ระบบสุ่มดวงชะตา ข้าจะเป็นอมตะ – บทที่ 1067 ผู้สร้างมรรคาร่วมมือกัน

ระบบสุ่มดวงชะตา ข้าจะเป็นอมตะ

บทที่ 1067 ผู้สร้างมรรคาร่วมมือกัน

“มาที่ดินแดนเวิ้งว้างเถอะ ข้าจะพาเจ้าไปยังที่แห่งหนึ่ง”

มหาเทวาผลาญนภาไร้สิ้นสูญมองหานเจวี๋ยอยู่พักหนึ่งแล้วถึงเอ่ยออกมา

หานเจวี๋ยถามด้วยความระแวง “ไปไหน”

“มาถึงก็จะรู้เอง!”

พอเอ่ยประโยคนี้จบ มหาเทวาผลาญนภาไร้สิ้นสูญก็บังคับสลายแดนความฝันลง

หานเจวี๋ยลืมตาขึ้น ถามในใจ ‘ไปพบมหาเทวาผลาญนภาไร้สิ้นสูญครั้งนี้จะมีอันตรายหรือไม่’

[จำเป็นต้องหักอายุขัยสองแสนล้านล้านปี จะดำเนินการต่อหรือไม่]

ดำเนินการต่อ!

[ไม่มี]

หานเจวี๋ยโล่งใจ ในเมื่อไม่มีแผนร้ายก็แล้วไป

อันที่จริงเขาก็ไม่ได้นึกกลัวเลย ต่อให้ถูกขังไว้เขาก็มีวิธีหลบหนีออกมา กฎเกณฑ์เหนือธรรมชาติของเขาถูกแบ่งแยกออกเป็นจำนวนนับไม่ถ้วนมานานแล้ว ต่อให้สิ้นสังขารไปก็สามารถคืนชีพได้ทุกเมื่อ

หากว่ากันในอีกมุมหนึ่งคือผู้สร้างมรรคาเป็นอมตะนั่นเอง

หานเจวี๋ยพลันเคลื่อนกายมุ่งสู่ดินแดนเวิ้งว้างทันที

ไม่นานนักเขาก็ถูกพลังของมหาเทวาผลาญนภาไร้สิ้นสูญเข้าโอบล้อม เขาไม่ได้ขัดขืนปล่อยให้มหาเทวาผลาญนภาไร้สิ้นสูญพาตัวไป

หานเจวี๋ยตาลายไปครู่เดียว จากนั้นก็มาโผล่ในห้วงมิติมืดมิดลึกลับแห่งหนึ่ง

เขาแผ่เจตจำนงออกไป พบว่าห้วงมิตินี้ไร้ขอบเขต ใหญ่ยิ่งกว่าฟ้าบุพกาลเสียอีก ไม่มีกลิ่นอายชีวิตใดเลย เป็นห้วงอวกาศเวิ้งว้าง

กลิ่นอายแกร่งกล้าทรงพลังแผ่คลุมเข้ามาทีละสายๆ เป็นมหาเทวาผลาญนภาไร้สิ้นสูญ เจ้าอวิชชาฟ้าบุพกาลและมหาเทวาพ้นนิวรณ์

นี่คือ…

หานเจวี๋ยสงสัยอยู่ในใจ คงไม่ได้จะมาปิดล้อมโจมตีเขากระมัง เพราะถึงสังหารเขาไปเช่นนี้ก็ฆ่าไม่ตายอยู่ดี ผู้สร้างมรรคาไม่มีทางโง่เง่าเช่นนี้แน่นอน

เจ้าอวิชชาฟ้าบุพกาลกล่าวว่า “สหายเต๋าหาน เจ้าพากเพียรบำเพ็ญโดยแท้ พวกเราไปเข้าฝัน เจ้าล้วนไม่แยแสเลย”

หานเจวี๋ยตอบว่า “เพราะข้าไตร่ตรองดูแล้วว่าไม่เคยล่วงเกินทุกท่านไว้ ดังนั้นจึงไม่ได้กังวลอันใด ทุ่มสมาธิไปกับการฝึกบำเพ็ญ”

มหาเทวาพ้นนิวรณ์กล่าวว่า “ช่วงนี้เกิดมรสุมขึ้นในฟ้าบุพกาลมากมาย มีมารร้ายถือกำเนิด พวกเรามารวมตัวกันเพราะเรื่องนี้ ตอนนี้โลกมหามรรคของแต่ละคนล้วนเชื่อมผสานกับฟ้าบุพกาลแล้ว หากเกิดความเปลี่ยนแปลงขึ้นกับฟ้าบุพกาลพวกเราล้วนจะได้รับผลกระทบไปด้วย”

