บทที่ 1100 ท่องดินแดนเวิ้งว้าง
ณ ตำหนักอนธการ ปราณสีม่วงแผ่ล่องลอย
หงจวินมองแผ่นหลังองอาจที่ยืนอยู่บนแท่นสูง เหม่อลอยไปพักหนึ่ง
“เจ้าต้องการสิ่งใด”
หานฮวงเอ่ยถามหงจวินทั้งที่หันหลังอยู่ น้ำเสียงเย็นชา
หงจวินเอ่ยว่า “เราปรารถนาจะให้เผ่ามนุษย์มรรคาสวรรค์ได้กลายเป็นเผ่าพันธุ์มรรคาสวรรค์กลุ่มแรกของโลกอนธการ”
เผ่าพันธุ์มรรคาสวรรค์คือตัวเอกแห่งมรรคาสวรรค์ ความหมายที่สื่อคือต้องการให้เผ่ามนุษย์มรรคาสวรรค์ได้กลายเป็นเผ่าดวงชะตาอันดับหนึ่งแห่งโลกอนธการที่ปกครองอยู่เหนือเผ่าพันธุ์ทั้งปวง
หานฮวงค่อยๆ หันกลับมา ทอดมองไปที่หงจวิน
ชาตินี้หงจวินมีลำดับอาวุโสเทียบเท่าหานฮวง หานฮวงรู้จักหลิวเป้ยอาจารย์ของเขา ดังนั้นจึงมีสายสัมพันธ์ในฐานะศิษย์ร่วมสาย มิเช่นนั้นคงไม่ยอมพบหงจวินด้วยตัวเอง
หงจวินเผชิญหน้าอย่างสงบ ปราศจากความกริ่งเกรง สีหน้าไม่หวั่นไหว
หานฮวงเอ่ยว่า “อนธการต้องการได้เห็นความจริงใจของเผ่ามนุษย์มรรคาสวรรค์ ทำลายล้างสำนักเลิศนพวิถีเสีย แล้วข้าจะยอมให้เผ่ามนุษย์มรรคาสวรรค์ได้เป็นเผ่าพันธุ์หลักของอนธการ ได้รับดวงชะตาในคราแรกไป”
สำนักเลิศนพวิถี…
สีหน้าหงจวินแปรเปลี่ยน เขาย่อมเคยได้ยินชื่อสำนักเลิศนพวิถีมาก่อน ผู้นำสำนักก็มาจากมรรคาสวรรค์เช่นกัน
หานฮวงจ้องตาหงจวิน ทรงอำนาจอย่างยิ่ง แรงกดดันนั้นแผ่พุ่งปะทะใบหน้า หากเปลี่ยนเป็นคนทั่วไปเกรงว่าคงยืนไม่มั่นคงเสียแล้ว
แต่หงจวินคือบรรพชนเต๋ากลับชาติมาเกิดจึงไม่ตื่นตระหนกเลย
เทพมารอนธการตนนี้แข็งแกร่งมากเพียงใดกันแน่
แรงกดดันนี้แข็งแกร่งกว่าตอนที่เขาเผชิญกับการโจมตีจากสรรพสิ่งฟ้าบุพกาลในสมัยก่อนด้วยซ้ำ ถึงขั้นที่เรียกได้เปลี่ยนไปเป็นคนละคนเลย
หงจวินรับรู้ได้ถึงแรงกดดัน แต่เขารู้ดีว่าไม่เหลือช่องให้ต่อรองอีกแล้ว
หานฮวงไม่เชื่อใจเขา
เขาถึงขั้นที่รับรู้ได้ถึงไอสังหารเสี้ยวหนึ่งที่แผ่อวลอยู่ในตำหนัก
ไอสังหารเสี้ยวนี้น่าหวาดกลัวอย่างยิ่ง ทำให้วิญญาณเขาสั่นสะท้าน
เห็นได้ชัดเจนยิ่งว่าหานฮวงรับรู้ถึงความทะเยอทะยานของเขาได้
หงจวินตอบว่า “ตกลง!”
