บทที่ 1131 มหาเทวาเข้าฝัน
“เขาตายแล้ว”
หานเจวี๋ยเอ่ยด้วยรอยยิ้ม ฉู่เสี่ยวชีได้ฟังก็เงยหน้าขึ้นมา มองเขาด้วยความตื่นเต้นยินดี
“ท่านปู่ ท่านสังหารเขาหรือขอรับ”
“ไม่ใช่ เป็นเจ้าต่างหาก ตอนที่ข้ามาถึงเขาก็ตายไปแล้ว น่าจะธาตุไฟเข้าแทรกจนเข้ารีตมาร ทั้งยังฝืนยึดครองร่างอีก ตายด้วยน้ำมือตนเสียแล้ว”
“ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้ เช่นนั้นก็นับว่าข้าสังหารเขาได้จริงๆ ฮ่าๆๆ เพราะแผนของข้าถึงทำให้เขาธาตุไฟเข้าแทรกจนเข้ารีตมาร”
หันมองถังหว่านที่กำลังเดินเข้ามาไม่ไกลนัก ก่อนเอ่ยด้วยรอยยิ้มภาคภูมิใจ “หว่านเอ๋อร์ ก่อนหน้านี้ข้าแสร้งเล่นละครทั้งสิ้น ตั้งใจทำให้เขาคลายความระแวง”
ถังหว่านพยักหน้าเอ่ยตอบ “เรื่องร้องไห้ข้าเชื่อ แต่เรื่องปัสสาวะน่าจะฝืนแสดงกันไม่ได้ ถึงอย่างไรข้าก็ทำไม่ได้แล้วคนหนึ่ง”
ฉู่เสี่ยวชีกระอักกระอ่วนไม่รู้ว่าควรจะโต้แย้งอย่างไร
ถังหว่านเป็นฝ่ายเดินเข้ามาหา คารวะต่อหานเจวี๋ย เอ่ยแนะนำตัว นางค่อนข้างประหม่า
หานเจวี๋ยยิ้มอย่างเมตตา แต่ด้วยรูปโฉมของเขาพอยิ้มขึ้นมากลับมิได้ดูเมตตา แต่กลับดูอ่อนโยน ถังหว่านมองแล้วหน้าแดง
ฉู่เสี่ยวชีเบิกตาเล็กน้อย ร้องว่า “แย่แล้ว ถังหว่าน เจ้าคงไม่ได้คิดอยากเป็นท่านย่าของข้ากระมัง เช่นนั้นใช้ไม่ได้เลย!”
“ท่านพล่ามเหลวไหลอะไรอยู่!”
ถังหว่านโมโห นางย่อมไม่ได้เกิดรักแรกพบกับหานเจวี๋ย แต่หานเจวี๋ยหล่อเหลาขนาดนี้ ซ้ำยังลึกลับทรงภูมิ นางไม่สามารถวางตัวผ่อนคลายสบายๆ ได้ก็เป็นเรื่องธรรมดา
หานเจวี๋ยเอ่ยอย่างไม่สบอารมณ์ “อย่าซี้ซั้วเรียกย่าไปเรื่อย ท่านย่าของเจ้าเพิ่งจากไปไม่นานนี้ ไม่แน่ว่าอาจจะแอบฟังอยู่ที่อื่นก็เป็นได้ ระวังนางจะมาจัดการเจ้าแล้วกัน”
ฉู่เสี่ยวชีได้ฟังก็รีบกระเด้งตัวขึ้นมา มองไปรอบๆ โขกศีรษะไปตามทิศทางต่างๆ
ถังหว่านอดกลอกตาไม่ได้ คนผู้นี้ตอนที่เอาจริงขึ้นมาดูสง่างามทรงภูมินัก แต่ยามปกติแล้วไม่เข้าทีเอาเสียเลย เหมือนตัวประหลาด
หานเจวี๋ยเอ่ยยิ้มๆ “เอาล่ะ เลิกทำตัวแปลกๆ เถิด พวกเจ้ารักษาตัวให้ดี ตอนนี้ละแวกนี้ไม่มีอันตรายแล้ว”
ฉู่เสี่ยวชีลุกขึ้น พยักหน้าด้วยความตื่นเต้น ความรู้สึกที่รอดชีวิตจากหายนะได้ช่างยอดเยี่ยมโดยแท้
ผ่ายไประยะหนึ่ง หานเจวี๋ยนั่งสมาธิอยู่ที่ริมแม่น้ำตลอด ส่วนถังหว่านกับฉู่เสี่ยวชีก็ฝึกบำเพ็ญอยู่ไม่ไกล ฝึกฝนประลองกันบ้างเป็นครั้งคราว
ถังหว่านสนใจใคร่รู้ในตัวหานเจวี๋ยมาก ตอนที่ทั้งสองออกไปหาสมุนไพรนางเคยสอบถามเรื่องหานเจวี๋ย หลังจากทราบถึงเรื่องราวที่ทั้งสองรู้จักพบพาน ถังหว่านก็คิดว่าหานเจวี๋ยจะต้องเป็นยอดฝีมือแน่นอน!
