บทที่ 1096 เริ่มปรากฏ
“ข้าจะเป็นคู่ต่อสู้ให้เจ้าเอง!”
จี้เซียนเสินชูกระบี่ขึ้นมา ขวางอยู่ตรงหน้าเหล่าจื่อ ความหยิ่งทะนงพวยพุ่งล้นฟ้า
เหล่าจื่อยกแส้ปัดธุลีขึ้น ลูบเคราพลางเอ่ยด้วยสีหน้าเรียบเฉย “เจ้าเดินทางข้ามเวลาฉกฉวยดวงชะตาหลงเดินทางผิด ยังเลอะเลือนไม่รู้จักกลับตัวอีก”
จี้เซียนเสินเคยเดินทางข้ามเวลาไปท้าสู้เหล่าจื่อ ด้วยตบะระดับเหล่าจื่อย่อมรับรู้ได้ถึงขั้นที่ตอบโต้กลับได้ด้วย หากมิใช่เพราะเห็นแก่หน้าหานเจวี๋ยเขาคงข้ามเวลาไปสังหารจี้เซียนเสินแล้ว
จี้เซียนเสินเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “มหามรรคมีหลากหลาย มีเส้นทางอนาคตต่างกันไป เข้ามาเถอะ”
เหล่าจื่อก็ไม่พูดไร้สาระอีกต่อไป ทั้งสองกลายร่างเป็นแสงกระบี่สองสายพุ่งขึ้นไปต่อสู้อยู่เหนือฟ้าบุพกาล พุ่งขึ้นอยู่จุดสูงสุดเหนือฟ้าบุพกาล เปิดฉากต่อสู้
หากมองในแง่จำนวนยอดมหามรรค ฟ้าบุพกาลมีมากกว่าแต่ยอดมหามรรคของอนธการล้วนแข็งแกร่งยิ่ง เช่นเดียวกับเต้าจื้อจุ้น จ้าวเซวียนหยวน เจียงอี้และมู่หรงฉี่ตลอดจนเหล่าศิษย์สำนักซ่อนเร้นที่ล้วนเคยพิสูจน์ตนในงานชุมนุมฟ้าบุพกาลแล้ว
ไม่ใช่เพียงเท่านี้ เมื่อศึกดุเดือดเริ่มเปิดฉากขึ้นก็มียอดมหามรรคเข้าร่วมมากขึ้นเรื่อยๆ
ภายในหมื่นโลกาฉายชัด
สุนัขสวรรค์ฮุ่นตุ้นปรากฏตัวขึ้นพลางเอ่ยว่า “เริ่มลุยกันแล้ว! รีบเคลื่อนย้ายไปเสริมกำลังด่วน!”
พอเอ่ยจบ เงาร่างหลายสิบร่างที่เฝ้ารออยู่ในหมื่นโลกาฉายชัดก็พากันลุกขึ้นมา พวกเขาล้วนเป็นเทพมารฟ้าบุพกาลในอาณาเขตเต๋าแห่งที่สอง
กวนปู้ไป้หัวเราะเสียงดังเอ่ยไปว่า “ในที่สุดก็มาแล้ว! ไป! มหาเคราะห์มรรคายิ่งใหญ่ครานี้ สำนักซ่อนเร้นต้องได้ทุกสิ่งมาครอง!”
เทพมารฟ้าบุพกาลตนอื่นๆ ก็หัวเราะเสียงดังขึ้นมา
สุนัขสวรรค์ฮุ่นตุ้นเอ่ยเร่ง “เลิกวางท่าได้แล้ว รีบไปเถอะ!”