หานฮวงเผยรอยยิ้มออกมา เอ่ยไปว่า “ดีมาก เช่นนั้นข้าจะรอฟังข่าวดีจากเผ่ามนุษย์มรรคาสวรรค์”
หงจวินประสานมือคำนับลา หันหลังจากไป
หานฮวงมองตามแผ่นหลังเขาไป ดวงตาแฝงเจตนาสังหาร
“เผ่ามนุษย์มรรคาสวรรค์อย่างนั้นหรือ ข้าก็อยากเห็นนักว่าพวกเจ้าจะคู่ควรหรือไม่!”
หานฮวงแค่นเสียง เปี่ยมความดูแคลน
ช่วงที่ผ่านมาเผ่ามนุษย์มรรคาสวรรค์ก็สมควรออกมาโลดแล่นสร้างชื่อได้แล้ว แต่กลับไม่ปรากฏออกมาเลย เผ่าพันธุ์นี้เพียงอวดอ้างว่ามีคุณสมบัติทัดเทียมเทพมารฟ้าบุพกาลเท่านั้น แต่ไม่เข้าร่วมเผ่าพันธุ์อื่นๆเลย จากมุมมองของคนนอกล้วนมองออกถึงความทะเยอทะยานที่พวกเขาเก็บซ่อนไว้
หานฮวงทอดสายตามองไปในส่วนลึกของฟ้าบุพกาล
กลิ่นอายทรงพลังแกร่งกล้าสี่ประการนั้นทำให้เขารู้สึกไม่สบายใจ
ก่อนหน้านี้ไม่เคยพบเจอมาก่อน เหตุใดจู่ๆ ถึงแผ่กลิ่นอายคุกคามเขาได้มากถึงเพียงนี้
จู่ๆ เขาก็รู้สึกว่าตนยังมองฟ้าบุพกาลไม่ออกอย่างแท้จริง
ที่แท้แล้วเหนือฟ้าบุพกาลขึ้นไปคือดินแดนเช่นไรกันแน่
มุมมองของท่านพ่อจะเป็นสถานการณ์เช่นใดกัน
ตัวตนลึกลับที่บุกเบิกฟ้าบุพกาลขึ้นยังมีชีวิตอยู่หรือไม่
ความสงสัยมากมายอัดแน่นอยู่ภายในใจของหานฮวง
“ท้ายที่สุดแล้วข้าก็ยังอ่อนแอเกินไป หากว่าข้าก้าวข้ามยอดมหามรรคขึ้นไปได้ ไปถึงระดับเดียวกับท่านพ่อ…”
แววตาหานฮวงวูบไหว ความทะเยอทะยานในใจกลายเป็นเปลวเพลิงที่ลุกโชนอยู่ในดวงตาเขา
สรรพสิ่งต่างคิดว่าเขาคือตัวตนที่แข็งแกร่งที่สุดแล้ว แต่ความปรารถนาที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในใจเขาคือการก้าวข้ามบิดาไปให้ได้
ก้าวข้ามบิดาไปให้ได้ก่อนจากนั้นค่อยมุ่งสู่ตำแหน่งสุดยอดผู้แข็งแกร่ง
….
เวลาดำเนินต่อไปเรื่อยๆ
หานเจวี๋ยจมจ่อมอยู่ในสภาวะฝึกบำเพ็ญอย่างสมบูรณ์ เขาถึงขั้นที่ลืมเลือนมหาเคราะห์มรรคายิ่งใหญ่ไปแล้ว จิตใจจดจ่ออยู่กับการฝึกบำเพ็ญ
ผู้สร้างมรรคาสรรค์สร้างทุกสิ่งได้ เป็นระดับสูงสุดที่ไร้ผู้อยู่เหนือกว่าแล้ว เป็นขีดจำกัดที่สรรพสิ่งสามารถนึกถึงได้ล่วงรู้ทุกสิ่ง อมตะมิวางวาย กาลเวลา บ่วงกรรมและดวงชะตาล้วนอยู่ในสายตาของผู้สร้างมรรคา
ส่วนเทพผู้สร้างเป็นระดับที่แข็งแกร่งยิ่งกว่านั้น
แต่สรุปแล้วจะแข็งแกร่งสักเพียงใด ตอนนี้หานเจวี๋ยยังไม่ล่วงรู้ นี่คือระดับที่ไม่เคยมีผู้ใดไปถึงมาก่อน
