บทที่ 1108 หลานชายของหานเจวี๋ย
สื่อหยวนหงเหมิงไม่อาจสงบใจลงได้เลย เกิดความคิดไปสารพัด แต่มีเรื่องหนึ่งที่เขาทราบแน่ชัดแล้ว
คนที่อยู่เบื้องหน้านี้สามารถตัดสินความเป็นความตายของเขาได้ง่ายๆ!
เห็นกันอยู่ชัดๆ ว่าเขาแข็งแกร่งมากแล้ว ไม่เคยรู้สึกอ่อนแอไร้กำลังและหวาดผวาเช่นนี้มานานมากแล้ว พลังของทั้งสองฝ่ายห่างชั้นกันมากเหลือเกิน
สื่อหยวนหงเหมิงปรับจิตใจให้สงบลง คารวะหานเจวี๋นอย่างนอบน้อม
ไม่ว่าจะพูดกันอย่างไร หานเจวี๋ยก็นับว่ามีบุญคุณต่อเขา เขาคารวะเช่นนี้ก็สมควรแล้ว
หานเจวี๋ยเอ่ยว่า “ต่อไปพวกเจ้าอยากจะทำสิ่งใดก็ตามแต่ใจพวกเจ้าปรารถนา ข้าก็คาดหวังจะได้เห็นผลงานของพวกเจ้าเช่นกัน”
พูดจบเขาก็เลือนหายไปจากจุดเดิม
สื่อหยวนหงเหมิงตะลึงงันอยู่ที่เดิม เขาสบตากับหวงจุนเทียน ทั้งสองตกอยู่ในความเงียบ
มองเผินๆ แล้วราวกับทั้งสองคนเป็นภาพสะท้อนในกระจก
ผ่านไปเนิ่นนานยิ่ง
หวงจุนเทียนเอ่ยขึ้นว่า “เจ้าสามารถเปลี่ยนรูปลักษณ์ได้หรือไม่ ข้าไม่ถือสาที่จะต้องแบ่งร่างครึ่งหนึ่งกับเจ้า แต่ข้าถือสาหากเจ้าจะใช้รูปลักษณ์ของข้า”
สื่อหยวนหงเหมิงได้สติกลับมาในทันใด รีบเปลี่ยนรูปลักษณ์ทันที เปลี่ยนเป็นใบหน้าอื่น ทั้งสองดูคล้ายคู่พี่น้องไม่มีผิด ยังคงคล้ายคลึงกันอยู่หลายส่วน
หวงจุนเทียนยิ้มออกมาอย่างพอใจ เช่นนี้ก็ดีเหมือนกัน
หากว่าสื่อหยวนหงเหมิงดูแตกต่างจากเขาจนเกินไป แต่พวกเขามีสายเลือดเช่นเดียวกัน วันหน้าลูกหลานที่กำเนิดขึ้นมาจะไม่สับสนหรอกหรือ
มิสู้สวมบทบาทเป็นพี่น้องกันไปเลยดีกว่า วันหน้าก็เป็นครอบครัวเดียวกัน
สำหรับสื่อหยวนหงเหมิง ในใจเขาให้การยอมรับหวงจุนเทียนมานานแล้ว ที่ขัดแย้งกันก่อนหน้านี้ก็เพียงเพราะสื่อหยวนหงเหมิงยึดร่างเขา ทั้งสองต่อสู้แย่งชิงร่างเดียวกันเพราะไม่มีทางเลือก แต่ตอนนี้พวกเขาไม่ต้องแย่งกันอีกต่อไป
ดูเหมือนหวงจุนเทียนจะเสียเปรียบแต่หากไม่มีสื่อหยวนหงเหมิง หวงจุนเทียนก็มาไม่ถึงวันนี้เช่นกัน
“จากนี้เจ้าเตรียมจะทำอย่างไรต่อ”
หวงจุนเทียนเอ่ยถาม เขาก็กำลังใคร่ครวญถึงปัญหานี้เช่นกัน
