บทที่ 1146 ความทะเยอทะยานของอวิชชา พลังที่ไม่รู้จัก
หมื่นปีผ่านไป
หานเจวี๋ยลืมตาขึ้น สอดส่องดูฉู่เสี่ยวชี
นับตั้งแต่คิดว่าจะให้ความสนใจกับฉู่เสี่ยวชี เขาก็ไม่กล้าปิดด่านนานเกินไปอีก กลัวว่าหากไม่จับตามองไว้ฉู่เสี่ยวชีจะตายตกไปได้
ในช่วงหมื่นปีมานี้ ฉู่เสี่ยวชีและเฉินเจวี๋ยโลดแล่นสร้างชื่อเสียงในแดนลับเชื่อมวิถีขึ้นมา กลายเป็นตัวตนในตำนานที่เผ่าเทพในแดนเซียนก่อนหน้านี้ต้องแหงนหน้ามองแล้ว
ในมุมมองของหานเจวี๋ย หมื่นปีก็เหมือนหนึ่งวัน สั้นยิ่งนัก แต่ในมุมมองเหล่าผู้บำเพ็ญ หมื่นปีคือหนึ่งยุคสมัยอันยาวนาน ผลัดเปลี่ยนมาหลายยุคแล้ว
มองจากปัจจุบันนี้ ฉู่เสี่ยวชีและเฉินเจวี๋ยตั้งตัวได้มั่นคงแล้ว เว้นแต่จะเผชิญเข้ากับตัวตนที่มีระดับทิ้งห่างจากพวกเขาเท่านั้น มิเช่นนั้นก็ยากจะตายตกดับสูญ ฉู่เสี่ยวชีมีหวงจุนเทียนหนุนหลัง ส่วนเฉินเจวี๋ยมีหานอวิ๋นจิ่นและหานหลิงหนุนหลังอยู่
หานเจวี๋ยยิ้มออกมา รู้สึกว่าตนโอ๋ลูกหลานเกินไปแล้ว
เขามองไปที่หานเหลียง เด็กคนนี้ฝึกบำเพ็ญอยู่ในอาณาเขตเต๋า ติดตามอยู่ข้างกายหานเจวี๋ยจนพิสูจน์อริยะเบิกฟ้าแล้ว
หานเหลียงคล้ายจะรับรู้ได้ถึงสายตาของหานเจวี๋ย อดไม่ได้ที่จะลืมตาขึ้นมา พอเห็นว่าหานเจวี๋ยกำลังยิ้มอยู่ เขาก็ถูสองมือแล้วหัวเราะฮิๆ “ท่านปู่ ในที่สุดท่านก็ตื่นแล้ว จะยอมให้ข้าออกไปได้เมื่อไรขอรับ ข้าเป็นอริยะแล้ว แข็งแกร่งมากพอแล้ว!”
หานเจวี๋ยเอ่ยยิ้มๆ “ยังไม่พอ นับแต่เจ้าถือกำเนิดขึ้นมาก็ถูกลิขิตไว้แล้วว่าคู่ต่อสู้ของเจ้าจะแข็งแกร่งกว่าคู่ต่อสู้ที่คนอื่นเคยเผชิญมา เข้าใจหรือไม่”
หานเหลียงเบะปาก “ข้ารู้ว่าในสำนักซ่อนเร้นและตระกูลหานเรามีคนเก่งกาจมากมาย อาจารย์ลุงหลงเฮ่าเคยบอกว่าไม่มีผู้ใดกล้ามาหาเรื่องพวกเราหรอกขอรับ!”
