บทที่ 1132 ด่านเคราะห์ แดนลับเชื่อมวิถี
การต่อสู้ดุเดือดยาวนานกว่าหานเย่จะตื่นจากความฝัน
ไม่ใช่ครั้งแรกที่เกิดความฝันเช่นนี้ขึ้น ทุกครั้งที่เขาฝึกบำเพ็ญจนเข้าสู่ภวังค์ล้วนถูกฝันร้ายเช่นนี้ตามรังควาน ที่สำคัญคือเขาทำนายถึงสาเหตุที่มาของความฝันนี้ไม่ได้
หรือเป็นเพราะข้าเข่นฆ่ามากเกินไป แรงกรรมกับจิตอาฆาตจึงส่งผลให้เป็นเช่นนี้
หานเย่ขมวดคิ้ว แต่มหาโชคแต่กำเนิดของเขาก็คือกรรมสังหาร เขาพึ่งพากรรมสังหารพัฒนามาถึงปัจจุบันนี้ หากให้เขาละทิ้งก็เท่ากับให้เขาตัดแขนขวาตนทิ้ง
แต่มีจุดหนึ่งที่น่ากลัวคือทันทีที่หานเย่หยุดเข่นฆ่า เมื่อเวลาผ่านไปนานวันเข้าตบะของเขาจะค่อยๆ ถดถอยลง หานเย่ไหนเลยจะยอมปล่อยให้ตัวเองอ่อนแอลงได้
“จำเป็นต้องแก้ไขความฝันนี้ให้ได้ มิเช่นนั้นต่อไปคงไม่สามารถฝึกบำเพ็ญได้ ทำได้เพียงเข่นฆ่าเท่านั้น”
หานเย่พึมพำกับตัวเอง เขาลุกขึ้นยืน วางแผนทิศทางที่มุ่งหน้าสังหารต่อไป
ในเมื่อหาต้นตอปัญหาไม่พบ เช่นก็ต้องสังหารต่อไป!
สักวันหนึ่งเขาจะต้องพบตัวคนในฝันแล้วสังหารทิ้งเสีย ตัดปัญหาที่จะตามมา!
….
ณ สถานที่แห่งหนึ่งในดินแดนเวิ้งว้าง โลกขนาดใหญ่นับไม่ถ้วนลอยห้อมล้อมพระราชวังใหญ่มโหฬารหลังหนึ่ง เป็นวังจักรพรรดิมหาโชค
หลังสิ้นสุดมหาเคราะห์มรรคายิ่งใหญ่ วังจักรพรรดิมหาโชคสถานะสูงส่งขึ้นอย่างรวดเร็ว ตอนนี้เป็นหนึ่งในดินแดนศักดิ์สิทธิ์ที่เลื่องชื่อที่สุดในยุคสมัยไร้สิ้นสุด จักรพรรดิก็ถูกแต่งตั้งให้รับผิดชอบกฎวินัยของยุคสมัยไร้สิ้นสุด
ปัจจุบันนี้วังจักรพรรดิมหาโชครับตัวผู้ทรงพลังเข้ามามากมาย ในบรรดานั้นรวมไปถึงพวกเต้าจื้อจุน จ้าวเซวียนหยวน เจียงอี้ เหล่าตานและหลี่เต้าคงตัวตนในยุคโบราณที่สร้างชื่อลือนามในมหาเคราะห์มรรคายิ่งใหญ่
ในมุมมองของอริยะมหามรรค ร้อยล้านปีไม่นับว่ายาวนาน แต่สำหรับสรรพสิ่งแล้ว นั่นคือตัวตนในยุคสมัยอันศักดิ์สิทธิ์ ร้อยล้านปีถือเป็นการเปลี่ยนผ่านกันมาหลายยุคหลายสมัยแล้ว
ภายในโถงตำหนัก
หานเหยาและหานป้าเสินยืนอยู่ตรงหน้าหานหลิง นอกจากพวกเขาก็ไม่มีผู้ใดอีก
หานหลิงสวมเสื้อคลุมงามวิจิตรดูศักดิ์สิทธิ์ บนเสื้อคลุมมีหยกล้ำค่านับไม่ถ้วนห้อยอยู่ ในหยกมีโลกขนาดเล็กนับไม่ถ้วนสะท้อนอยู่ แสงเทพที่ครอบอยู่เหนือศีรษะส่องสว่างเจิดจ้า บดบังใบหน้าของนางไปกว่าครึ่งทำให้คนมองเห็นเพียงริมฝีปากของนาง อาศัยเพียงริมฝีปากที่โผล่ให้เห็นก็เพียงพอให้คนใฝ่ฝันหาได้แล้ว
หานเหยาเอ่ยอย่างไม่สบอารมณ์ “ฝ่าบาท จะต้องจัดการหานเย่นะพ่ะย่ะค่ะ หากเป็นเช่นนี้ต่อไป ชื่อเสียงวังจักรพรรดิมหาโชคของเราจะถูกเขาย่ำยีแน่!”