ที่แท้ก็เป็นเรื่องนี้

หานเจวี๋ยขมวดคิ้วเอ่ยไปว่า “ก่อนหน้านี้ข้าก็สัมผัสได้เช่นกัน นึกว่าเป็นสัญญาณเตือนแห่งมหาเคราะห์มรรคายิ่งใหญ่จึงไม่ได้สนใจ หรือจะมาจากสาเหตุอื่น”

เจ้าอวิชชาฟ้าบุพกาลบอกเล่าข้อสันนิษฐานของพวกเขาออกมา สีหน้าหานเจวี๋ยไม่น่ามองขึ้นมาแล้ว

“เช่นนี้จะทำอย่างไรดี…”

หานเจวี๋ยเคร่งเครียด ราวกับนึกถึงเหตุการณ์สิ้นหวังบางอย่างขึ้นมา สีหน้าจึงหมองคล้ำลงยิ่งกว่าเดิม

มหาเทวาพ้นนิวรณ์เอ่ยว่า “ตอนนี้พวกเราจำเป็นต้องร่วมมือกัน เตรียมการแต่เนิ่นๆ เพื่อปกป้องโลกมหามรรคของพวกเราไว้”

มหาเทวาผลาญนภาไร้สิ้นสูญมองไปที่หานเจวี๋ย เอ่ยขึ้นว่า “ถึงแม้โลกมหามรรคของเจ้าจะยังไม่เข้าใกล้ฟ้าบุพกาล แต่นั่นคือเรื่องที่จะเกิดขึ้นในอีกไม่ช้าก็เร็ว ดังนั้นพวกเรามาร่วมมือกันเถอะ หารือกันที่นี่ไม่มีทางถูกตัวตนนั้นพบเห็น”

หานเจวี๋ยถามในใจ ‘เจ้านวฟ้าบุพกาลไม่รู้จักโลกนี้จริงๆ หรือ’

[จำเป็นต้องหักอายุขัยร้อยล้านล้านล้านปี จะดำเนินการต่อหรือไม่]

ดำเนินการต่อ!

[ไม่รู้]

เช่นนั้นก็ดี!

หานเจวี๋ยมองผู้สร้างมรรคาทั้งสาม ถามไปว่า “เช่นนั้นจะเตรียมการเช่นใด”

เจ้าอวิชชาฟ้าบุพกาลกล่าวว่า “พวกเราจะสร้างร่างแยกขึ้นแล้วออกไปเผยแพร่มรรควิถี ยกระดับพลังของโลกมหามรรคแต่ละแห่งเพื่อสกัดต้านมารร้ายฟ้าบุพกาล”

แค่นี้หรือ

หานเจวี๋ยขมวดคิ้ว

“พวกเราไม่อาจเข้าแทรกแซงฟ้าบุพกาลอย่างซึ่งๆ หน้าได้ เช่นนั้นจะทำให้เขารู้ตัว จำนวนมารร้ายฟ้าบุพกาลจะเพิ่มมากขึ้นไปอีก ต้องปกป้องสรรพสิ่งของพวกเราให้ดีถึงจะเตรียมการขั้นต่อไปได้” เจ้าอวิชชาฟ้าบุพกาลเอ่ย

หานเจวี๋ยทำได้เพียงพยักหน้ารับ

มหาเทวาผลาญนภาไร้สิ้นสูญกล่าวว่า “หลังจากนี้หากมีเรื่องใดให้เจ้ามาด้วยตัวเอง ข้ามอบสิทธิ์เข้าถึงมิตินี้ให้เจ้าแล้ว ห้ามแพร่งพรายต่อภายนอก”

หานเจวี๋ยเอ่ยว่า “ข้ารู้หลักการดี”

เหล่าผู้สร้างมรรคาสนทนากันอยู่สักพักก็แยกย้ายกันไป

หานเจวี๋ยกลับมายังอาณาเขตเต๋าแห่งที่สาม เริ่มคิดทบทวน

เมื่อครู่เหล่าผู้สร้างมรรคาเอ่ยถึงเจ้าแดนต้องห้ามอันธการ ล้วนนึกพุ่งเป้าความสงสัยไปที่จอมเทวาวินาศลับเลือนพิสุทธิ์ เพราะเขาคือผู้สร้างมรรคาที่ลึกลับที่สุด