สื่อหยวนหงเหมิงตอบว่า “พวกเราย่อมต้องร่วมมือกันให้การสนับสนุนหานฮวง สามเทพมารอนธการร่วมมือกันบุกเบิกยุคสมัยไร้สิ้นสุดขึ้น เช่นนี้ถึงจะเป็นเส้นทางที่ถูกต้อง พวกเรามีเพียงทางเลือกนี้เท่านั้น”
เมื่อได้ตระหนักถึงพลังของหานเจวี๋ย เขาก็รู้แล้วว่าตนไม่อาจเป็นศัตรูกับหานฮวงได้ เว้นแต่พวกเขาสองพ่อลูกจะแตกคอกันไป
เขาเฝ้าสังเกตการณ์ฟ้าบุพกาลมาตลอด เก้ามหาฟ้าบุพกาลปรากฏตัวขึ้นสำแดงพลังดุเดือด อนธการเริ่มส่อเค้าลางความพ่ายแพ้ บางทีนี่อาจจะเป็นสาเหตุที่หานเจวี๋ยช่วยเหลือเขา
ไม่มีโชคดีหล่นลงมาจากฟากฟ้า มีเหตุย่อมต้องมีผล
หวงจุนเทียนดั่งยกภูเขาออกจากอก เอ่ยด้วยรอยยิ้ม “พูดมีเหตุผล จะลงมือยามใด”
“ย่อมเป็นตอนที่หานฮวงต้านรับไม่ไหว ตอนนี้พวกเรามาปรับกายเนื้อให้มั่นคงก่อนเถิด จะได้ประลองเรียนรู้กันได้พอดี ขัดเกลาพลังในการต่อสู้”
“ตกลง!”
หวงจุนเทียนกระตือรือร้นอยากจะทดลอง พรสวรรค์ในการต่อสู้ของเขาไม่ได้เรื่องมาโดยตลอด อย่างน้อยก็สู้เหล่าบุตรแห่งสวรรค์ชั้นเลิศในระดับเดียวกันไม่ได้ ตอนนี้เขากลายเป็นเทพมารอนธการแล้ว บางทีในส่วนนี้อาจจะเปลี่ยนแปลงไปก็ได้
เมื่อมีพลังแกร่งกล้าผู้ใดบ้างจะอยากถ่อมตัว จะยอมประนีประนอมเพื่อเติมเต็มโดยไม่เข้าไปต่อสู้แก่งแย่งอำนาจเล่า
….
ในเขตศูนย์กลางฟ้าบุพกาล ห้วงอวกาศแตกแยก ซากศพนับไม่ถ้วนลอยเกลื่อนกลาด เงาร่างน่าหวาดหวั่นร่างหนึ่งคุดคู้อยู่ในห้วงอวกาศ ในปากขบเคี้ยวร่างสูงใหญ่นับหมื่นจั้งหลายหมื่นร่างดังกร้วมๆ เป็นอนธการสิ้นแสง
ร่างกายมันคล้ายงูเหลือม มีเก้าขา เป็นปราณม่วงอนธการทั้งร่าง รอยกายมีปราณอนธการพัวพันอยู่ มีดวงตาดุร้ายแดงฉานเก้าคู่ ลูกตาหมุนกลอกไปในทิศทางที่ต่างกัน แววตาเต็มไปด้วยความหิวกระหายและกระหายเลือด
ไกลออกไป
อริยะมหามรรคคนหนึ่งสั่นสะท้านไปทั้งกาย เขาถูกดวงตาข้างหนึ่งของอนธการสิ้นแสงจ้องสะกด ขยับเขยื้อนไม่ได้ หนาวสะท้านไปทั่วกาย
“นี่คือสัตว์ประหลาดอะไรกันแน่…”
อริยะมหามรรคเอ่ยเสียงสั่น เขามีชีวิตอยู่มาหลายพันล้านปีแล้ว เคยเผชิญคลื่นมรสุมมานับไม่ถ้วน ถึงขั้นที่เคยต่อกรกับอริยะสวรรค์เกรียงไกรก้วย แต่ไม่เคยพบตัวตนใดที่น่าหวาดกลัวถึงเพียงนี้มาก่อนเลย