“ใช่แล้ว สังหารศัตรูของวังจักรพรรดิยังพอว่า วังจักรพรรดิของพวกเราก็ยังไม่ถึงขั้นที่ไร้ศัตรู แต่เขาสังหารผู้บริสุทธิ์ ทำให้กลุ่มอิทธิพลมากมายไม่พอใจ”
หานป้าเสินเอ่ยตาม เขาก็ไม่พอใจหานเย่มากเช่นกัน
หลังมหาเคราะห์มรรคายิ่งใหญ่สิ้นสุดลง ถึงแม้หานเย่จะขึ้นชื่อว่ายังอยู่ในวังจักรพรรดิมหาโชค แต่ก็มีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับอนธการมากกว่า หลักๆ ก็คืออนธการของหานฮวง
ในยุคสมัยไร้สิ้นสุดมีเทพมารอนธการสามตน พวกเขาตั้งตัวอยู่กันคนละที่ เว้นระยะห่างกันมากยิ่ง ติดต่อกันน้อยมาก หานฮวงมีชื่อเสียงที่สุด ในมหาเคราะห์มรรคายิ่งใหญ่ ผลงานของเขาสูงกว่าจักรพรรดิแห่งวังจักรพรรดิมหาโชคไปเล็กน้อย
หานหลิงเอ่ยขึ้นว่า “เขาเผชิญด่านเคราะห์ของตนอยู่ ไม่จำเป็นต้องเข้าไปยุ่ง รอดูต่อไปก็พอ”
หานเหยาถามด้วยความแปลกใจ “ด่านเคราะห์ใดพ่ะย่ะค่ะ”
“เคราะห์ความเป็นความตาย”
หานเหยาขมวดคิ้ว หานป้าเสินก็เช่นกัน
ถึงแม้พวกเขาจะไม่พอใจหานเย่ แต่ดีร้ายอย่างไรก็ร่วมเป็นร่วมตายด้วยกันมา ซ้ำยังเป็นคนตระกูลเดียวกัน ไหนเลยจะทนมองหานเย่ตกตายได้
“เรื่องนี้พวกเจ้าไม่จำเป็นต้องเข้าไปยุ่ง เรามีเรื่องหนึ่งจะมอบหมายให้พวกเจ้า”
หานหลิงเอ่ยต่อ เมินเฉยต่อสภาวะอารมณ์เล็กน้อยของหานเหยาและหานป้าเสิน
“อู๋เซียงเทียนเซี่ยบุกเบิกแดนลับเชื่อมวิถีขึ้น ต้องการให้กลุ่มอิทธิพลต่างๆ สามารถเข้าสู่โลกสามัญแห่งหนึ่งได้ ทุกกลุ่มอิทธิพลจะได้รับโลกสามัญเพียงแห่งเดียว ระดับการฝึกฝนในโลกสามัญต้องไม่เกินกว่าระดับเทพ มีเป้าหมายคือรวมยุคสมัยไร้สิ้นสุดให้เป็นปึกแผ่น ทำให้กลุ่มอิทธิพลต่างๆ ได้สร้างสายสัมพันธ์ที่เป็นหนึ่งเดียวกันขึ้น เรื่องการคัดเลือกโลกสามัญให้เป็นหน้าที่ของหานเหยา หานป้าเสินเจ้าจงมุ่งหน้าไปที่แดนลับเชื่อมวิถี ไปสืบหาข้อมูลมาก่อน แจ้งข่าวมาหาหานเหยาได้ทุกเมื่อ”
หานหลิงสั่งการ หานเยาและหานป้าเสินรับคำสั่งแล้วจากไป
….