หานเจวี๋ยกำลังคิดว่าหลังจากนี้จะนำเจ้าแดนต้องห้ามอันธการมาใช้การอย่างไรดี

เป้าหมายของเขามีเพียงอย่างเดียวคือชะลอความก้าวหน้าของเจ้านวฟ้าบุพกาล ให้ตนชิงพิสูจน์เทพผู้สร้างได้ก่อน

เขาไม่มีทางช่วยเหล่าผู้สร้างมรรคาโค่นล้มเจ้านวฟ้าบุพกาล เนื่องจากเขาก็ไม่ได้มีความประทับใจในเหล่าผู้สร้างมรรคาเช่นกัน

จะจัดการเช่นไรก็ต้องใคร่ครวญถึงความสมดุล

ในเวลานี้เอง หานจงเต้าหัวหน้ากลุ่มเก้าเทวดาราลืมตาขึ้นมา เอ่ยถามเสียงเบาหวิว “ท่านปฐมบรรพชน มีเรื่องใดที่กังวลอยู่หรือไม่ขอรับ พวกเรายินดีช่วยแบ่งเบาความกลัดกลุ้มของท่านปฐมบรรพชน”

เมื่อเขาเอ่ยออกมาเช่นนี้ เชื้อสายคนอื่นๆ ก็พากันลืมตาขึ้นมา ซั่นเอ้อร์เองก็เช่นกัน

หานเจวี๋ยยิ้มออกมา เอ่ยไปว่า “ไม่มีอะไร เพียงแต่มีมารร้ายปรากฏตัวในฟ้าบุพกาลมากขึ้นเรื่อยๆ ทว่าทำนายถึงต้นตอไม่ได้ แต่ตอนนี้ก็ยังไม่เป็นภัยคุกคามต่อฟ้าบุพกาล พวกเจ้าตั้งใจฝึกบำเพ็ญไปเถิด หากอยากทำงานรับใช้ข้าอย่างน้อยพวกเจ้าก็ต้องบรรลุยอดมหามรรคระยะสมบูรณ์ก่อน”

ยอดมหามรรคระยะสมบูรณ์!

สีหน้าเก้าเทวาดาราแปรเปลี่ยนในทันใด ซั่นเอ้อร์เองก็เช่นกัน

ระดับยอดมหามรรคระยะสมบูรณ์นับเป็นจุดสูงสุดของเส้นทางบำเพ็ญแล้ว ไม่น่าเชื่อเลยว่าจะต้องบรรลุจุดสูงสุดก่อนถึงจะช่วยงานท่านปฐมบรรพชนได้

เช่นนี้น่าพรั่นพรึงเกินไปแล้วกระมัง!

แต่ก่อนพวกเขาล้วนเป็นมนุษย์ธรรมดา พอนึกถึงว่าหลังจากนี้ไม่รู้ต้องปิดด่านไปอีกนานแค่ไหน พวกเขาก็ลนลานขึ้นมาแล้ว

หานเจวี๋ยมองความคิดของพวกเขาออก ทว่าไม่ได้เอ่ยปลอบใจ เรื่องเช่นนี้จำเป็นต้องอดทนไว้

ในเวลานี้เอง มีเสียงแว่วมาจากนอกประตู

“อาจารย์ ศิษย์มาขอเข้าพบขอรับ”

ซูฉี!

เขาไปที่เขตเซียนร้อยคีรีก่อน ไปหาร่างแยกของหานเจวี๋ย จากนั้นก็ถูกเคลื่อนย้ายมาที่อาณาเขตเต๋าแห่งที่สามต่อ

หานเจวี๋ยให้ความรักเมตตาซูฉีเป็นอย่างยิ่ง ดังนั้นร่างแยกของเขาจึงให้ความเอ็นดูมากเช่นกัน ไม่สอบถามเขาว่ามีเรื่องใดก็เคลื่อนย้ายคนเข้ามาแล้ว

แน่นอนว่าก่อนจะส่งตัวมา ร่างแยกได้ตรวจสอบซูฉีดูแล้วว่าบนร่างไม่มีร่องรอยของพลังอื่นใด

หานเจวี๋ยเอ่ยขึ้นว่า “เข้ามาเถอะ”

