บทที่ 1155 ตู๋กูอู๋ อาณาเขตบุตรแห่งสวรรค์
“อาจารย์ เช่นนั้นท่านว่าพวกเราสมควรตั้งสิ่งใดเป็นเป้าหมายเล่า หรือว่าท่านต้องการให้พวกเราเข้าไปร่วมแก่งแย่งอำนาจ”
ฉู่เสี่ยวชีหัวเราะแหะๆ พลางเอ่ยออกไป เขาคิดว่าชีวิตในตอนนี้ก็ดีมากแล้ว ไม่มีเรื่องราวใดก็ฝึกบำเพ็ญ อยู่ว่างเบื่อหน่ายก็สามารถออกไปท่องโลกกับเฉินเจวี๋ยได้ องอาจสำราญ
หวงจุนเทียนแค่นเสียงเอ่ยว่า “เลอะเลือน พวกเจ้าบรรลุตบะระดับนี้แล้ว อาศัยเพียงมานะบำเพ็ญไม่เพียงพอพอแล้ว จะต้องบุกเบิกสร้างโลกของตนขึ้น ส่วนจะสามารถสร้างโลกได้เป็นรูปเป็นร่างหรือไม่ ก็ขึ้นอยู่กับว่าพวกเจ้ามีความสามารถในการบ่มเพาะมากพอหรือไม่ เมื่อมีสรรพสิ่งมากขึ้นย่อมเกิดความขัดแย้งเพิ่มมากขึ้นตาม อำนาจคือสิ่งที่ไม่อาจขาดไปได้”
ฉู่เสี่ยวชีเงียบไป รู้สึกว่าสมเหตุสมผลแต่ก็รู้สึกว่ามีตรงไหนที่ผิดไปเช่นกัน
เฉินเจวี๋ยอดถามไม่ได้ “ขอบังอาจเรียนถามผู้อาวุโส นอกจากบุกเบิกฟ้าดินขึ้นไม่มีทางเลือกอื่นแล้วจริงๆ น่ะหรือ”
หวงจุนเทียนเหลือบมองเขาแวบหนึ่ง เอ่ยตอบว่า “อาจจะมี แต่ตอนนี้ยังไม่ปรากฏ ปัญหาที่เจ้าถามไม่ต่างจากกำลังถามว่านอกจากบำเพ็ญเพียรแล้วยังมีวิธีอื่นสำหรับเพิ่มความแข็งแกร่งหรือไม่
เฉินเจวี๋ยขมวดคิ้ว
หวงจุนเทียนเอ่ยว่า “แดนลับเชื่อมวิถีกับจะเผชิญเหตุเปลี่ยนแปลง เมื่อเผชิญกับกลุ่มอิทธิพลขนาดใหญ่ พวกเจ้ายากจะต้านรับไหว จงคิดหาทางเพื่อตัวเองเถิด”
พอเอ่ยจบหวงจุนเทียนก็เลือนหายไป
ฉู่เสี่ยวชีและเฉินเจวี๋ยสบตากัน ต่างมองเห็นความฉงนในแววตาของอีกฝ่าย
หวงจุนเทียนมาเพื่อเอ่ยเรื่องนี้หรือ
เฉินเจวี๋ยนั่งลงอีกครั้ง จู่ๆ เขาก็เอ่ยขึ้นว่า “อาจจะถึงเวลาที่พวกเราต้องแยกย้ายกันแล้ว”
ฉู่เสี่ยวชีเบิกตากว้าง กล่าวไปว่า “หากเจ้าอยากตั้งกลุ่มอิทธิพล พวกเราร่วมมือกันได้!”
“พวกเราร่วมมือกันมานานมากพอแล้ว สมควรแยกย้ายกันเสียที เสี่ยวชี ทุกคนล้วนต้องมีเป้าหมายของตัวเอง สิ่งที่เรียกว่าอิสระเสรีออกจะเลื่อนลอยเกินไปแล้ว”
เฉินเจวี๋ยส่ายหน้าเอ่ยออกมา สายตาทอดมองออกไปไกลๆ ดูแน่วแน่ขึ้นมาอย่างยิ่ง ดูเหมือนเขาได้ทำการตัดสินใจบางอย่างไว้ในใจแล้ว
ฉู่เสี่ยวชีอึกอักอยากพูดแต่ก็เงียบไป เขามองเสี้ยวหน้าด้านข้างของเฉินเจวี๋ย ถ้อยคำมากมายติดค้างอยู่ในลำคอของเขา ไม่อาจกล่าวออกไปได้
ก็จริงดังว่า ไม่แยกจากกันยามนี้แล้วจะได้แยกจากกันยามใดเล่า
ต่อให้เป็นสามีภรรยากัน แต่จะมีสักกี่คู่เล่าที่จูงมือก้าวเดินไปด้วยกันนับล้านๆ ปี
….