นักพรตเต๋าชุดเขียวคนนั้นต้องตายเพราะหานเจวี๋ยแน่ๆ!
แต่ฉู่เสี่ยวชีกลับไม่นึกถึงข้อนี้เลย คนผู้นี้หลงตัวเองเสียจริง
พริบตาเดียวก็ผ่านไปค่อนปีแล้ว
ฉู่เสี่ยวชีกังวลว่าทางสำนักจะมาโจมตีจึงเสนอให้หานเจวี๋ยย้ายสถานที่ ซึ่งหานเจวี๋ยไม่ได้คัดค้านอะไรในเรื่องนี้
สำหรับหานเจวี๋ยแล้วไม่ว่าที่ไหนก็เหมือนกัน อีกทั้งเขาก็คร้านแม้แต่จะเปลืองน้ำลายดูแคลนสำนักของฉู่เสี่ยวชี
ด้วยเหตุนี้ หานเจวี๋ยและฉู่เสี่ยวจึงมุ่งหน้าสู่ปลายขอบฟ้าอีกครั้งแต่ครานี้มีคนเพิ่มเข้ามาอีกคน
ฉู่เสี่ยวชีและถังหว่านขี่กระบี่เหาะเหิน หานเจวี๋ยขี่เมฆาเช่นที่ผ่านมา ความสามารถนี้ทำให้ถังหว่านตกตะลึง
ใช้วิชาขี่เมฆาเหาะเหินได้ นั่นมิใช่เซียนในตำนานเล่าขานหรอกหรือ
ถังหว่านเคารพยำเกรงหานเจวี๋ยยิ่งขึ้น
หลายเดือนต่อมา ทั้งสามมาถึงคฤหาสน์บนเขาหลังหนึ่ง ภูเขาในละแวกนี้สูงชัน ในรัศมีร้อยลี้ไร้ผู้คนอยู่อาศัย นับเป็นแดนลับแลในโลกมนุษย์โดยแท้
แต่คฤหาสน์กลางเขาแห่งนี้ไม่มีคนอยู่ หานเจวี๋ยมองเห็นวิญญาณร้ายมากมายหลบเร้นอยู่ในคฤหาสน์ คฤหาสน์แห่งนี้เคยเกิดเหตุฆาตกรรมขึ้น วิญญาณร้ายยึดติดอาฆาตไม่ยอมไปเกิด ทำให้กลายเป็นคฤหาสน์ผีสิง
ถังหว่านรู้สึกว่าที่นี่มืดมนอึมครึม ไม่กล้าเดินไปไหนมาไหนคนเดียว ตามติดอยู่ข้างกายฉู่เสี่ยวชีตลอด ส่วนฉู่เสี่ยวชีไม่แยแสเลยสักนิด
มีท่านปู่อยู่ ฉู่เสี่ยวชีรู้สึกว่าถึงฟ้าจะถล่มลงมาก็ไม่ต้องกลัว
หานเจวี๋ยคิดว่าที่นี่ไม่เลวเลย จึงเห็นชอบให้พำนักอยู่
เหมาะสำหรับใช้พัฒนาตบะของฉู่เสี่ยวชีในช่วงนี้ได้พอดี
รัตติกาลมาเยือน ถังหว่านไม่กล้าอยู่คนเดียวจึงมาหาฉู่เสี่ยวชี ทั้งสองพักอยู่ในห้องเดียวกัน
ดีร้ายอย่างไรถังหว่านก็มีตบะระดับสร้างฐานแล้ว แต่พอเข้ามาอยู่ที่นี่มักจะรู้สึกไม่ปลอดภัยอยู่เสมอ ทั้งสองล้วนมิใช่มนุษย์ธรรมดาแล้ว ไม่จำเป็นต้องนอนหลับพักผ่อนจึงฝึกบำเพ็ญไปด้วยกัน
ทว่าทุกวันพอตกกลางคืน พวกเขาจะได้ยินเสียงร่ำไห้คร่ำครวญของเด็กและสตรีแว่วเลือนราง เรื่องนี้ทำให้ถังหว่านตื่นตระหนก ฉู่เสี่ยวชีก็นิ่งสุขุมไม่อยู่แล้วเช่นกัน
เขาเป็นผู้บำเพ็ญระดับรวมแก่นปราณแล้ว วิญญาณที่แม้แต่เขาก็ยังมองไม่เห็นต้องแข็งแกร่งถึงเพียงใดกัน
แข็งแกร่งมากจริงๆ!