เทพมารฟ้าบุพกาลหลายสิบตนเคลื่อนย้ายไปปรากฏตัวข้างกายมู่หรงฉี่ทันที
ในเวลาเดียวกันนี้
ท่ามกลางฟ้าบุพกาล เหล่ายอดมหามรรคของฝั่งอนธการต่างนำกองทหารมารอนธการและสิ่งมีชีวิตอนธการมุ่งหน้าไปในทิศทางที่ต่างกัน โลกที่อยู่ระหว่างทางถูกพวกเขาถล่มทำลายล้าง สิ่งมีชีวิตทั้งหมดที่พบพานล้วนร่างสิ้นวิญญาณสลาย
ความสิ้นหวังและหวาดกลัวครอบงำไปทั่วฟ้าบุพกาล
หานฮวงยังคงไม่ปรากฏตัว
ภายในอาณาเขตอวิชชา เงาร่างสายหนึ่งพุ่งฝ่าออกมาจากพื้นก้นบึ้งฟ้าบุพกาล พาเงาร่างนับไม่ถ้วนปรากฏตัวขึ้นมา เงาร่างนี้แผ่รัศมีเทพเลิศล้ำ รัศมีพลังสะท้านสะเทือนอย่างไม่เคยปรากฏมาก่อน ดูราวกับเทพสงครามที่ก้าวออกมาจากปลายทางแห่งโชคชะตา สวมเกราะทองที่สว่างเจิดจ้ามีลวดลายอักขระมหามรรค เสมือนมีเงาร่างนับไม่ถ้วนนั่งสมาธิอยู่สดับมรรคอยู่
“ฮึ่ม หานฮวง อย่าได้กำแหงนักเลย คิดจริงๆ น่ะหรือว่าตนเลิศล้ำไร้พ่ายแล้ว”
เงาร่างเกราะทองแค่นเสียงเย็นชา น้ำเสียงที่ทรงอำนาจเช่นเดียวกันก้องดังไปทั่วฟ้าบุพกาล
อีกด้านหนึ่ง ทะเลโลหิตไร้สิ้นสุดเอ่อนองขึ้นในโลกผลาญนภา กวาดพัดไปทั่วห้วงอวกาศ คืบคลานเข้าครอบคลุมสนามรบอันวุ่นวาย บุรุษคนหนึ่งปรากฏตัวขึ้นจากทะเลโลหิต ร่างเปล่าเปลือย ร่างกายส่วนล่างราวกับหยาดโลหิตเสมือนเชื่อมเป็นหนึ่งเดียวกับทะเลโลหิต ผมยาวสยายพัดปลิวว่อน ดวงหน้าเย็นชาคมคายเปี่ยมด้วยเจตนาต่อสู้ บนหน้าผากมีดวงตาสองข้างที่คล้ายกับผลึกโลหิตงอกออกมา แฝงแสงทมิฬไว้เลือนราง
“เทพมารอนธการอย่างนั้นหรือ ข้าก็อยากจะพบบ้างเหมือนกัน”
ชายสี่ตาที่อยู่ท่ามกลางทะเลโลหิตพึมพำกับตัวเอง แววตาเปี่ยมเจตนาสังหาร
ความเร็วในการเคลื่อนที่ของทะเลโลหิตรวดเร็วขึ้นเรื่อยๆ ซ้ำยังเห็นได้รางๆ ว่ากำลังขยายตัวอย่างต่อเนื่อง
ณ อาณาเขตพ้นนิวรณ์
กองทัพใหญ่ของวังจักรพรรดิกำลังเคลื่อนขบวนอยู่ในห้องอวกาศ นำทัพด้วยหานเย่ หานเหยาและหานป้าเสินสามแม่ทัพใหญ่ที่เดินอยู่ด้านหน้าสุด จักรพรรดิเทพและจักรพรรดิเซียนด้านหลังมีมากนับไม่ถ้วน ยังมีอาวุธวิเศษ สัตว์วิญญาณตลอดจนสัตว์ร้ายที่ใหญ่โตงามสง่าทรงพลังอีกมากมายเหาะล่องลอย
หานเหยาเอ่ยด้วยความสะท้อนใจ “กลิ่นอายนี้แรงกล้าโดยแท้ ไม่คิดเลยว่าในฟ้าบุพกาลจะมียอดมหามรรคซุกซ่อนอยู่มากมายปานนี้”
หานป้าเสินเอ่ยว่า “แม้ยอดมารร้ายฟ้าบุพกาลก็จะกวาดล้างสรรพสิ่ง แต่ไม่ได้ส่งผลเสียหายต่อเหล่าผู้ทรงพลัง อีกทั้งมีบุตรแห่งสวรรค์ผงาดขึ้นมาอย่างต่อเนื่อง”
หานเย่จ้องมองไปด้านหน้า
หานเหยาสังเกตเห็นแววตาของเขาจึงเอ่ยเย้า “น้องชาย พอถึงเวลาเจ้าคงจะไม่แปรพักตร์กระมัง”
หานเย่เคยต่อสู้เคียงบ่าเคียงไหล่หานฮวง อีกอย่างทั้งสองก็มีนิสัยคล้ายคลึงกันจึงมักจะสนทนาธรรมกันอยู่บ่อยๆ หานเย่คือคนที่ทนรับเรื่องการทรยศของหานฮวงไม่ได้เป็นที่สุด
“ฮึ่ม จะเป็นไปได้อย่างไร! ข้าอยากจะเอาชนะเขาให้ได้มาตลอด!”