อริยะสวรรค์เกรียงไกรแม้จะแข็งแกร่ง แต่ไม่มีทางทรมานศัตรูเล่น การจ้องมองของสัตว์ประหลาดตัวนี้แช่แข็งวิญญาณและพลังเวทของเขาได้ ทำให้เขาไม่อาจหลบหนีได้ ทำได้เพียงเฝ้ามองมันกัดกินเหล่าระดับเสรีและเบิกฟ้าหลายหมื่นคนที่อยู่ใต้สังกัดของเขา
เขาได้แต่หลั่งน้ำตาอยู่ในใจ นั่นคือรากฐานอำนาจของเขา
สิ่งที่ทำให้เขาหวาดกลัวที่สุดคือไม่รู้ว่าอนธการสิ้นแสงจะเข้ามากินเขาตอนไหน
เขาได้แต่ภาวนาขอให้มีผู้ทรงพลังฝั่งฟ้าบุพกาลออกมาช่วยเหลือเขา
แต่เช่นนั้นต้องเป็นผู้ที่มีตบะระดับใดกันเล่า
ตัวเขาเป็นอริยะมหามรรคแล้ว แม้แต่ยอดมหามรรคยังไม่อาจสะกดเขาด้วยสายตาได้เลย
เช่นนี้หมายความว่าอย่างไรน่ะหรือ
แปลว่าอนธการสิ้นแสงเหนือกว่ายอดมหามรรคไปแล้ว!
ในเวลานี้ ซากร่างทั้งหมดที่อยู่ในปากอนธการสิ้นแสงถูกกลืนลงไป จากนั้นก็ค่อยๆ ลอยเข้ามาทางเขา
เมื่ออยู่ต่อหน้าอนธการสิ้นแสง อริยะมหามรรคคนนี้ดูเล็กจ้อยอย่างเห็นได้ชัด
“ไม่…”
อริยะมหามรรคกรีดร้อง ในใจยังคงโอบกอดเสี้ยวความหวังไว้
ทว่าไม่มีผู้ทรงพลังมาเลย
อนธการสิ้นแสงเขมือบเขาเข้าไปในคำเดียว กลืนเข้าปากไปในชั่วพริบตา อริยะมหามรรคกลับสู่สภาพที่แท้จริง ร่างกายใหญ่โตมโหฬาร พอๆ กับเขาเทพปู้โจว คล้ายมารคล้ายปีศาจ นี่มิใช่ความประสงค์ของเขาแต่เป็นอนธการสิ้นแสงที่บังคับให้เขากลับสู่ร่างเดิม จากนั้นกายเนื้อของเขาก็ถูกกัดกิน ทำให้เขาตายไปอย่างทุกข์ทรมาน
เสียงเคี้ยวดังกร้วมๆ น่าสยดสยองแว่วสะท้อนอยู่ในห้วงอวกาศ มีเสียงดังกรุบๆ แว่วขึ้นเป็นครั้งคราวอีกทั้งมีเสียงคล้ายฟองน้ำผุดพรายปะปนกันไปในคราวเดียว น่าหวาดผวาอย่างยิ่ง
ไกลออกไป มีคนผู้หนึ่งกำลังเฝ้ามองฉากนี้อยู่
เป็นหานเจวี๋ยนั่นเอง
เขาลูบปลายคาง พึมพำว่า “มีสายเลือดเทพมารอนธการอยู่เล็กน้อย หรือว่าเจ้าสิ่งนี้…”
บุตรชายของเจ้าลูกตัวดีคนนั้นกระมัง
เขาเฝ้าสังเกตอย่างละเอียด ยิ่งมั่นใจมากขึ้น
อนธการสิ้นแสงคือบุตรชายของหานฮวง
สายเลือดของหานฮวงสูงส่งเกินไป เทพธิดาหมิงจี้ไม่อาจรองรับได้ เขาทำได้เพียงให้กำเนิดขึ้นมาเอง