“อย่าไปฟังเขานักเลย เมื่อก่อนเขาก็เกือบสิ้นชีพอยู่ด้านนอกเช่นกัน”
หานเจวี๋ยแค่นเสียง เล่าประวัติของหลงเฮ่าในสมัยมหาเคราะห์ไร้สิ้นสุด ณ มรรคาสวรรค์ออกมา หานเหลียงฟังแล้วอุทานด้วยความตื่นเต้นอีกครั้ง
เขาไม่คิดเลยว่าหลงเฮ่าที่ดูอ่อนโยนถึงเพียงนั้นจะเคยหัวขบถปานนี้
หานเจวี๋ยเอ่ยอย่างมีนัยลุ่มลึก “นี่คือเส้นทางแห่งความล้มเหลวทางหนึ่ง เป็นแบบอย่างที่ไม่ควรทำตาม ปู่เคยคาดหวังในตัวเขามาก แต่ตอนนี้ปู่คาดหวังในตัวเจ้าที่สุด หานเหลียง เจ้าเกิดมาเป็นคนพิเศษ เป็นที่รักของคนมากมาย ต้นทุนของเจ้าสูงล้ำกว่าสรรพสิ่งอื่น เจ้าจะต้องสงบใจไว้ให้ได้ ฝึกบำเพ็ญมิใช่เพื่อตบะเท่านั้น ต้องฝึกฝนจิตใจด้วย”
หานเหลียงคล้ายจะเข้าใจแต่ก็ไม่เข้าใจ
ประสบการณ์เขายังน้อยเกินไป บางถ้อยคำฟังแล้วเหมือนจะเข้าใจ แต่หากจะให้ตระหนักถ่องแท้ยังคงยากนัก
“เช่นนั้นข้าจะได้ออกไปยามใดขอรับ” หานเหลียงถาม
“อย่างน้อยก็คงต้องเป็นอริยะมหามรรคกระมัง”
“อริยะมหามรรค…”
หานเหลียงมีสีหน้าขมขื่น อริยะมหามรรคเลยหรือ…
ดูเหมือนจะถูกกั้นขวางไว้เพียงชื่อระดับเท่านั้น แต่แท้จริงกลับไกลห่างกันลิบลับ หลังพิสูจน์มรรคแล้ว เขาตระหนักได้ว่าเพียงจะฝ่าขั้นเล็กสักขั้นก็ยากมากแล้ว
หานเจวี๋ยไม่สนใจเด็กคนนี้อีก เริ่มตรวจดูจดหมาย
เขาสามารถสอดส่องดินแดนเวิ้งว้างแห่งนี้ได้ แต่เขาเคยชินกับการตรวจดูจดหมายไปแล้ว นี่คืองานอดิเรกที่มีอยู่ไม่มากนักของเขา
หานเหลียงเซื่องซึมอยู่พักหนึ่งก็ฝึกบำเพ็ญต่อ
….
ณ อาณาเขตลับอันมืดมิดขนาดที่ว่ายื่นมือออกไปก็มองไม่เห็นห้านิ้ว
ศีรษะหัวหนึ่งที่แผ่แสงสว่างออกมาจางๆ กำลังลอยเคลื่อนไปด้านหน้า เป็นเจ้าอวิชชาฟ้าบุกาลนั่นเอง แปดเนตรบนใบหน้าของเขาทอดมองไปในทิศทางที่แตกต่างกัน
ไม่ทราบว่าลอยเคลื่อนที่อยู่นานเพียงใด ในที่สุดเจ้าอวิชชาฟ้าบุพกาลก็หยุดลง
ด้านหน้ามีไข่ใบใหญ่มโหฬารสีแดงคล้ำใบหนึ่งอยู่ มีสิ่งที่ดูคล้ายเส้นเลือดนับไม้ถ้วนล้อมพัวพันบนพื้นผิว ดูสยดสยองน่าพรั่นพรึง
ภายในไข่มีเงาร่างที่ดูคล้ายมังกรตัวหนึ่งกำลังว่ายวนอยู่ รูปร่างเปลี่ยนแปลงไปเป็นระยะๆ แผ่กลิ่นอายเก่าแก่บรรพกาลออกมา
“ในที่สุดเจ้าก็มา…”
เสียงกังวานผันผวนแว่วออกมา
เจ้าอวิชชาฟ้าบุพกาลเอ่ยถาม “ท่านวางแผนไว้อย่างไร”