หานเย่แค่นเสียง คร้านจะสนใจหานเหยาอีก
ในขณะนั้น มีกลุ่มอิทธิพลจากโลกมหามรรคต่างๆ มุ่งหน้ามาร่วมศึกไม่ขาดสาย คิดจะสยบกองกำลังอนธการ
ก่อนที่ศึกนี้จะปรากฏขึ้น ห้วงมิติบริเวณชายขอบฟ้าบุพกาลก็เริ่มแตกร้าวออกมาแล้ว
….
ณ โลกอนธการดึกดำบรรพ์ ปราณสีม่วงล่องลอยดั่งหมอกควัน
หวงจุนเทียนนั่งขัดสมาธิมีโรงกระดูกสุมอยู่รอบกาย ก่อตัวเป็นวงล้อม
หากว่ากันตามจริงแล้ว เขาคือสื่อหยวนหงเหมิง
เขายึดครองกายเนื้อของหวงจุนเทียนแล้วสะกดอีกฝ่ายไว้ในส่วนลึกของวิญญาณตน
สื่อหยวนหงเหมิงลืมตาขึ้น แววตาลุกโชน พึมพำว่า “หานฮวง ดูเหมือนเจ้าจะเป็นเทพมารอนธการตัวจริง ที่แท้สาเหตุที่ข้าล้มเหลวก็เป็นเพราะเจ้า”
เขาชูมือขวาขึ้นมา เงาร่างวิญญาณของหวงจุนเทียนปรากฏขึ้นกลางฝ่ามือ
“เจ้าลองพูดมาว่าในมหาเคราะห์มรรคายิ่งใหญ่ครั้งนี้ พวกเราสมควรดำเนินการอย่างไรดี”
สื่อหยวนหงเหมิงก้มมองหวงจุนเทียนแล้วเอ่ยถาม
หวงจุนเทียนเงยหน้ามองเขา แค่นเสียงเอ่ยไปว่า “ความเห็นของข้าสำคัญหรือไร”
“จู่ๆ ข้าก็คิดจะสนับสนุนหานฮวงขึ้นมา”
“ไอ๊หยา เจ้ารู้ความดียิ่ง เทพมารอนธการสองตนร่วมมือกัน บุกเบิกยุคสมัยไร้สิ้นสุด เช่นนั้นมีอนธการสองแห่งปรากฏขึ้นก็สมเหตุสมผลแล้ว หากว่าเจ้าเป็นศัตรูกับหานฮวง เมื่อหานฮวงตายไป เจ้าจะต้านรับกองกำลังฟ้าบุพกาลที่มุ่งมาล้างผลาญหานฮวงได้หรือ”
หวงจุนเทียนเอ่ยเย้ยหยัน สื่อหยวนหงเหมิงเมินเฉยต่อความเจ้าอารมณ์ของเขาไป พยักหน้ารับอย่างเห็นด้วย
“ศึกเทพมารอนธการจะไม่เกิดขึ้นในตอนนี้ แต่จะเกิดขึ้นในยุคสมัยไร้สิ้นสุด ในเมื่อเป็นเช่นนี้พวกเราก็ร่วมฝ่าเคราะห์ไปกับหานฮวงเถอะ”
“จะลงมือยามใด”
“รอต่อไปก่อน รอจนหานฮวงนำพาความสิ้นหวังครั้งแรกมาให้ฟ้าบุพกาลแล้ว พวกเราค่อยสร้างความสิ้นหวังครั้งที่สองให้ฟ้าบุพกาล”
“หรือว่าในฟ้าบุพกาลยังเหลือพลังที่สามารถพลิกผันสถานการณ์ได้อีก”
“อย่าได้ดูแคลนฟ้าบุพกาลไป ในหมู่ยอดมหามรรคจะต้องมีตัวตนลึกลับที่คอยชักใยเรื่องทุกอย่างแน่นอน เจ้าลองย้อนคิดดูให้ดีน่าจะรับรู้ได้”
หวงจุนเทียนเงียบไป จมอยู่ในห้วงความคิด
ทันใดนั้นสื่อหยวนหงเหมิงยิ้มแล้วเอ่ยขึ้นว่า “ละครสนุกๆ กำลังจะเริ่มขึ้นแล้ว”
จอแสงฉากหนึ่งปรากฏขึ้นเบื้องหน้าเขา ในจอฉายภาพศึกใหญ่แห่งฟ้าบุพกาล
หวงจุนเทียนเพ่งมอง ขุนพลศักดิ์สิทธิ์หลายหมื่นตนปรากฏขึ้นเหนือมหามรรคสามพันวิถี เทียบได้กับอริยะมหามรรคชั้นแนวหน้าหลายหมื่นคน!