วันเวลาเคลื่อนคล้อยไป การต่อสู้แก่งแย่งกันทั้งในทางลับทางแจ้งของโลกต่างๆ ล้วนไม่กระทบต่อหานเจวี๋ยเลย
เขาอยู่ภายในอาณาเขตเต๋า ฝึกบำเพ็ญอย่างสงบ เวลาผ่านพ้นไปอย่างรวดเร็ว
ในช่วงที่ผ่านมานี้ ระเบียบกาลเวลาก่อตั้งขึ้นสมบูรณ์แล้ว ผู้เดินทางข้ามผ่านกาลเวลาแทบจะสูญสิ้นไปจนหมด ต้นฝูซังก็กลัวจะทำให้หานเจวี๋ยผิดหวังด้วยเหตุนี้จึงควบคุมให้มิติกาลเวลาเสถียรมั่นคงขึ้น ตบะของต้นฝูซังก็มีความก้าวหน้าตาม นางปิติยินดีนัก ยิ่งทุ่มเทควบคุมมิติเวลาอย่างจริงจังมากขึ้น
พริบตาเดียวก็ผ่านไปสามสิบล้านปีแล้ว
หานเจวี๋ยออกจากอารามเต๋า ออกมารับแสงแดดพลางยืดเส้นยืดสาย
สบายนัก!
ในช่วงที่ผ่านมา ตบะของเขาก้าวหน้าเร็วขึ้นกว่าแต่ก่อน เขาลองจับสัมผัสดูอย่างละเอียด เป็นเพราะอานิสงส์จากการพัฒนาตัวของโลกปฐมยุค
หานหลิงต้องการแย่งชิงสายเลือดของมารร้ายแห่งโลกปฐมยุคตนนั้น ผลคือประสบความล้มเหลวซ้ำแล้วซ้ำเล่า ส่วนมารร้ายตนนั้นก็แข็งแกร่งขึ้นเรื่อยๆ เนื่องจากเขาดึงดูดความสนใจของกลุ่มอิทธิพลต่างๆ ขึ้นมาแล้ว ทำให้บุตรแห่งสวรรค์คนอื่นๆ ที่มีประวัติภูมิหลังต่ำต้อยเริ่มปรากฏตัวขึ้นมาเช่นกัน โลกปฐมยุคจึงไม่ได้สงบสุขเช่นในวันวานอีกต่อไป แต่เกิดคลื่นมรสุมแปรปรวน
ความโกลาหลที่เกิดขึ้นมิใช่เรื่องดีสำหรับกลุ่มอิทธิพลขนาดใหญ่ในโลกปฐมยุคเลย แต่บางครั้งกลับส่งผลดีต่อสวรรค์ยิ่ง โดยเฉพาะกับสิ่งมีชีวิตที่ชาติกำเนิดต่ำต้อย ความโกลาหลนับเป็นโอกาสวาสนาสำหรับพวกเขาเช่นกัน แน่นอน ไม่ว่าจะวุ่นวายขึ้นมาหรือไม่ผู้อ่อนแอก็เป็นเหยื่อของผู้แข็งแกร่งอยู่วันยันค่ำ
หานเจวี๋ยเลือนหายไปจากจุดเดิม มาปรากฏตัวขึ้นในโลกปฐมยุค
ที่นี่คือเขตชายขอบของโลกปฐมยุค ปราณสีเลือดครอบคลุมห้วงอวกาศ เศษซากอุกกาบาตเรียงร้อยก่อตัวเป็นวงแหวนชั้นแล้วชั้นเล่า อุกกาบาตขนาดใหญ่มโหฬารก้อนหนึ่งลอยอยู่ใจกลางวงแหวนที่โคจรอยู่ บนอุกกาบาตที่ตัวอักษรสีเลือดจารึกไว้ ปราณโลหิตในแถบนี้ล้วนแผ่ออกมาจากจารึกอักษรสีเลือดเหล่านี้
เงาร่างหนึ่งนั่งสมาธิอยู่บนอุกกาบาต เป็นบุรุษผมขาวคนหนึ่ง ร่างกายผอมซูบอย่างเห็นได้ชัด ใบหน้าหล่อเหลา แต่เนื่องจากผอมหนังหุ้มกระดูกจึงทำให้ดูอ่อนแออย่างยิ่ง
“เจ้ากลั่นเอาศักยภาพของตนออกมาเช่นนี้จะยืนหยัดได้อีกนานเพียงใดกันเล่า”
เสียงกลั้วหัวเราะเสียงหนึ่งแว่วเข้ามา
บุรุษผมขาวลืมตาขึ้นอย่างอดไม่อยู่
มองเห็นเพียงว่ามีชายหนุ่มคนหนึ่งที่หล่อเหลาอย่างยิ่งปรากฏขึ้นเบื้องหน้าเขา เขาขมวดคิ้วขึ้นมาตามสัญชาตญาณ
หานเจวี๋ยจ้องมองบุรุษผมขาวด้วยสีหน้ายิ้มมิเชิงยิ้ม
