บทที่ 1154 ขยายอำนาจ
ณ ฟ้าบุพกาล
นับตั้งแต่เริ่มต้นยุคสมัยไร้สิ้นสุด ฟ้าบุพกาลถูกทำลายลงแล้วแต่ยังคงมีโลกมหามรรคหลายแห่งที่อ้างนามฟ้าบุพกาลอยู่ ตัวอย่างเช่นบรรพชนเต๋าและผานกู่ที่บุกเบิกโลกมหามรรคขึ้นโดยเรียกขานว่าฟ้าบุพกาล ผานกู่คือเทพมารฟ้าบุพกาลที่แข็งแกร่งที่สุด เขาอ้างตัวว่าสืบทอดฟ้าบุพกาล อีกทั้งนับว่าเป็นสายตรงด้วย
ฟ้าบุพกาลในปัจจุบันนี้มีเผ่ามนุษย์มรรคาสวรรค์เป็นผู้นำ มีเผ่าพันธุ์มากมายถือกำเนิดขึ้นภายในการปกครอง แต่บ้างก็ถูกเผ่ามนุษย์มรรคาสวรรค์ทำลายล้าง บ้างก็ถูกเผ่ามนุษย์มรรคาสวรรค์จับเป็นทาส หากว่ากันในมุมมองของเผ่ามนุษย์มรรคาสวรรค์แล้ว ไม่มีอะไรผิดไปทั้งนั้น ไม่ว่าเผ่าพันธุ์ใดๆ หากได้รับอำนาจต่างก็สามารถกลายเป็นเช่นนี้ไปได้
แต่ในระยะนี้ มักจะปรากฏเคราะห์กรรมต่างๆ ขึ้นในฟ้าบุพกาลอยู่เนืองๆ ถึงขึ้นที่มีมารร้ายถือกำเนิดขึ้นมา อาละวาดคุกคามฟ้าบุพกาล จับเผ่ามนุษย์มรรคาสวรรค์กิน
สงครามดำเนินอยู่ตลอดปี เป็นหายนะทำลายมนุษย์ ก่อให้เผ่ามนุษย์มรรคาสวรรค์สูญเสียประชากรเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ
ในวันหนึ่ง ยอดมหามรรคแห่งเผ่ามนุษย์มรรคาสวรรค์ได้รวมตัวกันในห้องโถงตำหนักบรรพชนเต๋า ร้องขอเข้าพบบรรพชนเต๋า
คุณสมบัติของเผ่ามนุษย์มรรคาสวรรค์เลิศล้ำ ผ่านการพัฒนามาเกือบสองร้อยล้านปี มียอดมหามรรคกำเนิดขึ้นห้าคน ทอดสายตามองไปทั่วยุคสมัยไร้สิ้นสุดก็ยังนับเป็นเผ่าพันธุ์ชั้นแนวหน้าอยู่
ห้าบรรพชนเผ่ามนุษย์นั่งขัดสมาธิอยู่บนพื้น เฝ้ารออย่างสงบ
ไม่ทราบว่าเวลาผ่านไปนานเพียงใด ในที่สุดบรรพชนเต๋าก็ปรากฏตัว
บรรพชนเต๋าผมขาวใบหน้าผุดผ่อง สวมชุดนักพรตเต๋าสีขาว นั่งอยู่บนแท่นดอกบัว มีแสงศักดิ์สิทธิ์แผ่ออกมาจากร่าง
ห้าบรรพชนเผ่ามนุษย์ทำความเคารพทันที แม้จะพิสูจน์ยอดมหามรรคแล้ว แต่เมื่ออยู่ต่อหน้าบรรพชนเต๋าพวกเขายังธรรมดายิ่งนัก
ที่พวกเขาก้าวมาถึงวันนี้ได้เพราะได้ดวงชะตาเผ่ามนุษย์มรรคาสวรรค์คอยเกื้อกูล มิเช่นนั้นด้วยคุณสมบัติของพวกเขาแล้ว ยังคงต้องใช้เวลายาวนานกว่าจะสามารถพิสูจน์ยอดมหามรรคสำเร็จได้
บรรพชนมนุษย์คนหนึ่งเอ่ยขึ้นว่า “บรรพชนเต๋า ช่วงนี้ดวงชะตาของเผ่ามนุษย์มรรคาสวรรค์ไม่สู้ดีเลย เกิดอะไรขึ้นกับฟ้าบุพกาลกันแน่ขอรับ”