“ข้ารับรู้ได้ว่าเจตจำนงของร่างต้นถูกเขาควบคุมไว้ ไม่ช้าก็เร็วร่างต้นของข้าจะตกเป็นทาสรับใช้ของเขา”
เจ้าอวิชชาฟ้าบุพกาลได้ฟังก็เงียบไป
การที่เขามายังสถานที่แห่งนี้นับว่ายอมเสี่ยงอันตรายมหาศาลนัก
“อวิชชา ยังมีโอกาสอยู่ เขาอาจจะก้าวข้ามผู้สร้างมรรคาไปแล้ว อ้างตนว่าเป็นเทพผู้สร้าง แต่เขายังไม่ใช่เทพผู้อยู่เหนือทุกสรรพสิ่ง ดินแดนเวิ้งว้างมีอีกมากมายหลายสิ่งที่ไม่อาจหยั่งรู้ได้ ข้าคาดการณ์ไว้แต่แรกแล้วว่าจะมีวันนี้ ดังนั้นจึงตัดแยกจิตมารแบ่งหนึ่งออกเป็นสอง ที่ให้เจ้ามาในครานี้ก็เพื่อเตรียมบ่มเพาะตัวตนหนึ่งที่จะอยู่เหนือกว่าผู้สร้างขึ้นมา”
“ตัวตนนี้จะชักนำให้ดินแดนเวิ้งว้างและสรรพสิ่งพินาศไปพร้อมกัน จากนั้นพวกเราจะสร้างทุกอย่างขึ้นมาใหม่”
เสียงกังวานผันผวนแว่วขึ้น น้ำเสียงเฉยเมย
เจ้าอวิชชาฟ้าบุพกาลสอบถาม “มีโอกาสชนะจริงๆ หรือ”
“เจ้ายินดีจะหยุดลงเท่านี้หรือ ไม่อยากก้าวข้ามผู้สร้างมรรคาไปหรือ”
เจ้าอวิชชาฟ้าบุพกาลเงียบลงอีกครั้ง วาจาของเสียงกังวานผันผวนทำให้เขาไม่อาจโต้แย้งได้
ผู้สร้างมรรคาทั้งปวงล้วนมีความทะเยอทะยานสูงกว่าสรรพสิ่งทั่วไป ความทะเยอทะยานของเจ้าอวิชชาฟ้าบุพกาลเหนือกว่าสามผู้สร้างที่เหลือ นี่คือเหตุผลที่เขากล้ามาแม้ว่าตอนนี้หานเจวี๋ยจะไร้พ่ายแล้ว
ปัจจุบันนี้มหาเทวาพ้นนิวรณ์และจอมเทวาวินาศลับเลือนพิสุทธิ์ล้วนสยบต่อหานเจวี๋ยแล้ว เหลืออยู่เพียงมหาเทวาผลาญนภาไร้สิ้นสูญที่ไม่มีประโยชน์มากนัก
เจ้าอวิชชาฟ้าบุพกาลถาม “เช่นนั้นต้องใช้เวลานานเพียงใด”
“รอก่อนเถอะ ไม่มีทางนานไปกว่าที่เจ้าสำเร็จผู้สร้างมรรคาแน่ ยุคสมัยไร้สิ้นสุดดูเหมือนจะรุ่งเรืองแต่ความจริงเป็นช่วงโหมโรงสำหรับฉากทำลายล้าง ถึงแม้เขาจะเหนือกว่าผู้สร้างมรรคาไปแล้ว แต่ยังไม่เข้าใจในดินแดนเวิ้งว้าง ไม่เข้าใจว่าที่แท้อนธการล่มสลายลงได้อย่างไร แล้วตัวข้าสร้างฟ้าบุพกาลขึ้นมาได้อย่างไร”
เงาร่างที่อยู่ภายในไข่พลันหยุดนิ่งลง จากนั้นแสงที่แผ่ออกมาจากไข่ก็ค่อยๆ หดหายไป จนกระทั่งกลืนไปกับความมืดมิด
“จากนี้ไป เจ้าต้องพยายามชุบเลี้ยงส่งเสริมผู้มีพรสวรรค์ขึ้นมา เสริมสร้างอำนาจยิ่งแข็งแกร่งเท่าไรก็ยิ่งดี”
จากนั้นเจ้าอวิชชาฟ้าบุพกาลก็จากไปเช่นกัน
….