ตะวันแผ่แสงเจิดจ้า คฤหาสน์กลางเขาอันโอ่อ่าถูกหมอกหนาปกคลุม
ภายในเรือนหลังหนึ่ง ฉู่เสี่ยวชีกำลังฝึกฝนเวทวิชา ฝึกวิชาเปลี่ยนรูปลักษณ์ ส่วนถังหว่านกำลังให้อาหารอินทรีทองใหญ่ยักษ์ตัวหนึ่ง เป็นฉู่เสี่ยวเหนี่ยวนั่นเอง
ฉู่เสี่ยวเหนี่ยวถูกเลี้ยงแบบปล่อยอิสระมาตลอด เพิ่งตามหาพวกเขาพบเมื่อไม่นานมานี้ เรื่องนี้ทำให้ฉู่เสี่ยวชีดีใจมาก ตัวเขาหลงลืมฉู่เสี่ยวเหนี่ยวไปแล้ว ไม่คิดเลยว่าฉู่เสี่ยวเหนี่ยวยังตามหาจนพบได้
กลับไม่ทราบเลยว่าฉู่เสี่ยวเหนี่ยวมิได้มาหาเขา แต่มาหาหานเจวี๋ย
ฉู่เสี่ยวเหนี่ยวเบิกปัญญาแล้ว หานเจวี๋ยเคยชี้แนะแก่มันเล็กน้อย ทำให้มันได้รับประโยชน์มหาศาล หลายปีมานี้ออกท่องไปทั่ว มันค้นพบว่าตัวเองยังอ่อนกำลังเกินไป ไม่อาจเป็นราชาปีศาจได้ ดังนั้นจึงตามสืบเสาะจากกลิ่นอายของฉู่เสี่ยวชีตามมาฝึกบำเพ็ญด้วย แน่นอน ฉู่เสี่ยวเหนี่ยวไม่ได้เผยเรื่องนี้ออกมา
ในเวลานี้เอง มีเงาร่างหนึ่งเหาะฝ่าเมฆหมอกเข้ามา
คนผู้นี้ปล่อยผมสยายดูจากหน้าตาแล้วอายุราวห้าสิบหกสิบปี สวมเสื้อคลุมสีดำงามหรูหรา ทรงภูมิอย่างยิ่ง สายตาของเขาทอดมองไปที่ร่างฉู่เสี่ยวชี
“ไอ้หนู ในที่สุดก็หาตัวเจ้าพบ! ที่แท้ก็มาซ่อนตัวอยู่ในสถานที่อันตรายแห่งนี้ รนหาที่ตาย”
ฉู่เสี่ยวชีและถังหว่านเงยหน้ามอง ต่างหน้าเปลี่ยนสีทั้งคู่
“เจ้าสำนัก…”
ถังหว่านมีสีหน้าย่ำแย่
ฉู่เสี่ยวชีกลับตั้งท่าเตรียมพร้อม เอ่ยไปว่า “ตาเฒ่าเฉินซวี่ อย่าได้กำแหงนัก ท่านปู่ของข้าอยู่ที่นี่ด้วยหากเจ้ายังกล้าลงมือกับข้า นั่นคือรนหาที่ตาย!”
นักพรตเฉินซวี่จับสัมผัสถึงกลิ่นอายของหานเจวี๋ยไม่ได้ คาดว่าฉู่เสี่ยวชีเพียงอวดอ้างโป้ปด เขาเอ่ยด้วยรอยยิ้มเหยียดหยาม “หรือท่านปู่ของเจ้าเป็นผีไพรเดียวดายในที่แห่งนี้เล่า”
ฉู่เสี่ยวชีแค่นเสียง “ท่านปู่ของข้าคือท่านเซียน บุตรชายนอกสมรสคนนั้นของเจ้าก่อกรรมทำชั่วมากมาย สังหารศิษย์ร่วมสำนักไปมากน้อยปานใดแล้ว เจ้ามีฐานะเป็นเจ้าสำนักกลับไม่ห้ามปราม เจ้าก็สมควรตายเช่นกัน วันนี้จะได้ให้ท่านเซียนตัดสินความเป็นธรรมพอดี!”