พวกเขาล้วนมีจิตหยั่งรู้ ตระหนักได้ถึงปัญหาที่ปรากฏในฟ้าบุพกาลยามนี้
จะเป็นไปได้อย่างไรที่จู่ๆ ก็ปรากฏเคราะห์ภัยขึ้นมากมายปานนี้ มีมารร้ายมากมายถึงเพียงนี้
บรรพชนเต๋าเอ่ยเสียงเรียบ “ฟ้าบุพกาลเกิดวิวัฒนาการไปตามกฎเกณฑ์ของตน เคราะห์ภัยมากมายในยามนี้ อาจเป็นสาเหตุมาจากสิ่งที่เผ่ามนุษย์มรรคาสวรรค์ก่อขึ้น พวกเจ้าลองคิดในมุมของฟ้าบุพกาลดูเถิด นอกจากปกป้องผลประโยชน์ของตนแล้ว ตามหลักแล้วก็ควรจะแบกรับภาระแห่งฟ้าบุพกาลให้มากขึ้นด้วย”
ทั้งห้าหน้าเปลี่ยนสี
หนึ่งในบรรดานั้นเอ่ยด้วยความคับข้อง “ต้องแบกรับเช่นใดเล่า หากมีผู้มารุกราน พวกเราล้วนจะออกโรงก่อนเสมอ พวกเราคงไม่อาจก่อสร้างตั้งฟ้าบุพกาลขึ้นมาได้กระมัง พลังกฎเกณฑ์ของที่แห่งนี้ก่อเกิดขึ้นจากท่านและเทพบรรพชนผานกู่ พวกเราไม่มีทางแทรกแซงได้”
“ใช่ พวกเราก็พยายามสุดความสามารถแล้ว”
“จะให้พวกเรายอมอนุญาตให้เผ่าพันธุ์อื่นตั้งตัวผงาดขึ้นมาอย่างนั้นหรือ หากเวลาผ่านไปนานวันเข้าจะต้องกระตุ้นให้เกิดมหาเคราะห์ขึ้นอีกแน่นอน”
“ถูกต้อง ในโลกขนาดใหญ่ใบหนึ่งหากมีเผ่าพันธุ์ผงาดขึ้นมากเกินไปจะต้องเกิดความขัดแย้งขึ้นไม่หยุดหย่อน”
“บรรพชนเต๋า เผ่ามนุษย์มรรคาสวรรค์ถือกำเนิดขึ้นจากท่านและเทพบรรชนผ่านกู่ ท่านจะทอดทิ้งพวกเราได้หรือขอรับ”
ยิ่งพูดบรรพชนมนุษย์ทั้งห้าก็ยิ่งขุ่นข้องขึ้นเรื่อยๆ บรรพชนเต๋ายังคงเงียบงันไร้วาจา
ผ่านไปเนิ่นนาน
รอจนห้าบรรพชนมนุษย์สงบใจลงได้ บรรพชนเต๋าถึงเอ่ยเนิบๆ ว่า “ข้าขอถามพวกเจ้าทีเถิด ในยุคสมัยไร้สิ้นสุดนี้มีกลุ่มอิทธิพลใดที่ครอบครองอำนาจเบ็ดเสร็จ สามารถกำหนดชะตากรรมของโลกมหามรรคทั้งหมดได้หรือไม่”
บรรพชนมนุษย์คนหนึ่งเอ่ยขึ้นมา “สำนักซ่อนเร้นนับหรือไม่ขอรับ”
บรรพชนเต๋ากล่าวว่า “ไม่นับ สำนักซ่อนเร้นเคยเข้ายุ่งกุมอำนาจตั้งแต่ยามใดกันเล่า ตอนนี้ก็มีแตกแยกย่อยออกเป็นกลุ่มอิทธิพลต่างๆ มากมายเช่นกัน ต่อสู้แย่งชิงทั้งในทางลับทางแจ้ง เรื่องเหล่านี้พวกเจ้าก็น่าจะทราบกันดี”
บรรพชนมนุษย์เงียบลง
เรื่องราวเป็นเช่นนี้จริงๆ ยุคสมัยไร้สิ้นสุดไม่มีกลุ่มอิทธิพลที่กล้าครอบครองอำนาจเบ็ดเสร็จจริงๆ ขนาดผู้แข็งแกร่งอย่างมหาเทวาพ้นนิวรณ์ก็ยังมีมหาเทพกดข่มอยู่เหนือหัวเช่นกัน เพียงแต่มหาเทพไม่สนใจแทรกแซงเท่านั้น!
แต่ว่า!