โลกปฐมยุคกัดกินดินแดนเวิ้งว้างอย่างบ้าคลั่ง ช่วงที่ขยายตัวออกไปอย่างต่อเนื่อง หานเจวี๋ยก็บรรลุความเข้าใจมหาศาล เขามองเห็นสรรพสิ่งมากมายยิ่ง ทั้งหมดมีต้นตอมาจากดินแดนเวิ้งว้าง
ดินแดนเวิ้งว้างดูเหมือนจะว่างเปล่า แต่ความจริงแล้วพรั่งพร้อมอย่างยิ่ง ผสานรวมกฎเกณฑ์ มหาโชคและดวงชะตาต่างๆ รวมตัวเป็นโครงสร้างพื้นฐาน ดูราวกับเป็นแก่นแท้อันลึกล้ำที่ดำเนินการควบคุมที่เหล่าผู้สร้างมรรคาล้วนมองไม่เห็น บุกเบิกได้ทุกสิ่งอย่าง
ถึงขั้นที่สามารถทำให้โลกปฐมยุคเข้าแทนที่ดินแด้งเวิ้งว้างได้ บรรลุถึงระดับที่ไร้ขอบเขตสิ้นสุด
ไร้ขอบเขตสิ้นสุดเป็นอย่างไรน่ะหรือ นั่นคือการที่ผู้สร้างมรรคาไม่มีทางไปถึงปลายทางอันเป็นจุดสิ้นสุดได้
นี่คือการท่องเที่ยวที่ทำให้หานเจวี๋ยดื่มด่ำหลงใหล
หานเจวี๋ยอดคิดไม่ได้ ดินแดนเวิ้งว้างจะมีจุดสิ้นสุดหรือไม่
แล้วดินแดนเวิ้งว้างถือกำเนิดขึ้นได้อย่างไร
ทุกเรื่องราวล้วนมีเหตุและผล แต่เหตุต้นกำเนิดแห่งการดำรงอยู่ทั้งหมดคือสิ่งใดเล่า
จิตรับรู้ของหานเจวี๋ยออกท่องไปในดินแดนเวิ้งว้างอย่างเสรี ในความเลื่อนลอยนั้นฟ้าบุพกาลแวบผ่านเข้ามาในสายตาเขา เป็นเพียงชั่วพริบตาเดียวเท่านั้น แต่ทุกสิ่งทุกอย่างที่เคยกำเนิดขึ้นในฟ้าบุพกาลนับแต่โบราณมารวมถึงวิวัฒนาการความเปลี่ยนแปลงทั้งหมดล้วนปรากฏต่อสายตาเขา
อนาคตเป็นสิ่งที่ไม่อาจควบคุมได้ ต่อให้มีตบะแข็งแกร่งเพียงใดก็ควบคุมได้เพียงอนาคตที่อ่อนด้อยกว่าตนเท่านั้น หากว่าหานเจวี๋ยบรรลุเทพผู้สร้าง ไม่ว่าจะเป็นอนาคตของตัวตนใดๆ ล้วนจะอยู่ในการควบคุมของเขา
ถึงแม้จะยังไม่ได้ครอบครองพลังเช่นนี้ แต่เพียงจินตนาการก็ทำให้หานเจวี๋ยหลงใหลเคลิบเคลิ้มแล้ว
นอกจากโครงสร้างพื้นฐานเหล่านั้น ภายในดินแดนเวิ้งว้างก็ไม่มีโลกและเผ่าพันธุ์อื่นๆ อยู่เลยจริงๆ โลกอนธการดึกดำบรรพ์และหวงจุนเทียนก็ผ่านเข้าสู่สายตาหานเจวี๋ยเช่นกัน นอกจากพวกเขาแล้วโลกอนธการดึกดำบรรพ์ปราศจากสิ่งมีชีวิตอื่น ไม่มีแม้แต่กฎเกณฑ์ พวกเขาเพียงพึ่งพาพลังที่เหลืออยู่ในโลกอนธการเพื่อเพิ่มความแข็งแกร่ง
ในเวลาเดียวกันนี้
ภายในโลกอนธการดึกดำบรรพ์
สื่อหยวนหงเหมิงลืมตาขึ้นมา ขมวดคิ้วแน่น
“เมื่อครู่รู้สึกหลอนไปเองอย่างนั้นหรือ”
เขานับนิ้วทำนายดู ทำนายไม่พบอะไรทิ้งสิ้น
ว่ากันตามหลักเหตุผลแล้ว ด้วยตบะระดับเขาไม่มีทางรู้สึกหลอนไปเองได้ แต่เขาดูดซับแรงกรรมอนธการไปมากเหลือเกิน ทำให้ปรากฏภาพหลอนขึ้นมาไม่น้อยจริงๆ
….
