บทที่ 1129 เรื่องทางโลก
“เช่นนั้นดียิ่ง ตายเสียก็จบแล้ว”
หานเจวี๋ยลูบหัวฉู่เสี่ยวชี เอ่ยด้วยรอยยิ้มเมตตา ทำเอาฉู่เสี่ยวชีตกใจเงยหน้าขึ้นทันที
ใบหน้าของเด็กน้อยคนนี้ไหนเลยจะมีคราบน้ำตาอยู่ ไม่ตั้งใจแสดงเลยสักนิด
ฉู่เสี่ยวชีเอ่ยอย่างคับข้องหมองใจ “หากข้าตายไป ผู้ใดจะปรนนิบัติกตัญญูต่อท่านเล่า ท่านชุบเลี้ยงข้ามานานขนาดนี้ ย่อมไม่มีทางปล่อยข้าตายไปง่ายๆ กระมัง”
“นั่นก็ไม่แน่หรอก ศิษย์ที่ข้าอบรมสั่งสอนมีอยู่นับไม่ถ้วน”
“หวา ท่านปู่ ท่านมีตบะระดับใดแล้วขอรับ เท่ากับท่านเจ้าสำนักของพวกเราหรือไร ไม่ถูกสิ ท่านซ่อนตัวอยู่ที่นี่ไม่มีผู้ใดรับรู้ได้เลย ตบะของท่านย่อมแข็งแกร่งกว่าเจ้าสำนักของพวกเราเป็นแน่”
“ตบะของข้าไม่เกี่ยวข้องกับเจ้า ตั้งใจฝึกบำเพ็ญให้ดีเถอะ ความแค้นนี้เดิมทีก็ไม่เกี่ยวข้องกับเจ้า ไยเจ้าต้องเอาตัวเข้าไปยุ่งเกี่ยวด้วย”
“ทำเช่นนั้นไม่ได้หรอกขอรับ คนเราเกิดมาก็ต้องกล้ารักกล้าชัง เขาทำร้ายศิษย์น้องข้าจนตาย ข้าจึงเกลียดชังเขา ข้าต้องสังหารเขาให้ได้!”
ฉู่เสี่ยวชีคับข้องกับความอยุติธรรม สีหน้าเหี้ยมเกรียมขึ้นมา เสี้ยวไอสังหารในแบบของอนธการสิ้นแสงปรากฏขึ้นแวบหนึ่งโดยไม่ตั้งใจ
หานเจวี๋ยเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “เช่นนั้นเจ้าก็สังหารไปสิ ไม่ต้องมาหาข้าหรอก”
“ข้าไม่ไหวหรอกขอรับ ท่านปู่ ถ่ายทอดเวทวิชาให้ข้าเถิด ตอนนี้ข้ายังสู้เขาไม่ได้!”
ฉู่เสี่ยวชีลุกขึ้น เริ่มนวดไหล่ทุบหลังให้หานเจวี๋ย สีหน้าเอาอกเอาใจ ไร้ยางอายอย่างยิ่ง
หานเจวี๋ยเพลิดเพลินอย่างยิ่ง เอ่ยด้วยรอยยิ้ม “เช่นนั้นข้าจะสอนพลังวิเศษอย่างหนึ่งให้เจ้า”
“พลังวิเศษหรือ”
ฉู่เสี่ยวชีตัวสั่น หลังจากกราบเข้าสำนักแล้ว เขาเคยได้ยินเรื่องพลังวิเศษมา นั่นคือสิ่งที่อยู่บนจารึกโบราณ เลิศล้ำกว่าเวทวิชา หากมิใช่เซียนก็ร่ำเรียนไม่ได้
หานเจวี๋ยเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “วิชานี้คือกระบี่ฟ้าสังหารเทพปีศาจ สังหารได้ในกระบี่เดียว สะท้านฟ้าสะเทือนดิน หากไม่อยู่ในสถานการณ์คับขันอย่าได้นำออกมาใช้”
กระบี่ฟ้าสังหารเทพปีศาจ!