เทียบกับตอนที่เผชิญหน้ากับอริยะสวรรค์เกรียงไกรในครั้งอดีตแล้ว ขุนพลศักดิ์สิทธิ์แข็งแกร่งขึ้นมากนัก
ผู้ที่เรียกตัวขุนพลศักดิ์สิทธิ์มาย่อมเป็นเทพมหาทัณฑ์
เทพมหาทัณฑ์นำกำลังดวงจิตมหามรรคอาวุโสหลายสิบคนมุ่งหน้ามาพลิกกระแสการต่อสู้ ข่มอนธการไว้
….
ภายในอาณาเขตเต๋าแห่งที่สาม
หานเจวี๋ยก็กำลังชมการต่อสู้อยู่เช่นกัน
แต่มหาเคราะห์มรรคายิ่งใหญ่ครั้งนี้เพิ่งเปิดฉากขึ้น คาดว่าคงจะดำเนินต่อไปอีกยาวนานยิ่ง
หลังจากมองอยู่พักหนึ่ง หานเจวี๋ยก็หมดความสนใจ
การฝึกบำเพ็ญสำคัญกว่า
เขาต้องรีบฝ่าทะลวงสู่เทพผู้สร้างให้ได้ในเร็ววัน
เขาทอดมองไปในดินแดนเวิ้งว้าง
โลกมหามรรคเลือนพิสุทธิ์เข้าใกล้โลกปฐมยุคมาเรื่อยๆ จอมเทวาวินาศลับเลือนพิสุทธิ์ก็มิได้ขัดขวาง เห็นได้ชัดว่าเตรียมพร้อมสังเวยโลกมหามรรคเพื่อเติมเต็มแก่เขาแล้ว
เมื่อเป็นเช่นนี้ก็ยากจะปกปิดเรื่องที่จอมเทวาวินาศลับเลือนพิสุทธิ์หันมาเข้าร่วมกับหานเจวี๋ยเอาไว้ได้ แม้ว่าเหล่าผู้สร้างมรรคาจะคิดว่าเป็นเพราะหานเจวี๋ยใช้กำลังบังคับแต่ก็ทราบดีว่าทันทีที่โลกมหามรรคพิสุทธิ์ถูกกลืนกิน จอมเทวาวินาศลับเลือนพิสุทธิ์จะตกอยู่ในโอวาทของหานเจวี๋ย
หานเจวี๋ยยิ้มออกแล้วหลับตาลง
อีกด้านหนึ่ง ภายในมิติลึกลับ มหาเทวาพ้นนิวรณ์พบกับจักรพรรดิสวรรค์ผู้ชั่วร้าย
“ข้าเตรียมจะช่วยเหลือหานฮวง”
มหาเทวาพ้นนิวรณ์เอ่ยขึ้นมา พอเอ่ยออกไปจักรพรรดิสวรรค์ผู้ชั่วร้ายตกใจมาก
“ท่าน…”
“ไม่จำเป็นต้องอธิบายอะไรให้มากความแล้ว นี่ก็เป็นความตั้งใจของเจ้าด้วยมิใช่หรือ”
“ขอบพระคุณผู้อาวุโส!”
จักรพรรดิสวรรค์ผู้ชั่วร้ายสูดหายใจลึกๆ เฮือกหนึ่ง ไม่ส่งเสียงอีก
ที่เขาเลือกสนับสนุนหานฮวงมิใช่เพียงเพราะสายใยไมตรีเท่านั้น แต่คิดจริงๆ ว่าหานฮวงมีโอกาสจะเอาชนะได้
………………………………………………………………