ในฟ้าบุพกาลเรื่องเช่นนี้นับว่าปกติยิ่ง เผ่าพันธุ์ที่จำเป็นต้องให้ชายหญิงครองคู่สืบเผ่าพันธุ์ไม่นับว่าเป็นส่วนใหญ่ในฟ้าบุพกาล ผู้ทรงพลังส่วนใหญ่ล้วนชอบสร้างทายาทรุ่นหลังขึ้นเอง พยายามรักษาคุณสมบัติทางสายเลือดเอาไว้
อนธการสิ้นแสงดูเหมือนสัตว์ร้าย แต่ความจริงมีสติปัญญาของตัวเองอยู่ มันเหมือนเด็กน้อยวัยสามสี่ขวบที่ออกท่องไปในโลกที่มันสนใจใคร่รู้ สิ่งมีชีวิตที่ถูกมันกลืนกินเป็นเพียงมดปลวกในสายตาของมัน การที่กัดกินพวกเขาไปไม่ได้ทำให้มันรู้สึกผิดเลย อีกทั้งมันก็ไม่ได้สนใจมากนัก
เมื่อกลืนกินสรรพสิ่งเข้าไป อนธการสิ้นแสงจะค่อยๆ แข็งแกร่งขึ้น ประเด็นสำคัญคือมันย่างกรายไปที่ใดดวงชะตาล้วนจะถูกมันสูบกลืน เท่ากับทำลายล้างรากฐานของฟ้าบุพกาลอย่างต่อเนื่อง
ค่อนข้างน่าสนใจ
หานเจวี๋ยคิดเงียบๆ
กล่าวเช่นนี้คืออนธการสิ้นแสงเปรียบเสมือนหลานชายของเขา
หานเจวี๋ยหมุนตัวเล็กน้อย ร่างกายแปรเปลี่ยนเป็นมืดสลัว จากนั้นร่อนลงบนศีรษะอนธการสิ้นแสง
เขาจำแลงเป็นเจ้าแดนต้องห้ามอันธการ อนธการสิ้นแสงไม่รับรู้ถึงตัวตนของเขาเลย ยังคงมุ่งหน้าต่อไป
ความน่าหวาดหวั่นของอนธการสิ้นแสงเริ่มแพร่ไปทั่วฟ้าบุพกาล สำนักเลิศนพวิถีกำลังวางแผนเพื่อจัดการมันอยู่
หานเจวี๋ยรับรู้ได้ถึงจิตรับรู้ที่สอดส่องมาเป็นระยะ แต่ขณะนี้ไม่มีผู้ทรงพลังคนใดกล้าเข้าใกล้อนธการสิ้นแสง
โลกขนาดใหญ่แห่งหนึ่งปรากฏขึ้นเบื้องหน้า มีจักรวาลมากมายผสานรวมอยู่ มีสายธารดารานับร้อยล้านแห่ง หากมองจากมุมกว้างดูคล้ายก้อนแสงดวงหนึ่ง
อนธการสิ้นแสงอ้าปากสีแดงฉานกว้าง เขมือบโลกขนาดใหญ่เข้าไปในคำเดียว จากนั้นก็ออกแรงขบเคี้ยว
สิ่งมีชีวิตนับไม่ถ้วนถูกเขมือบเข้าไปในคำเดียว สำหรับเรื่องนี้หานเจวี๋ยไม่ได้เข้าไปแทรกแซง
ต่อให้เป็นสิ่งมีชีวิตสามัญที่ขึ้นชื่อว่ามีศีลธรรมก็ไม่มีทางถือโทษเด็กน้อยที่จุดไฟเผารังมด
หลายร้อยปีผ่านไป
ในที่สุดก็มีกลิ่นอายมหาศาลใกล้เข้ามา มุ่งหน้ามาปิดล้อมอนธการสิ้นแสง มียอดมหามรรคกว่ายี่สิบคน อริยะมหามรรคอีกนับร้อย ในบรรดานั้นมีกลิ่นอายที่หานเจวี๋ยคุ้นเคยดี
สือตู๋เต้า จิ่งเทียนกงและปรมาจารย์ลัญจกรสรวง มวลหมู่ผู้กำหนดชะตาเคราะห์!