ฉู่เสี่ยวชีเบิกตากว้างดั่งระฆัง เขาคุกเข่าลงทันที เริ่มโขกศีรษะให้ ขอบคุณการสั่งสอนของหานเจวี๋ย
หานเจวี๋ยสำแดงเขตอาคม ทำให้มิติภายในถ้ำขยายใหญ่ขึ้นร้อยลี้ ให้ฉู่เสี่ยวชีฝึกฝนพลังวิเศษได้สะดวก ฉู่เสี่ยวชีเห็นความสามารถนี้แล้วตกตะลึง ภาพลักษณ์ของหานเจวี๋ยที่อยู่ในใจเขายกระดับขึ้นอย่างไร้ขีดกำจัด
ดูเหมือนก่อนหน้านี้เขาจะประเมินท่านปู่ต่ำเกินไปมาก
คงมิใช่ว่าเป็นเซียนจริงๆ กระมัง!
หลายเดือนต่อมา ฉู่เสี่ยวชีฝึกบำเพ็ญจนลืมกินลืมนอน ในที่สุดก็เรียนรู้กระบี่ฟ้าสังหารเทพปีศาจได้ อานุภาพสะท้านฟ้าดินนั้นทำให้เขาระงับอารมณ์ไม่อยู่ เลือดลมพลุ่งพล่าน
หลังเรียนพลังวิเศษสำเร็จ ฉู่เสี่ยวชีจากไปด้วยความตื่นเต้น หานเจวี๋ยก็ฝึกบำเพ็ญต่อไป
ในช่วงที่อยู่ร่วมกับฉู่เสี่ยวชี หานเจวี๋ยรู้สึกว่าเวลาผ่านไปช้ายิ่ง เนิ่นนานกว่าช่วงเวลาร้อยล้านปีในอดีต แต่นี่ก็เป็นประสบการณ์กระมัง
หานเจวี๋ยดื่มด่ำกับชีวิตในตอนนี้มาก การต่อสู้ฆ่าฟันน้อยลง ใช้ชีวิตร่วมกับคนอื่นก็เป็นประสบการณ์อย่างหนึ่ง เป็นความเพลิดเพลินอย่างหนึ่ง
หลังจากเรียนรู้กระบี่ฟ้าสังหารเทพปีศาจไป ความเข้าใจในมรรคกระบี่ของฉู่เสี่ยวชีก็ก้าวหน้าขึ้นอย่างมหาศาล ภายในระยะเวลาสั้นๆ แค่ปีเดียว เขาเรียนรู้วิชากระบี่ที่ศิษย์สายในสามารถร่ำเรียนได้หมดแล้ว ทำให้เขามีชื่อเสียงโดดเด่นขึ้นมาอย่างกะทันหัน ถึงขั้นที่แม้แต่เจ้าสำนักก็เรียกพบเขาเป็นการส่วนตัว
ฉู่เสี่ยวชีก็ไม่ได้มุทะลุเช่นกัน ยามเผชิญหน้ากับอัจฉริยะคู่แค้นคนนั้นก็ไม่ได้ต่อปากต่อคำอีก เฝ้ารอโอกาสมาโดยตลอด
เขาไม่ได้ไปฟ้องร้องกับเจ้าสำนัก ภายในสำนักบำเพ็ญเกิดโศกนาฏกรรมขึ้นนับไม่ถ้วน หลักศีลธรรมในโลกมนุษย์สามัญไม่อาจนำมาใช้ได้ ขอเพียงไม่ทรยศต่อสำนัก ทางสำนักก็จะให้ความสำคัญกับตบะและคุณสมบัติก่อน
หานเจวี๋ยฝึกบำเพ็ญพลางสอดส่องฉู่เสี่ยวชีไปด้วย
ฉู่เสี่ยวชีมาเยี่ยมเยือนเขาเป็นระยะๆ ไม่ได้มาแค่ในเวลาที่ต้องการเขาเท่านั้น ซึ่งนอกจากเขาแล้วไม่มีผู้อื่นทราบถึงการมีตัวตนอยู่ของหานเจวี๋ยเลย
ฉู่เสี่ยวชีก็เคยสงสัยเช่นกัน ที่นี่หาพบยากมากจริงๆ น่ะหรือ
แต่ยิ่งการบำเพ็ญของเขาก้าวหน้าขึ้นเท่าไร เขาก็ยิ่งตระหนักได้ว่าอาจจะเป็นเพราะท่านปู่อนุญาตให้เขาหาพบได้เท่านั้น