ฟ้าบุพกาลจะไปเทียบกับยุคสมัยไร้สิ้นสุดได้อย่างไร
ต่อให้พวกเขากุมอำนาจฟ้าบุพกาลไว้เบ็ดเสร็จ ทอดสายตามองไปทั่วยุคสมัยไร้สิ้นสุดก็เป็นเพียงน้ำหนึ่งหยดในมหาสมุทรเท่านั้น กลุ่มอิทธิพลขนาดใหญ่กลุ่มใดบ้างเล่าที่ไม่ได้ครอบครองโลกขนาดใหญ่ไว้อย่างเบ็ดเสร็จเช่นเดียวกับเผ่ามนุษย์มรรคาสวรรค์ ถึงขั้นที่แกร่งกล้ากว่าด้วยซ้ำ กลุ่มอิทธิพลที่ครอบครองโลกมหามรรคไว้หลายแห่งก็มีอยู่เช่นกัน
แล้วมีสิทธิ์ใดไม่ให้พวกเขาทำบ้างเล่า
บรรพชนเต๋ามองออกถึงความไม่พอใจและไม่ยินยอมในใจของพวกเขาจึงเอ่ยไปว่า “นี่คือเคราะห์ภัยแห่งเผ่ามนุษย์มรรคาสวรรค์ หากพวกเจ้าไม่ยอมเชื่อเช่นนั้นก็รอดูเอาเถิด ตอนนี้ข้ากำลังยุ่งอยู่กับการสร้างโลก ไม่อาจให้การสนับสนุนพวกเจ้าได้อีกต่อไป”
พอเอ่ยจบบรรพชนเต๋าก็เลือนหายไป
ห้าบรรพชนมนุษย์มองหน้ากันเหลอหลา
ขณะที่พวกเขากำลังจะอ้าปากพูด บรรพชนมนุษย์ที่เป็นหัวหน้ากลุ่มเอ่ยเสียงขรึม “ไปก่อนเถอะ อย่าได้รบกวนความสงบในการบำเพ็ญของผู้อาวุโสบรรพชนเต๋าเลย”
แววตาเขาวูบไหว โทสะมหาศาลลุกท่วมอยู่ในทรวง
สถานการณ์เช่นนี้ก็ปรากฏขึ้นในอนธการเช่นกัน แต่หานฮวงเผด็จการกว่าบรรพชนเต๋า บอกว่าจะเปลี่ยนผู้ปกครองอนธการก็เปลี่ยนทันที ผู้ใดกล้าพูดมากหานฮวงจะจัดการทำลายทิ้งทันที
หากคิดจะพัฒนาโลกมหามรรคก็จำเป็นต้องมีเผ่าพันธุ์ที่หลากหลายถือกำเนิดขึ้นมา มีวิวัฒนาการแตกต่างหลากหลาย บุกเบิกพลังชีวิตให้เพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ ขยายพัฒนา มหามรรคถึงจะเกิดมหาโชคเพิ่มมากขึ้น
หากว่าถูกเผ่าพันธุ์หนึ่งครอบงำไว้แต่เพียงผู้เดียวโลกมหามรรคจะหยุดนิ่งไม่ก้าวหน้าอีก
….
ข่าวที่หานฮวงและบรรพชนเต๋าก่อกฎเกณฑ์สูงสุดขึ้นได้แพร่กระจายไปทั่วยุคสมัยไร้สิ้นสุดอย่างรวดเร็ว กฎเกณฑ์สูงสุดไม่อาจซ่อนเร้นไว้ได้ ลอยอยู่เหนือมหามรรคสามพันวิถี ยอดมหามรรคทั้งหมดล้วนมองเห็นได้ทั้งสิ้น
นับตั้งแต่เริ่มต้นยุคสมัยไร้สิ้นสุด การสำเร็จผู้สร้างมรรคาเป็นเป้าหมายของยอดมหามรรคทั้งปวง แต่ไม่ว่าจะพัฒนาโลกมหามรรคไปในรูปแบบใดก็ไม่สามารถก่อกฎเกณฑ์สูงสุดขึ้นมาได้
ผู้สร้างมรรคารายใหม่!