หานเจวี๋ยยิ้มออกมา ได้โอกาสแสดงตัวให้พวกเขาเห็นเจ้าแดนต้องห้ามอันธการพอดี เติมเต็มความฝันของพวกเขา
………………………………………………………………
บทที่ 1108 หลานชายของหานเจวี๋ย
Ink Stone_Fantasy
สื่อหยวนหงเหมิงไม่อาจสงบใจลงได้เลย เกิดความคิดไปสารพัด แต่มีเรื่องหนึ่งที่เขาทราบแน่ชัดแล้ว
คนที่อยู่เบื้องหน้านี้สามารถตัดสินความเป็นความตายของเขาได้ง่ายๆ!
เห็นกันอยู่ชัดๆ ว่าเขาแข็งแกร่งมากแล้ว ไม่เคยรู้สึกอ่อนแอไร้กำลังและหวาดผวาเช่นนี้มานานมากแล้ว พลังของทั้งสองฝ่ายห่างชั้นกันมากเหลือเกิน
สื่อหยวนหงเหมิงปรับจิตใจให้สงบลง คารวะหานเจวี๋นอย่างนอบน้อม
ไม่ว่าจะพูดกันอย่างไร หานเจวี๋ยก็นับว่ามีบุญคุณต่อเขา เขาคารวะเช่นนี้ก็สมควรแล้ว
หานเจวี๋ยเอ่ยว่า “ต่อไปพวกเจ้าอยากจะทำสิ่งใดก็ตามแต่ใจพวกเจ้าปรารถนา ข้าก็คาดหวังจะได้เห็นผลงานของพวกเจ้าเช่นกัน”
พูดจบเขาก็เลือนหายไปจากจุดเดิม
สื่อหยวนหงเหมิงตะลึงงันอยู่ที่เดิม เขาสบตากับหวงจุนเทียน ทั้งสองตกอยู่ในความเงียบ
มองเผินๆ แล้วราวกับทั้งสองคนเป็นภาพสะท้อนในกระจก
ผ่านไปเนิ่นนานยิ่ง
หวงจุนเทียนเอ่ยขึ้นว่า “เจ้าสามารถเปลี่ยนรูปลักษณ์ได้หรือไม่ ข้าไม่ถือสาที่จะต้องแบ่งร่างครึ่งหนึ่งกับเจ้า แต่ข้าถือสาหากเจ้าจะใช้รูปลักษณ์ของข้า”
สื่อหยวนหงเหมิงได้สติกลับมาในทันใด รีบเปลี่ยนรูปลักษณ์ทันที เปลี่ยนเป็นใบหน้าอื่น ทั้งสองดูคล้ายคู่พี่น้องไม่มีผิด ยังคงคล้ายคลึงกันอยู่หลายส่วน
หวงจุนเทียนยิ้มออกมาอย่างพอใจ เช่นนี้ก็ดีเหมือนกัน
หากว่าสื่อหยวนหงเหมิงดูแตกต่างจากเขาจนเกินไป แต่พวกเขามีสายเลือดเช่นเดียวกัน วันหน้าลูกหลานที่กำเนิดขึ้นมาจะไม่สับสนหรอกหรือ
มิสู้สวมบทบาทเป็นพี่น้องกันไปเลยดีกว่า วันหน้าก็เป็นครอบครัวเดียวกัน
สำหรับสื่อหยวนหงเหมิง ในใจเขาให้การยอมรับหวงจุนเทียนมานานแล้ว ที่ขัดแย้งกันก่อนหน้านี้ก็เพียงเพราะสื่อหยวนหงเหมิงยึดร่างเขา ทั้งสองต่อสู้แย่งชิงร่างเดียวกันเพราะไม่มีทางเลือก แต่ตอนนี้พวกเขาไม่ต้องแย่งกันอีกต่อไป
ดูเหมือนหวงจุนเทียนจะเสียเปรียบแต่หากไม่มีสื่อหยวนหงเหมิง หวงจุนเทียนก็มาไม่ถึงวันนี้เช่นกัน
“จากนี้เจ้าเตรียมจะทำอย่างไรต่อ”