สิบปีต่อมา ฉู่เสี่ยวชีสังหารอัจฉริยะคู่แค้นยามอยู่ด้านนอก เนื่องจากมีศิษย์ร่วมสำนักคนอื่นพบเห็นเข้า ดังนั้นจึงส่งข่าวกลับไปยังสำนักอย่างรวดเร็ว เจ้าสำนักโกรธเกรี้ยวนัก ออกคำสั่งตามไล่ล่าฉู่เสี่ยวชี ชั่วขณะนั้นฉู่เสี่ยวชีหลบหนีไปเรื่อย จนตรอกอย่างยิ่ง
เขาไม่มีโอกาสได้กลับไปหานหานเจวี๋ยเลยเพราะถูกตามไล่ล่าระหกระเหินไปทั่ว
ยังมีสตรีนางหนึ่งร่วมทางไปด้วย นางคือน้องสาวของศิษย์น้องฉู่เสี่ยวชี นามว่าถังหว่าน
ศิษย์น้องของฉู่เสี่ยวชีที่ถูกสังหารไปคือพี่ชายแท้ๆ ของถังหว่าน ฉู่เสี่ยวชีช่วยดูแลนางเป็นอย่างดี นางมีส่วนช่วยในแผนการล้างแค้นเป็นอย่างมากเพราะรับหน้าที่ล่อลวงอัจฉริยะผู้นั้น
ท่ามกลางขุนเขา ฉู่เสี่ยวชีขี่กระบี่เหาะเหิน ผมดำขลับปลิวสะบัด ตัวเขาในปัจจุบันนี้เติบโตเป็นหนุ่มแล้ว ผิวพรรณก็ขาวใสขึ้น หน้าตาหล่อเหลา แววตาคมกริบ มีมาดของเซียนกระบี่อย่างยิ่ง สตรีอ้อนแอ้นนางหนึ่งอยู่ด้านหลังเขา นางมีดวงหน้ารูปไข่ หน้าตาสวยหวานหยาดเยิ้ม เกาะเอวฉู่เสี่ยวชีไว้หลวมๆ
ถังหว่านเอียงหัวซบหลังฉู่เสี่ยวชี เอ่ยถามเสียงแผ่ว “พี่เสี่ยวชี พวกเราจะหนีไปถึงที่ใดกัน…”
พวกเรายังจะหนีไปไหนได้อีก…
ฉู่เสี่ยวชีเอ่ยตอบว่า “ข้าจะหาสถานที่ปลอดภัยให้เจ้าหลบภัยชั่วคราว จากนั้นค่อยไปหาผู้อาวุโสท่านหนึ่งของข้า เขาสามารถปกป้องพวกเราได้”
“เหตุใดถึงไม่ตรงไปหาเลยเล่า”
“เขายังอยู่ในสำนัก”
ถังหว่านเงียบไป นางนึกว่าผู้อาวุโสของฉู่เสี่ยวชีหมายถึงผู้อาวุโสในสำนัก
ผู้อาวุโสไหนเลยจะเหนือไปกว่าเจ้าสำนักได้
ในเวลานี้เอง ปราณกระบี่สายหนึ่งตัดข้ามทิวเขาเข้ามา พุ่งโจมตีจากระยะไกลนับหมื่นลี้
ฉู่เสี่ยวชีหันมองตามสัญชาตญาณ ปราณกระบี่สายนั้นเข้ามาใกล้อย่างยิ่ง เขาไม่มีทางหลบได้ทัน
ครืน…
ทั้งสองถูกปราณกระบี่โจมตี ร่วงหล่นลงสู่พื้นดิน
หากมิใช่เพราะฉู่เสี่ยวชีบังคับกระบี่หักเลี้ยวได้ทัน เกรงว่าทั้งสองคงร่างแหลกละเอียดไปในชั่วพริบตา
ฉู่เสี่ยวชีต้องการจะเข้าไปโอบร่างถังหว่านไว้ ผลคือยันต์อาคมแผ่นหนึ่งแปะลงบนร่างเขา สายฟ้าไหวแปลบปลาบ ทำให้เขาขยับเขยื้อนไม่ได้
เขาทำได้เพียงเบิกตามองถังหว่านร่วงหล่นสู่ผืนป่าเช่นนี้ ดวงตาเขาแดงก่ำขึ้นมาทันที
“สมควรตาย!”