หานเจวี๋ยคาดการณ์ว่าต่อให้เป็นระดับก่อกำเนิดมาที่นี่ก็คงถูกสังหารได้เช่นกัน ผู้ที่ก่อเหตุฆาตกรรมในคฤหาสน์หลังนี้อยู่ระดับฝ่าเคราะห์ จับตัวบุรุษทั้งหมดที่บรรลุนิติภาวะแล้วไปจากที่นี่ ผลลัพธ์ที่เกิดขึ้นจากพลังเวทของเขาทำให้วิญญาณร้ายแข็งแกร่งยิ่งขึ้น
วิญญาณร้ายของที่นี่ดูดซับแก่นตะวันจันทราอยู่ทุกวัน แข็งแกร่งขึ้นตามวันเวลา
เหตุผลที่พวกมันไม่ได้ทำร้ายพวกฉู่เสี่ยวชีย่อมเป็นเพราะหานเจวี๋ย
หานเจวี๋ยวางแผนว่าหลังจากฉู่เสี่ยวชีแข็งแกร่งขึ้นแล้วจะให้เขากำจัดวิญญาณร้ายเหล่านี้ ถือเป็นบททดสอบ
ในวันนี้เอง ขณะที่หานเจวี๋ยฝึกบำเพ็ญอยู่ก็มีข้อความแถวหนึ่งเด้งขึ้นมาตรงหน้า
[มหาเทวาพ้นนิวรณ์ต้องการเข้าฝันท่าน ยอมรับหรือไม่]
ด้วยระดับตบะของหานเจวี๋ย เดิมทีผู้สร้างมรรคาไม่สามารถเข้าฝันเขาได้แล้ว แต่เขายังคงต้องถ่อมตัวเอาไว้จึงมอบสิทธิ์ในการเข้าถึงให้แก่มหาเทวาพ้นนิวรณ์
ยามนี้มหาเทวาพ้นนิวรณ์เป็นผู้ดูแลยุคสมัยไร้สิ้นสุด ในฉากหน้านับว่ามีอำนาจสูงสุด
แดนความฝันยังคงเป็นดินแดนเวิ้งว้าง
มหาเทวาพ้นนิวรณ์ทำความเคารพหานเจวี๋ยอย่างอ่อนน้อม เอ่ยว่า “ท่านเทพมีข้อกำหนดประการใดต่อผู้สร้างมรรคารุ่นหลังหรือไม่”
หานเจวี๋ยกล่าวว่า “ไม่จำเป็นต้องสะกดข่ม หากสามารถพึ่งพาตัวเองจนพิสูจน์ผู้สร้างได้ก็ปล่อยไปตามธรรมชาติเถิด”
ผู้สร้างมรรคาบรรลุถึงได้ยากยิ่ง ต่อให้ไม่มีผู้สร้างมรรคารายอื่นๆ คอยขัดขวาง แต่หากคิดจะปล่อยให้มีผู้สร้างมรรคารายใหม่ถือกำเนิดขึ้นสักคนก็ยังคงต้องใช้เวลานับยุคไม่ถ้วน
ยกตัวอย่างเช่นพวกหานฮวง หานหลิง บรรพชนเทพปฐมกาลและเทพมหาทัณฑ์ยอดมหามรรคชั้นแนวหน้าที่ได้รับมหาโชคจากมหาเคราะห์มรรคายิ่งใหญ่ไปแล้วก็ยังมองไม่เห็นวี่แววที่จะพิสูจน์ผู้สร้างได้
“ข้าทำนายอนาคตดูแล้ว พบว่าในอนาคตอาจจะปรากฏหายนะแห่งผู้สร้างมรรคาขึ้น อาจจะเกี่ยวข้องกับยอดมารร้ายฟ้าบุพกาล”