ณ โลกปฐมยุค
หลังจากยุคสมัยไร้สิ้นสุดเปิดฉากขึ้นมา ในที่สุดโลกปฐมยุคก็หยุดนิ่งลง โลกปฐมยุคที่ผสานโลกมหามรรคพิสุทธิ์เข้ามาแล้วกลายเป็นโลกที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในดินแดนเวิ้งว้าง
โลกปฐมยุคอยู่ห่างจากจุดศูนย์กลางของยุคสมัยไร้สิ้นสุดไกลโพ้นอย่างยิ่ง มีสรรพสิ่งที่ได้ติดต่อโลกปฐมยุคน้อยยิ่งนัก แต่ตำนานของโลกปฐมยุคกลับแพร่หลายไปในจุดศูนย์กลางของยุคสมัยไร้สิ้นสุด
ภายในโลกปฐมยุคเรียกได้ว่ามีสีสันอย่างยิ่ง เมื่อยุคสมัยเปลี่ยนไป มีผู้แข็งแกร่งปรากฏขึ้นมากมาย
หานหลิงค้นพบโลกปฐมยุคผ่านแดนยมโลกมาเนิ่นนานแล้ว ซ้ำยังบ่มเพาะรากวิญญาณปฐมยุคไว้ด้วย นั่นก็คือหานจงหยวนแห่งสิบเทวดารา
หลังจากนั้น หานหลิงและหานอวิ๋นจิ่นร่วมมือกัน ส่งศิษย์จำนวนมากของวังจักรพรรดิมหาโชครวมถึงเชื้อสายตระกูลหานเข้าไปพัฒนาตนในโลกปฐมยุค พวกเขาพบว่าพลังวิญญาณในโลกปฐมยุคเหนือล้ำกว่าโลกใดๆ อีกทั้งมีกฎเกณฑ์สูงสุดถึงแปดสายด้วย
นี่คือโลกที่เลิศล้ำอย่างถึงที่สุดแน่นอน พวกเขาย่อมนึกถึงหานเจวี๋ยขึ้นมา นี่คือเหตุผลที่พวกเขากล้าไว้วางใจ
หานเจวี๋ยไม่ได้เผยโลกปฐมยุคออกไป พวกเขาก็ไม่ได้ถามเช่นกัน ล้วนรับรู้อยู่ในใจ
ขณะนี้มีมารตนหนึ่งถือกำเนิดขึ้นในโลกปฐมยุค ทำให้โลกหลายร้อยล้านใบตกอยู่ในความโกลาหล มีแนวโน้มจะเกิดเป็นหายนะใหญ่ขึ้นมาอีกครั้ง
ภายในตำหนักหลังหนึ่ง
เงาร่างนับพันมาชุมนุมกันที่นี่ พวกเขาก็คือเทพมหามรรคที่ถือกำเนิดขึ้นในโลกปฐมยุค ตบะขั้นต่ำสุดอยู่ในระดับอริยะมหามรรค ในบรรดานั้นมีตัวตนอยู่เหนือกว่ามหามรรคไปแล้วสามสิบตน รากฐานระดับนี้แข็งแกร่งมากเพียงพอแล้ว
ผู้นำก็คือเทพมารชีวิต เป็นหนึ่งในไม่กี่ตัวตนที่หานเจวี๋ยชี้แนะให้ด้วยตัวเองและนับเป็นตัวตนสูงสุดแห่งโลกปฐมยุคแล้ว
เทพมารชีวิตกวาดตามองรอบหนึ่ง เอ่ยขึ้นว่า “มารตนนี้ครอบครองพลังที่ไม่เคยมีปรากฏมาก่อน พวกเจ้ามีความเห็นประการใด”
เทพมารมหามรรคทั้งหมดเงียบงัน ไม่มีผู้ใดเปิดประเด็นขึ้นมา
มารร้ายตนนั้นแข็งแกร่งมากจริงๆ มีเทพมารมหามรรคมากมายที่พ่ายแพ้กลับมาอย่างน่าอนาถ หากมิใช่เพราะมียอดมหามรรคหลายคนร่วมมือด้วยคงไม่อาจต่อกรได้เลย หลังจากสะกดข่มแล้วก็ยังไม่สามารถสังหารมารตนนี้ได้ เป็นอมตะอย่างแท้จริง ประเด็นสำคัญที่สุดคือในระหว่างที่ถูกสะกดไว้ มารตนนี้ยังแข็งแกร่งขึ้นเรื่อยๆ ด้วย ทำให้พวกเขารู้สึกอัดอั้นไม่สบายใจ
………………………………………………………………