หวงจุนเทียนเอ่ยถาม เขาก็กำลังใคร่ครวญถึงปัญหานี้เช่นกัน
สื่อหยวนหงเหมิงตอบว่า “พวกเราย่อมต้องร่วมมือกันให้การสนับสนุนหานฮวง สามเทพมารอนธการร่วมมือกันบุกเบิกยุคสมัยไร้สิ้นสุดขึ้น เช่นนี้ถึงจะเป็นเส้นทางที่ถูกต้อง พวกเรามีเพียงทางเลือกนี้เท่านั้น”
เมื่อได้ตระหนักถึงพลังของหานเจวี๋ย เขาก็รู้แล้วว่าตนไม่อาจเป็นศัตรูกับหานฮวงได้ เว้นแต่พวกเขาสองพ่อลูกจะแตกคอกันไป
เขาเฝ้าสังเกตการณ์ฟ้าบุพกาลมาตลอด เก้ามหาฟ้าบุพกาลปรากฏตัวขึ้นสำแดงพลังดุเดือด อนธการเริ่มส่อเค้าลางความพ่ายแพ้ บางทีนี่อาจจะเป็นสาเหตุที่หานเจวี๋ยช่วยเหลือเขา
ไม่มีโชคดีหล่นลงมาจากฟากฟ้า มีเหตุย่อมต้องมีผล
หวงจุนเทียนดั่งยกภูเขาออกจากอก เอ่ยด้วยรอยยิ้ม “พูดมีเหตุผล จะลงมือยามใด”
“ย่อมเป็นตอนที่หานฮวงต้านรับไม่ไหว ตอนนี้พวกเรามาปรับกายเนื้อให้มั่นคงก่อนเถิด จะได้ประลองเรียนรู้กันได้พอดี ขัดเกลาพลังในการต่อสู้”
“ตกลง!”
หวงจุนเทียนกระตือรือร้นอยากจะทดลอง พรสวรรค์ในการต่อสู้ของเขาไม่ได้เรื่องมาโดยตลอด อย่างน้อยก็สู้เหล่าบุตรแห่งสวรรค์ชั้นเลิศในระดับเดียวกันไม่ได้ ตอนนี้เขากลายเป็นเทพมารอนธการแล้ว บางทีในส่วนนี้อาจจะเปลี่ยนแปลงไปก็ได้
เมื่อมีพลังแกร่งกล้าผู้ใดบ้างจะอยากถ่อมตัว จะยอมประนีประนอมเพื่อเติมเต็มโดยไม่เข้าไปต่อสู้แก่งแย่งอำนาจเล่า
….
ในเขตศูนย์กลางฟ้าบุพกาล ห้วงอวกาศแตกแยก ซากศพนับไม่ถ้วนลอยเกลื่อนกลาด เงาร่างน่าหวาดหวั่นร่างหนึ่งคุดคู้อยู่ในห้วงอวกาศ ในปากขบเคี้ยวร่างสูงใหญ่นับหมื่นจั้งหลายหมื่นร่างดังกร้วมๆ เป็นอนธการสิ้นแสง
ร่างกายมันคล้ายงูเหลือม มีเก้าขา เป็นปราณม่วงอนธการทั้งร่าง รอยกายมีปราณอนธการพัวพันอยู่ มีดวงตาดุร้ายแดงฉานเก้าคู่ ลูกตาหมุนกลอกไปในทิศทางที่ต่างกัน แววตาเต็มไปด้วยความหิวกระหายและกระหายเลือด
ไกลออกไป
อริยะมหามรรคคนหนึ่งสั่นสะท้านไปทั้งกาย เขาถูกดวงตาข้างหนึ่งของอนธการสิ้นแสงจ้องสะกด ขยับเขยื้อนไม่ได้ หนาวสะท้านไปทั่วกาย
“นี่คือสัตว์ประหลาดอะไรกันแน่…”
อริยะมหามรรคเอ่ยเสียงสั่น เขามีชีวิตอยู่มาหลายพันล้านปีแล้ว เคยเผชิญคลื่นมรสุมมานับไม่ถ้วน ถึงขั้นที่เคยต่อกรกับอริยะสวรรค์เกรียงไกรก้วย แต่ไม่เคยพบตัวตนใดที่น่าหวาดกลัวถึงเพียงนี้มาก่อนเลย