มหาเทวาพ้นนิวรณ์เอ่ยต่อ
หลังจากยอดมารร้ายฟ้าบุพกาลถูกขับไล่ออกจากฟ้าบุพกาลไปก็หายสาบสูญไปเลย หานเจวี๋ยเองก็ทำนายไม่พบ เขาทำนายได้เพียงว่าเกี่ยวข้องกับเจ้านวฟ้าบุพกาล ดังนั้นจึงคร้านจะใช้ความสามารถวิวัฒนาการ รอให้สยบทาสเจ้านวฟ้าบุพกาลสำเร็จแล้วค่อยสอบถามดูอีกที
“เรื่องราวให้อนาคตยกให้เป็นหน้าที่ของต้นฝูซังเถอะ” หานเจวี๋ยตอบ นับเป็นการกำหนดตำแหน่งให้แก่ต้นฝูซัง
มหาเทวาพ้นนิวรณ์พยักหน้ารับ ไม่กล้าคัดค้าน
เขาลังเลอยู่ครู่หนึ่ง เอ่ยไปว่า “ระยะนี้หานเย่ออกทำลายล้างโลกมหามรรคไปทั่ว อาศัยสิ่งนี้เพิ่มพูนตบะตน จำเป็นต้องลงมือหรือไม่”
หานเจวี๋ยกล่าวว่า “เขาไม่ข้องเกี่ยวบ่วงกรรมมิใช่หรือ ปล่อยเขาไปตามธรรมชาติเถอะ ไม่จำเป็นต้องลดตัวลงไปยุ่งกับเรื่องในระดับที่ต่ำกว่าสถานะเจ้า ยุคสมัยไร้สิ้นสุดเป็นยุคใหม่อย่างแท้จริง อนาคตจะปรากฏอันตรายอย่างไรขึ้นแม้แต่ข้าเองก็ไม่ทราบแน่ชัด ปล่อยให้สรรพสิ่งตื่นตัวเข้าไว้เถอะ”
“เข้าใจแล้วขอรับ”
หลังจากแดนความฝันสิ้นสุดลง
หานเจวี๋ยสอดส่องหานเย่ เด็กคนนี้มีเค้าลางว่าจะเข่นฆ่าจนกลายเป็นมารไปจริงๆ ซ้ำทิศทางที่เขามุ่งหน้าอาละวาดก็บังเอิญมุ่งมายังโลกนี้พอดี
เท่าที่คำนวณดู ใช้เวลาอย่างมากร้อยล้านปีหานเย่ก็จะบุกมาถึงโลกนี้
เชื้อสายของตนไม่อาจปล่อยให้ถูกผู้อื่นรังแกได้ แต่ก็ไม่อาจปล่อยให้เขาหลงระเริงได้
หานเจวี่ยพลันบังเกิดความคิดหนึ่งขึ้น ยกยิ้มมุมปาก
….
ณ ดินแดนเวิ้งว้าง โลกขนาดใหญ่มากมายกระจายอยู่ทั่วพื้นที่ขาวโพลน หานเย่ที่มีปราณโลหิตพัวพันรอบกายนั่งขัดสมาธิอยู่ ร่างเขาสั่นสะท้าน ลมหายใจถี่กระชั้นขึ้นยิ่งนัก สถานการณ์ผิดปกติอย่างยิ่ง
ตอนนี้ หานเย่ตกอยู่ในห้วงความฝัน
ในความฝัน มีเงาร่างลึกลับที่สลัวเลือนรางร่างหนึ่งคอยสะกดข่มเขาอยู่ตลอด ทำให้เขารู้สึกโมโหอย่างยิ่ง
………………………………………………………………