จิตรับรู้ของหานเจวี๋ยท่องอยู่ในดินแดนเวิ้งว้างไม่รู้นานเพียงใด ตัวเขาเองรู้สึกว่ายาวนานอย่างยิ่ง เขาประสบพบพานฉากเหตุการณ์มากมายเหลือเกิน เพียงพอจะรวมประสบการณ์ทั้งหมดของสรรพสิ่งในฟ้าบุพกาลนับแต่โบราณมาเอาไว้ด้วยกัน ถึงขั้นที่มากกว่าเป็นร้อยเท่า พันเท่าหรือมากกว่านั้น
หากเปลี่ยนเป็นอริยะมหามรรค เกรงว่าคงทนรับความทรงจำมากมายเช่นนี้ที่ถาโถมเข้ามาไม่ได้
หานเจวี๋ยพลันลืมตาขึ้นมา
เขาพบว่าตนปรากฏตัวขึ้นในดินแดนเวิ้งว้าง
รอบข้างว่างเปล่าไร้สรรพสิ่ง มองไม่เห็นแม้แต่โลกมหามรรค
หานเจวี๋ยก้มมองสองมือตน สัมผัสควบคุมกายเนื้อยังคงอยู่
แต่เขารับรู้ถึงโลกปฐมยุคไม่ได้ รับรู้ถึงฟ้าบุพกาลไม่ได้
สถานการณ์เช่นนี้ช่างแปลกประหลาดนัก
ราวกับในดินแดนเวิ้งว้างมีเพียงตัวเขา
หานเจวี๋ยพลันเพ่งสายตา ดินแดนเวิ้งว้างเกิดความเปลี่ยนแปลงขึ้นในทันใด สีสันหลากหลายปรากฏขึ้นในดินแดนเวิ้งว้าง ซ้ำยังเกิดคลื่นอากาศบิดเบี้ยวแตกต่างสารพัดขึ้น เสมือนฉากเหตุการณ์ตอนมหามรรคสามพันวิถีผสานก่อตัว
ยิ่งคลื่นอากาศเหล่านั้นบิดวนเร็วเท่าไรก็ทำดินแดนเวิ้งว้างแปรเปลี่ยนเป็นพร่างพราวลวงสายตา แม้แต่หานเจวี๋ยก็รู้สึกวิงเวียนตาลายขึ้นมาแล้ว
ไม่ได้วิงเวียนเพราะสิ่งที่เห็น แต่เป็นเพราะพลังอย่างหนึ่ง
กฎเกณฑ์พื้นฐานแห่งดินแดนเวิ้งว้าง!
อันสิ่งที่เรียกว่ากฎเกณฑ์พื้นฐานเป็นสิ่งที่หานเจวี๋ยใช้เรียกกระแสพลังหลักที่ขับเคลื่อนดินแดนเวิ้งว้าง แต่รายละเอียดเป็นเช่นไร เขาก็ไม่ทราบแน่ชัด แต่พลังนี้น่าพิศวงอย่างยิ่ง เพียงพอจะทำให้ผู้สร้างมรรคาวิงเวียนได้
ในเวลานี้เอง
เงาร่างหนึ่งปรากฏขึ้นเบื้องหน้าหานเจวี๋ย เป็นตัวเขาเอง
“หลังสำเร็จเป็นเทพผู้สร้าง เจ้าต้องการทำสิ่งใด” หานเจวี๋ยอีกคนหนึ่งจ้องตาเขาแล้วเอ่ยถาม
หานเจวี๋ยรับรู้ได้ว่านี่มิใช่ค่ายกลลวงตาของดินแดนเวิ้งว้าง แต่เป็นมรรคจิตของเขาที่ตั้งคำถามกับตัวเขาอยู่
เขากำลังเข้าใกล้ประตูบานนั้นที่ไม่เคยมีปรากฏขึ้นมาก่อนแล้ว!
แต่ก่อนหน้านั้นเขาจำเป็นต้องทำให้มรรคจิตของตนสะอาดผุดผ่อง เพื่อก้าวข้ามไปจากสรรพสิ่ง
………………………………………………………………