“น่าขัน!”
เฉินซวี่ถูกกระตุ้นเพลิงโทสะขึ้นมาในทันใด เขามีบุตรนอกสมรสอยู่มากมาย แต่บุตรชายที่ถูกฉู่เสี่ยวชีสังหารไปมีพรสวรรค์เลิศล้ำที่สุด เขาคิดจะส่งบุตรชายนอกสมรสคนนี้ไปเข้าสำนักที่ใหญ่กว่า เพื่อแลกเปลี่ยนเอาลูกกลอนที่ช่วยฝ่าระดับมาให้ตน
น่าเสียดายที่ทุกอย่างพังทลายลงเพราะฝีมือไอ้เด็กที่อยู่ตรงหน้าคนนี้!
นักพรตเฉินซวี่ชูมือขวาขึ้น เงาร่างหนึ่งร่อนลงมาอยู่ด้านหน้าฉู่เสี่ยวชี เป็นศพของชายหนุ่มรูปงามคนหนึ่ง
เปลือกตาฉู่เสี่ยวชีกระตุกยิกๆ
จู่ๆ เขาก็สังหรณ์ใจไม่ดีขึ้นมา อีกฝ่ายคงไม่ได้มาเพื่อสังหารเขาอย่างเดียวแน่
“วันนี้เจ้าต้องเป็นตัวตายตัวแทนของบุตรชายข้า เมื่อเจ้าตาย บุตรชายข้าก็จะคืนชีพ!”
นักพรตเฉินซวี่เอ่ยเสียงเยียบเย็น เขาหยิบไม้บรรทัดขาวเล่มหนึ่งออกมา ฟาดกดลงมาด้านล่าง ทันใดนั้นแรงกดดันน่าหวาดหวั่นเข้าครอบคลุม กดทับฉู่เสี่ยวชีและถังหว่านจนกระอักเลือดทรุดตัวลงคุกเข่า เรือนพังทลายลงมา หมอกหนารอบข้างลอยกระจายตัวออกไป
ขณะที่นักพรตเฉินซวี่กำลังร่ายเวท จู่ๆ ก็เหลือบไปเห็นเงาร่างหนึ่งทำให้ม่านตาเขาหดตัววูบ
หลังจากหมอกหนากระจายตัวออกไป มีร่างหนึ่งนั่งขัดสมาธิอยู่บนอารามเต๋าที่ตั้งอยู่ด้านข้าง เขาจับสัมผัสไม่ได้เลยสักนิด
ยามนี้พอมองเห็นอีกฝ่ายแล้วเขาก็แผ่กระแสจิตออกไป แต่ยังคงจับกลิ่นอายของอีกฝ่ายไม่ได้เช่นเดิม ราวกับคนผู้นี้ไม่มีตัวตนอยู่ เป็นเพียงภาพมายา
‘มีเซียนอยู่จริงๆ หรือ’
ความคิดอันน่าตระหนกนี้ผุดขึ้นมาในใจของนักพรตเฉินซวี่
ขณะที่เขากำลังจะอ้าปากพูด หานเจวี๋ยลืมตาขึ้น เหลือบมองมาด้วยสายตาเย็นชา นักพรตเต๋าเฉินซวี่ยังไม่ทันได้สบตากับหานเจวี๋ยร่างกายก็แข็งเป็นหินไปแล้ว จากนั้นก็ร่วงหล่นลงมา หล่นลงมากลางเรือนที่กลายเป็นซากปรักหักพังแตกออกเป็นเสี่ยงๆ สะเก็ดหินกระจายเกลื่อนพื้น
ฉู่เสี่ยวชีตาค้าง ถังหว่านก็มีสีหน้าเหลือเชื่อเช่นกัน
เกิดอะไรขึ้น
ฉู่เสี่ยวเหนี่ยวตกใจกลัวตัวสั่น
เสียงของหานเจวี๋ยแว่วขึ้น “ไม่รู้เช่นกันว่าเมื่อไรเจ้าจะแก้ไขปัญหายุ่งยากทุกอย่างด้วยตัวเองได้เสียที”
………………………………………………………………