อริยะสวรรค์เกรียงไกรแม้จะแข็งแกร่ง แต่ไม่มีทางทรมานศัตรูเล่น การจ้องมองของสัตว์ประหลาดตัวนี้แช่แข็งวิญญาณและพลังเวทของเขาได้ ทำให้เขาไม่อาจหลบหนีได้ ทำได้เพียงเฝ้ามองมันกัดกินเหล่าระดับเสรีและเบิกฟ้าหลายหมื่นคนที่อยู่ใต้สังกัดของเขา
เขาได้แต่หลั่งน้ำตาอยู่ในใจ นั่นคือรากฐานอำนาจของเขา
สิ่งที่ทำให้เขาหวาดกลัวที่สุดคือไม่รู้ว่าอนธการสิ้นแสงจะเข้ามากินเขาตอนไหน
เขาได้แต่ภาวนาขอให้มีผู้ทรงพลังฝั่งฟ้าบุพกาลออกมาช่วยเหลือเขา
แต่เช่นนั้นต้องเป็นผู้ที่มีตบะระดับใดกันเล่า
ตัวเขาเป็นอริยะมหามรรคแล้ว แม้แต่ยอดมหามรรคยังไม่อาจสะกดเขาด้วยสายตาได้เลย
เช่นนี้หมายความว่าอย่างไรน่ะหรือ
แปลว่าอนธการสิ้นแสงเหนือกว่ายอดมหามรรคไปแล้ว!
ในเวลานี้ ซากร่างทั้งหมดที่อยู่ในปากอนธการสิ้นแสงถูกกลืนลงไป จากนั้นก็ค่อยๆ ลอยเข้ามาทางเขา
เมื่ออยู่ต่อหน้าอนธการสิ้นแสง อริยะมหามรรคคนนี้ดูเล็กจ้อยอย่างเห็นได้ชัด
“ไม่…”
อริยะมหามรรคกรีดร้อง ในใจยังคงโอบกอดเสี้ยวความหวังไว้
ทว่าไม่มีผู้ทรงพลังมาเลย
อนธการสิ้นแสงเขมือบเขาเข้าไปในคำเดียว กลืนเข้าปากไปในชั่วพริบตา อริยะมหามรรคกลับสู่สภาพที่แท้จริง ร่างกายใหญ่โตมโหฬาร พอๆ กับเขาเทพปู้โจว คล้ายมารคล้ายปีศาจ นี่มิใช่ความประสงค์ของเขาแต่เป็นอนธการสิ้นแสงที่บังคับให้เขากลับสู่ร่างเดิม จากนั้นกายเนื้อของเขาก็ถูกกัดกิน ทำให้เขาตายไปอย่างทุกข์ทรมาน
เสียงเคี้ยวดังกร้วมๆ น่าสยดสยองแว่วสะท้อนอยู่ในห้วงอวกาศ มีเสียงดังกรุบๆ แว่วขึ้นเป็นครั้งคราวอีกทั้งมีเสียงคล้ายฟองน้ำผุดพรายปะปนกันไปในคราวเดียว น่าหวาดผวาอย่างยิ่ง
ไกลออกไป มีคนผู้หนึ่งกำลังเฝ้ามองฉากนี้อยู่
เป็นหานเจวี๋ยนั่นเอง
เขาลูบปลายคาง พึมพำว่า “มีสายเลือดเทพมารอนธการอยู่เล็กน้อย หรือว่าเจ้าสิ่งนี้…”
บุตรชายของเจ้าลูกตัวดีคนนั้นกระมัง
เขาเฝ้าสังเกตอย่างละเอียด ยิ่งมั่นใจมากขึ้น
อนธการสิ้นแสงคือบุตรชายของหานฮวง
สายเลือดของหานฮวงสูงส่งเกินไป เทพธิดาหมิงจี้ไม่อาจรองรับได้ เขาทำได้เพียงให้กำเนิดขึ้นมาเอง
ในฟ้าบุพกาลเรื่องเช่นนี้นับว่าปกติยิ่ง เผ่าพันธุ์ที่จำเป็นต้องให้ชายหญิงครองคู่สืบเผ่าพันธุ์ไม่นับว่าเป็นส่วนใหญ่ในฟ้าบุพกาล ผู้ทรงพลังส่วนใหญ่ล้วนชอบสร้างทายาทรุ่นหลังขึ้นเอง พยายามรักษาคุณสมบัติทางสายเลือดเอาไว้
อนธการสิ้นแสงดูเหมือนสัตว์ร้าย แต่ความจริงมีสติปัญญาของตัวเองอยู่ มันเหมือนเด็กน้อยวัยสามสี่ขวบที่ออกท่องไปในโลกที่มันสนใจใคร่รู้ สิ่งมีชีวิตที่ถูกมันกลืนกินเป็นเพียงมดปลวกในสายตาของมัน การที่กัดกินพวกเขาไปไม่ได้ทำให้มันรู้สึกผิดเลย อีกทั้งมันก็ไม่ได้สนใจมากนัก
เมื่อกลืนกินสรรพสิ่งเข้าไป อนธการสิ้นแสงจะค่อยๆ แข็งแกร่งขึ้น ประเด็นสำคัญคือมันย่างกรายไปที่ใดดวงชะตาล้วนจะถูกมันสูบกลืน เท่ากับทำลายล้างรากฐานของฟ้าบุพกาลอย่างต่อเนื่อง
ค่อนข้างน่าสนใจ
หานเจวี๋ยคิดเงียบๆ
กล่าวเช่นนี้คืออนธการสิ้นแสงเปรียบเสมือนหลานชายของเขา
หานเจวี๋ยหมุนตัวเล็กน้อย ร่างกายแปรเปลี่ยนเป็นมืดสลัว จากนั้นร่อนลงบนศีรษะอนธการสิ้นแสง
เขาจำแลงเป็นเจ้าแดนต้องห้ามอันธการ อนธการสิ้นแสงไม่รับรู้ถึงตัวตนของเขาเลย ยังคงมุ่งหน้าต่อไป
ความน่าหวาดหวั่นของอนธการสิ้นแสงเริ่มแพร่ไปทั่วฟ้าบุพกาล สำนักเลิศนพวิถีกำลังวางแผนเพื่อจัดการมันอยู่
หานเจวี๋ยรับรู้ได้ถึงจิตรับรู้ที่สอดส่องมาเป็นระยะ แต่ขณะนี้ไม่มีผู้ทรงพลังคนใดกล้าเข้าใกล้อนธการสิ้นแสง
โลกขนาดใหญ่แห่งหนึ่งปรากฏขึ้นเบื้องหน้า มีจักรวาลมากมายผสานรวมอยู่ มีสายธารดารานับร้อยล้านแห่ง หากมองจากมุมกว้างดูคล้ายก้อนแสงดวงหนึ่ง
อนธการสิ้นแสงอ้าปากสีแดงฉานกว้าง เขมือบโลกขนาดใหญ่เข้าไปในคำเดียว จากนั้นก็ออกแรงขบเคี้ยว
สิ่งมีชีวิตนับไม่ถ้วนถูกเขมือบเข้าไปในคำเดียว สำหรับเรื่องนี้หานเจวี๋ยไม่ได้เข้าไปแทรกแซง
ต่อให้เป็นสิ่งมีชีวิตสามัญที่ขึ้นชื่อว่ามีศีลธรรมก็ไม่มีทางถือโทษเด็กน้อยที่จุดไฟเผารังมด
หลายร้อยปีผ่านไป
ในที่สุดก็มีกลิ่นอายมหาศาลใกล้เข้ามา มุ่งหน้ามาปิดล้อมอนธการสิ้นแสง มียอดมหามรรคกว่ายี่สิบคน อริยะมหามรรคอีกนับร้อย ในบรรดานั้นมีกลิ่นอายที่หานเจวี๋ยคุ้นเคยดี
สือตู๋เต้า จิ่งเทียนกงและปรมาจารย์ลัญจกรสรวง มวลหมู่ผู้กำหนดชะตาเคราะห์!
หานเจวี๋ยยิ้มออกมา ได้โอกาสแสดงตัวให้พวกเขาเห็นเจ้าแดนต้องห้ามอันธการพอดี เติมเต็มความฝันของพวกเขา
………………………………………………………………