ชั่วขณะนั้น ทั่วยุคสมัยไร้สิ้นสุดเกิดความแตกตื่นฮือฮาขึ้นมา
หานฮวงเป็นถึงเทพมารอนธการ ผู้มีคุณูปการแห่งมหาเคราะห์มรรคายิ่งใหญ่ บรรพชนเต๋าเคยเป็นอันดับหนึ่งแห่งฟ้าบุพกาล ภายหลังหายตัวไปอย่างลึกลับ ไม่คิดเลยว่าวันนี้จะผงาดสู่โลกา ซ้ำยังต้องการพิสูจน์ผู้สร้างมรรคาด้วย เรียกได้ว่าเป็นตำนานเล่าขานได้เลยทีเดียว
ส่วนเรื่องที่ว่าระหว่างหานฮวงกับบรรพชนเต๋าผู้ใดจะแข็งแกร่งกว่ากันนั้นกลายเป็นหัวข้อสนทนาของเหล่าผู้แข็งแกร่งในยามนี้
แน่นอน เรื่องทั้งหมดนี้ผู้ที่อยู่ต่ำกว่าระดับอริยะมหามรรคลงไปไม่มีทางล่วงรู้เลย
ในห้วงดารา บนอุกกาบาตก้อนหนึ่ง
ฉู่เสี่ยวชีและเฉินเจวี๋ยนั่งสมาธิเคียงข้างกัน สายตาของฉู่เสี่ยวชีจ้องมองไปในส่วนลึกของห้วงดาราอยู่ตลอด เขากำลังตรวจสอบหาข้อมูลอยู่
เขาเอ่ยด้วยความสะท้อนใจว่า “เทพมารอนธการหานฮวง บรรพชนเต๋าหงจวิน สองคนนี้คือผู้ใดกัน ระยะนี้มีชื่อเสียงโด่งดังเหลือเกิน”
เฉินเจวี๋ยเอ่ยว่า “อย่าได้คิดมากเลย นั่นคือขอบเขตที่พวกเราไม่มีทางเอื้อมถึง ทุกสิ่งที่เจ้าได้เห็นเป็นเพียงเงาส่ายไหวตามแรงลมเท่านั้น พวกเรายังไม่สามารถออกไปจากแดนลับเชื่อมวิถีได้ด้วยซ้ำ”
ถึงแม้พวกเขาจะสำเร็จเป็นอริยะมหามรรคแล้ว แต่ในแดนลับเชื่อมวิถีมีบุตรแห่งสวรรค์มากมายนัก ต่างมีความก้าวหน้าพอๆ กัน
อีกทั้งนอกเหนือไปจากนี้คือแดนลับเชื่อมวิถีขยายตัวออกไปเรื่อยๆ เริ่มเกิดความขัดแย้งขึ้นระหว่างกลุ่มอำนาจบางส่วนแล้ว
“ก็จริง เหนือคนยังมีคนเหนือฟ้ายังมีฟ้า ก็อย่างเช่นหานเหลียงคนนั้น เด็กน้อยผู้เลิศล้ำของข้า เขาร้ายกาจจริงๆ อีกทั้งไม่ได้อยู่ในแดนลับเชื่อมวิถีด้วย”
ฉู่เสี่ยวชีเอ่ยรำพัน หานเหลียงเป็นตัวตนชั้นแนวหน้าที่ได้รับความโดดเด่นในการแข่งขัน ณ ทะเลสาบมหาวิถี
พอเอ่ยถึงหานเหลียง เฉินเจวี๋ยก็ลืมตาพลางขมวดคิ้ว
ความหงุดหงิดที่ต้องเผชิญกับความพ่ายแพ้เกิดขึ้นเป็นครั้งแรกเมื่อเขาได้พบกับหานเหลียง
เขาข่มกลั้นเพลิงโทสะเอาไว้ในใจ คิดจะหาทางกู้หน้ากลับมาให้ได้ในไม่ช้าก็เร็ว
ในเวลานี้เอง เงาร่างหนึ่งปรากฏขึ้นเบื้องหน้าคนทั้งสอง
เป็นหวงจุนเทียน!
ฉู่เสี่ยวชีตื่นเต้นปรีดา ร้องเรียกออกมา “อาจารย์!”
เขารีบกระโดดขึ้นมาทันที เฉินเจวี๋ยก็ลุกตามเช่นกัน มองไปที่หวงจุนเทียนด้วยความแปลกใจ
ฉู่เสี่ยวชีมีอาจารย์อยู่จริงๆ หรือนี่
หวงจุนเทียนไม่สนใจเฉินเจวี๋ยแต่จ้องมองฉู่เสี่ยวชีก่อนเอ่ยถาม “หลายปีมานี้พวกเจ้ามัวทำอะไรอยู่”
ฉู่เสี่ยวชีผงะไปเล็กน้อย เอ่ยตอบว่า “ฝึกบำเพ็ญขอรับ!”
หวงจุนเทียนแค่นเสียง “พวกเจ้าสองคนมีพรสวรรค์เสียเปล่า แต่กลับไร้ซึ่งเป้าหมาย ชักช้าเสียเวลาไปแล้ว”
ฉู่เสี่ยวชีเกาหัว เฉินเจวี๋ยขมวดคิ้ว รู้สึกค่อนข้างละอายใจขึ้นมาจริงๆ
เขาก็สับสนขึ้นมาเช่นกัน เคยคิดมาก่อนว่าจะก่อตั้งสำนักขึ้นดีหรือไม่ แต่เขาไม่มีความสนใจในการสั่งสอนชี้แนะศิษย์เลยสักนิด
………………………………………………………………