จากนั้นฉู่เสี่ยวชีก็หล่นลงสู่หน้าผานอกป่า เขารู้สึกเหมือนร่างกายตนแทบแหลกเป็นเสี่ยง ร่วงหล่นลงมาจากระดับความสูงนับพันเมตรย่อมได้รับบาดเจ็บแน่นอน ต่อให้เป็นระดับรวมแก่นปราณก็ไม่อาจต้านไหว
เงาร่างหนึ่งค่อยๆ ร่อนลงมา ลอยอยู่เหนือศีรษะฉู่เสี่ยวชี
คนผู้นี้สวมเสื้อคลุมสีเขียว บนศีรษะครอบกวานหยก มือถือแส้ปัดธุลี มีคมกระบี่เผยออกมาจากในแส้ปัดธุลี
“ฉู่เสี่ยวชี เจ้าทำร้ายศิษย์ร่วมสำนัก สมควรตาย”
นักพรตเต๋าชุดเขียวเอ่ยด้วยสีหน้าไร้อารมณ์ มองฉู่เสี่ยวชีจากมุมสูง แววตาเย็นชาอย่างยิ่ง
ฉู่เสี่ยวชีคลานลุกขึ้นมาอย่างยากลำบาก เช็ดคราบเลือดที่มุมปาก ยันต์บนร่างสลายเป็นเถ้าปลิดปลิว
เขาแผ่พลังจิตออกค้นหาถังหว่านก่อน พบว่าถังหว่านร่วงอยู่ในพงหญ้าแห่งหนึ่ง มีเลือดท่วมร่าง มีกิ่งไม้ปักอยู่เต็มร่าง สภาพอนาถอย่างยิ่ง แน่นิ่งราวกับตายไปแล้ว
“เช่นนั้นเหตุใดเจ้าไม่สังหารข้าเล่า” ฉู่เสี่ยวชีถาม เขาพยายามควบคุมตัวเองอย่างใจเย็น
นักพรตเต๋าชุดเขียวหรี่ตาเอ่ยไปว่า “มอบวิชายุทธ์และพลังวิเศษของเจ้ามาแล้วข้าจะให้เจ้าได้ตายสบายหน่อย หากปล่อยให้เจ้าสำนักจับเจ้าได้ เจ้าจะไม่ได้รับแม้แต่ความตาย เขาจะดึงวิญญาณของเจ้าออกไป สังเวยโลหิตต่อของวิเศษ ทำให้เจ้าไม่ได้ไปผุดไปเกิดตลอดกาล”
ฉู่เสี่ยวชีแสยะยิ้ม “อยากเรียนหรือ ได้สิ ข้าจะสอนให้เจ้า”
นักรพรตเต๋าชุดเขียวร่อนลงมา เอ่ยว่า “ข้ามีตบะระดับปราณก่อกำเนิดแล้ว อย่าเล่นตุกติก ข้าจะช่วยชีวิตสตรีนางนั้นให้ก่อน แต่หากเจ้ากล้าหลอกข้า จุดจบของนางจะน่าอนาถยิ่งกว่าเจ้า”
ฉู่เสี่ยวชีเมินเฉยต่อวาจาเขา หันหลังเดินไปทางป่า จะไปดูอาการของถังหว่านก่อน
ในเวลานี้เอง บนหน้าผาแห่งหนึ่งที่อยู่ห่างออกไปร้อยลี้ หานเจวี๋ยยืนริมหน้าผา ทอดสายตามองฉากนี้อยู่ เขาไม่ได้ออกโรงช่วย นักพรตเต๋าชุดเขียวและฉู่เสี่ยวชีไม่รับรู้ถึงตัวตนของเขาเลย
………………………………………………………………