ประตูอารามเต๋าเปิดอออก ซูฉีเดินเข้ามาทันที

อดีตดาวตัวซวยได้กลายเป็นหนึ่งในอริยะที่มีฐานะสูงส่งที่สุดในมรรคาสวรรค์แล้ว บุคลิกเหนือสามัญ ดูไม่ออกเลยว่าเคยเป็นดาวนำเคราะห์มาก่อน

เก้าเทวดาราและซั่นเอ้อร์พากันมองไปที่ซูฉี แววตาเต็มไปด้วยความอยากรู้อยากเห็น

เมื่อซูฉีเห็นพวกเขาก็ผงะไปเล็กน้อย ไม่คิดเลยว่าในอารามเต๋าจะมีคนมากมายขนาดนี้

ซูฉีเดินเข้าไปคุกเข่าคารวะเบื้องหน้าหานเจวี๋ย ท่าทางนอบน้อม

หานเจวี๋ยถามด้วยรอยยิ้ม “มีเรื่องใดหรือ”

ซูฉีมองไปรอบๆ

“พูดมาได้เลย พวกเขาล้วนเป็นเชื้อสายของข้าทั้งสิ้น ในช่วงหลายร้อยล้านปีนี้ไม่มีทางได้ออกไปไหน ไม่จำเป็นต้องกังวลกับการที่พวกเขาจะทราบความด้วย” หานเจวี๋ยเอ่ยด้วยรอยยิ้ม

เก้าเทวดารายิ้มขื่นขม ซูฉีก็มีสีหน้ายิ้มไม่ได้ร้องไห้ไม่ออกเช่นกัน หลายร้อยล้านปีเชียวหรือ เช่นนั้นจะน่าเบื่อมากเพียงใดกัน

ซูฉีสูดหายใจลึกๆ เฮือกหนึ่ง เอ่ยไปว่า “อาจารย์ ศิษย์ไม่อยากอยู่ที่มรรคาสวรรค์แล้วขอรับ ศิษย์อยากกลับมาฝึกบำเพ็ญอยู่รับใช้ท่าน หากท่านมีภารกิจใดก็มอบหมายให้ศิษย์ได้ อีกอย่างชีวิตในมรรคาสวรรค์ก็สงบปลอดภัยเกินไป สงบสุขจนทำให้ศิษย์ถูกชนรุ่นหลังมากมายแซงหน้าไปแล้ว”

ระดับที่แข็งแกร่งที่สุดในมรรคาสวรรค์คืออริยะมหามรรค บุตรแห่งสวรรค์ที่บรรลุถึงยอดมหามรรคอย่างพวกจ้าวซวงเฉวียน ชิงเทียนเสวียนจีและฉินหลิงล้วนออกจากมรรคาสวรรค์ไปแล้ว ไปก่อตั้งกลุ่มอิทธิพลของตนขึ้นด้านนอก

ยามนี้มรรคาสวรรค์บรรลุขีดจำกัดแล้ว ไม่ว่าจะด้านกำลังหรืออำนาจก็ล้วนไม่สามารถเพิ่มมากไปกว่านี้ได้

หานเจวี๋ยมองซูฉี เอ่ยตอบว่า “เช่นนั้นเจ้าก็อยู่ที่นี่ไปก่อนเถิด ฝึกบำเพ็ญอยู่ที่นี่”

พอสิ้นเสียงเขา พื้นที่ภายในอารามเต๋าพลันขยายใหญ่ขึ้น รองรับพวกเขาทั้งสิบสองคนแล้วก็ยังดูกว้างใหญ่มากอย่างเห็นได้ชัด

ซูฉีรีบคำนับขอบคุณ

หานเจวี๋ยเริ่มเทศนาธรรมแก่พวกเขา ถือโอกาสทดสอบความเข้าใจของซูฉีที่มีต่อมรรควิถี ณ ปัจจุบันนี้ ดูว่าทักษะความเข้าใจหยาบกระด้างไปแล้วหรือไม่

………………………………………………………………

ระบบสุ่มดวงชะตา ข้าจะเป็นอมตะ

ระบบสุ่มดวงชะตา ข้าจะเป็นอมตะ

Status: Ongoing
ชาติก่อนอายุสั้น ไม่ทันได้ใช้ชีวิต ชาตินี้จึงขอพากเพียรบำเพ็ญเซียน ลาภยศสตรีมีหรือจะสู้การเป็นอมตะ!

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท