่อน
หานเจวี๋ยสังเกตเห็นว่าวิถีของลี่เหยาเปลี่ยนแปลงไป แต่ก่อนเป็นวิถีแห่งกระบี่ ตอนนี้ก็ยังเป็นวิถีแห่งศาตราวุธอยู่ แต่มีศาตราวุธชนิดอื่นๆ เพิ่มเข้ามามากมาย แปลงสภาพพลังยอดมหามรรคเป็นศาสตราวุธ มีความเฉียบคมมากยิ่งขึ้น
ส่วนอู้เต้าเจี้ยน ยังคงใช้มรรคกระบี่อยู่
เวลาผ่านไปหนึ่งก้านธูป แบบจำลองการทดสอบสิ้นสุดลง สุดท้ายสตรีทั้งสองก็ยอมรับความพ่ายแพ้ ตั้งแต่เริ่มจนจบหานเจวี๋ยไม่ได้ลงมือเลย
ลี่เหยากล่าวอย่างสะท้อนใจ “ไม่ว่าข้าจะพากเพียรบำเพ็ญเช่นไร ก็ไม่สามารถร่นระดับความห่างชั้นจากท่านได้”
อู้เต้าเจี้ยนพยักหน้ารับ สายตาที่มองหานเจวี๋ยเปี่ยมด้วยความเคารพเลื่อมใส
หานเจวี๋ยเริ่มหารือกับลี่เหยาในเรื่องมรรควิถีของนาง
“ข้าให้ความสามารถกับวิถีแห่งสารพัดศาสตราวุธ แต่ความจริงคือมรรควิถีแห่งการควบคุม ข้าอยากควบคุมพลังทุกอย่างให้ได้ มรรควิถีแห่งข้าคือการควบคุม ท่านมีความคิดเห็นประการใด” ลี่เหยาถามอย่างจริงจัง
หานเจวี๋ยเอ่ยว่า “ใช้ได้เลย หากเป็นมรรควิถีแห่งการควบคุม สามารถย้อนทวนมรรควิถีได้ ย้อนคืนยึดร่างได้ อาศัยสารพัดศาสตราก่อค่ายกลได้ เคลื่อนฟ้าปลิดตะวันสยบเอกภพได้”
ทั้งสองเริ่มสนทนาธรรมกัน อู้เต้าเจี้ยนคอยฟังอยู่ด้านข้างอย่างเอาจริงเอาจัง
สนทนาธรรมกันนานหนึ่งพันปี จากนั้นก็อยู่ร่วมกันอีกหลายสิบปี หานเจวี๋ยถึงได้กลับไปยังอาณาเขตเต๋าแห่งที่สาม
เขานั่งลงบนแท่นบัวดำล้างโลกสามสิบหกวัฏจักร เริ่มสอดส่องฟ้าบุพกาล
เป้าหมายแรกคืออวี้ยวน ปัจจุบันนี้อวี้ยวนเข้าร่วมวังจักรพรรดิมหาโชคอย่างเต็มรูปแบบ ทั้งยังออกศึกสร้างชื่อเสียงด้วย ได้เลื่อนตำแหน่งอย่างรวดเร็ว
ส่วนชื่อเสียงของวังจักรพรรดิมหาโชคโด่งดังเลื่องลือ มีผู้แข็งแกร่งอันดับหนึ่งแห่งฟ้าบุพกาลอย่างหานฮวงเข้าร่วมด้วย ผู้นำกลุ่มอิทธิพลอื่นจะไม่หวาดหวั่นได้อย่างไร
มองจากปัจจุบันนี้ วังจักรพรรดิมหาโชคเรืองอำนาจขึ้นอย่างฉุดไม่อยู่ รอจนกระทั่งยุคสมัยไร้สิ้นสุดมาถึง จะต้องแย่งชิงดวงชะตายิ่งใหญ่มาได้แน่นอน
หานเจวี๋ยทอดสายตาสอดส่องกลุ่มอิทธิพลมิ่งต่อ
กลุ่มอิทธิพลมิ่งย้ายไปอยู่บริเวณชายขอบฟ้าบุพกาลแล้ว มีการขยายอำนาจออกไปอย่างต่อเนื่อง ทว่าระยะนี้ไม่ได้สร้างปัญหาวุ่นวายใหญ่โตขึ้น ดูเก็บตัวอย่างยิ่ง
หานเจวี๋ยพบว่าหวงจุนเทียนหายตัวไป
สอดส่องทั่วฟ้าบุพกาลแล้วก็ยังไม่พบกลิ่นอายของหวงจุนเทียน แต่เมื่อเขาเรียกหน้าต่างค่าสถานะของสหายออกมาตรวจสอบ รูปประจำตัวของหวงจุนเทียนยังคงอยู่
หานเจวี๋ยไม่ได้กังวลใจสักเท่าไร ความไว้วางใจที่เขามีต่อหวงจุนเทียนมากกว่าที่มีให้หานฮวงเสียอีก ความสามารถในการเอาชีวิตรอดของคนผู้นี้แข็งแกร่งมาก เขาสอดส่องดูหลี่เต้าคงต่อ
ปัจจุบันนี้หลี่เต้าคงเป็นผู้กำหนดชะตาเคราะห์ที่แข็งแกร่งที่สุดในกลุ่มอิทธิพลมิ่ง และเป็นคนที่คอยควบคุมดูแลอยู่ในฉากหน้า เขามีการต่อสู้ตัดสินกับเหล่าจื่ออยู่หลายครั้ง ผลัดกันแพ้ผลัดกันชนะ ถือสิทธิ์ขาดในมรรคกระบี่ กลายเป็นตัวตนบนจุดสูงสุดที่เหล่าผู้บำเพ็ญกระบี่นับไม่ถ้วนต้องแหงนหน้ามอง
ส่วนสือตู๋เต๋าและจิ่งเทียนกงยังคงอยู่ในกลุ่มอิทธิพลมิ่ง ในฐานะสาวกของเจ้าแดนต้องห้ามอันธการ พวกเขาระมัดระวังตัวมาก อาจเป็นเพราะเจ้าแดนต้องห้ามอันธการไม่ปรากฏตัวขึ้นนานมากแล้ว ทำให้พวกเขาขาดความมั่นใจ
จากนั้นก็สอดส่องมรรคาสวรรค์ต่อ มรรคาสวรรค์เข้าสู่สภาวะคอขวดแล้ว หากอ้างอิงจากอาณาเขตที่อยู่ใต้การปกครองของนักพรตเต๋าเสินเผาก็นับว่าเป็นราชันแห่งอาณาเขตนี้แล้ว อาณาเขตรอบข้างล้วนเป็นกลุ่มอิทธิพลเหนือชั้นทั้งสิ้น ทำให้มรรคาสวรรค์ไม่กล้าขยายตัวออกไปอีก นักพรตเต๋าเสินเผากำชับเอาไว้ว่าหากมรรคาสวรรค์ขยายตัวข้ามอาณาเขตออกไปจะเผชิญกับการปิดล้อมโจมตีจากดวงจิตมหามรรคเอาได้ จอมอริยะเสวียนตูจึงจำเป็นต้องหยุดมือ
สำหรับมรรคาสวรรค์ หานเจวี๋ยรู้สึกว่าเท่านี้ก็เพียงพอแล้ว หากไม่มีเขามรรคาสวรรค์ไหนเลยจะมีวันนี้ได้ มรรคาสวรรค์สมควรประมาณตนได้แล้ว อีกอย่างมรรคาสวรรค์ก็มิใช่โลกมหามรรคของเขา เขาย่อมไม่ใช้อำนาจเกื้อหนุนผลักดันมรรคาสวรรค์อีก
จนถึงตอนนี้หานเจวี๋ยก็ยังไม่ทราบว่าสรุปแล้วมรรคาสวรรค์เป็นโลกมหามรรคของผานกู่หรือว่าบรรพชนเต๋ากันแน่
ผานกู่ฟื้นคืนชีพแล้ว แยกตัวออกไปจากมรรคาสวรรค์คล้ายจะตัดขาดจากมรรคาสวรรค์แล้ว ไม่เคยไปมาหาสู่ด้วยเลย ยิ่งเป็นเช่นนี้หานเจวี๋ยก็ยิ่งรู้สึกว่ามีความไม่ชอบมาพากล
หลังจากสอดส่องฟ้าบุพกาลและมรรคาสวรรค์เสร็จ หานเจวี๋ยก็สอดส่องโลกปฐมยุคที่อยู่ในดินแดนเวิ้งว้าง
ยามนี้ ภายในโลกปฐมยุคกำลังเกิดมหาสงครามขึ้น มีเทพมารฟ้าบุพกาลหลายร้อยตนเข้าร่วม ท่ามกลางบรรดานั้นปรากฏเงาร่างของเผ่าเทพปฐมยุคและเผ่าเอกาด้วยเช่นกัน คล้ายกำลังแย่งชิงอำนาจปกครองโลกปฐมยุคอยู่
หานเจวี๋ยเริ่มรับชมการต่อสู้ แต่ไม่คิดจะสอดมือเข้ายุ่ง
เทพมารชีวิตที่ถือกำเนิดขึ้นเป็นตนแรกติดต่อเป็นพันธมิตรกับเผ่าเอกามานานแล้ว ด้วยการชี้นำจากหานเจวี๋ย บทสรุปของการต่อสู้นี้มีเพียงพวกเขาที่จะเป็นฝ่ายได้ชัย ถ้าหากว่าไม่ปล่อยให้เกิดการต่อสู้ขึ้น เกรงว่าเทพมารตนอื่นคงไม่ยอมสยบเช่นกัน ดังนั้นหานเจวี๋ยจึงปล่อยให้พวกเขาเริ่มต่อสู้กันไป
ต่อให้มีเทพมารฟ้าบุพกาลดับสูญไป หานเจวี๋ยก็สามารถใช้เจตจำนงสร้างเทพมารฟ้าบุพกาลขึ้นมาใหม่ได้
เทพมารฟ้าบุพกาลในโลกปฐมยุคเกิดความเปลี่ยนแปลงขึ้นมากโข สักวันหนึ่งพวกเขาจะเกิดวิวัฒนาการขึ้น มิใช่เทพมารฟ้าบุพกาลอีกต่อไปแต่จะกลายเป็นเทพมารปฐมยุค
แน่นอนว่าหากนำเทพมารปฐมยุคอย่างพวกเขาเหล่านี้มาเปรียบเทียบกับหานเจวี๋ยที่มีคุณสมบัติกายเลิศมรรคาปฐมยุคแล้วก็ยังคงห่างชั้นกันมากนัก เทียบได้กับทายาทรุ่นหลังของคุณสมบัติกายเลิศมรรคาปฐมยุคเท่านั้น
………………………………………………………………