บุรุษผมขาวคนนี้ก็คือมารร้ายที่หานหลิงจ้องตาเป็นมัน อีกทั้งเป็นผู้มีพรสวรรค์สุดแข็งแกร่งที่กำเนิดขึ้นในโลกปฐมยุค แข็งแกร่งยิ่งกว่าเหล่าเทพมารมหามรรคเสียอีก
บุรุษผมขาวขมวดคิ้วเอ่ยถาม “เจ้าเป็นผู้ใด”
เขาไม่ได้ลงมือเนื่องจากเขาสัมผัสได้ถึงความคุ้นเคยบางอย่างจากหานเจวี๋ย
หานเจวี๋ยนั่งลงเบื้องหน้าเขา เอ่ยด้วยรอยยิ้ม “ข้าเป็นใครไม่สำคัญ ที่สำคัญคือเจ้าเผชิญปัญหายุ่งยากเข้าแล้ว หากนิ่งทื่ออยู่เช่นนี้ต่อไปไม่ช้าก็เร็วเจ้าจะตกอยู่ในทางตัน”
ทันใดนั้นบุรุษผมขาวพลันตระหนักถึงบางสิ่งขึ้นมา มีสีหน้าตื่นเต้นพลางเอ่ยเสียงสั่นว่า “ท่านคือ…ท่านปู่เซียนหรือ”
เขาตื่นเต้นยิ่งนัก
หานเจวี๋ยเพียงยิ้มให้แต่ไม่ตอบรับและไม่ได้ปฏิเสธ
คุณสมบัติของบุรุษผมขาวเป็นอันดับหนึ่งในโลกปฐมยุค ได้รับการอำนวยพรจากฟ้าดิน หานเจวี๋ยจะไม่รับรู้ถึงได้อย่างไรเล่า เพียงแต่หานเจวี๋ยไม่ได้มาคอยดูแลเป็นพิเศษเท่านั้น เขาเลียนอย่างจากอาณาเขตฟ้าบุพกาลของมรรคาสวรรค์ ทุกคนที่มีคุณสมบัติเลิศล้ำเหนือชั้นต่างได้เข้าสู่อาณาเขตฟ้าบุพกาล ด้วยเหตุนี้ตัวเขาจึงได้รู้จักกับเต้าจื้อจุนและจ้าวเซวียนหยวน
แต่เกณฑ์การผ่านเข้าสู่อาณาเขตบุตรแห่งสวรรค์ของโลกปฐมยุคกลับสูงอย่างยิ่ง ตอนนี้มีเพียงบุรุษผมขาวคนเดียวที่ผ่านเข้ามาถึง
คนผู้นี้มีนามว่าตู๋กูอู๋ กำพร้ามาตั้งแต่เล็ก โชคดีที่ตื่นรู้ในสายเลือด ก้าวกระโดดสู่อาณาเขตบุตรแห่งสวรรค์ ในอาณาเขตบุตรแห่งสวรรค์มีเสี้ยวเจตจำนงของหานเจวี๋ยอยู่ ได้สอนการฝึกบำเพ็ญให้เขาถึงทำให้สามารถโลดแล่นสร้างชื่อเสียงมาถึงปัจจุบันได้
หากปราศจากหานเจวี๋ย ต่อให้คุณสมบัติของตู๋กูอู๋จะแข็งแกร่งปานใด แต่จะพึ่งพาการฝึกบำเพ็ญด้วยตัวเองมาจนถึงทุกวันนี้ได้หรือ
เป็นเพราะโอกาสวาสนาในอาณาเขตบุตรแห่งสวรรค์ ตู๋กูอู๋ถึงได้หมิ่นแคลนกลุ่มอิทธิพลอื่นๆ
ตู๋กูอู๋โขกศีรษะให้แก่หานเจวี๋ยด้วยความตื้นตัน
หานเจวี๋ยเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “เพียงได้พบตัว เจ้าก็รู้เลยหรือว่าเป็นข้า”
“กลิ่นอายของท่านลึกล้ำสูงส่ง ทอดสายตาไปทั่วโลกปฐมยุคนี้หาได้มีผู้ใดที่มอบความรู้สึกเช่นนี้แก่ข้าได้ ท่านปู่เซียน ข้าสามารถเรียกท่านว่าอาจารย์ได้หรือไม่ขอรับ”
ตู๋กูอู๋เอ่ยถามด้วยความระมัดระวัง เขาเป็นยอดมหามรรคแล้ว ทอดสายตามองไปทั่วโลกปฐมยุคมีเพียงไม่กี่คนที่จะสามารถต่อกรกับเขาแบบตัวต่อตัวได้ แต่เมื่ออยู่ต่อหน้าหานเจวี๋ย เขาไม่มีแม้แต่ความคิดจะต่อต้านเป็นปรปักษ์เลย
ต้องเป็นคนผู้นั้นที่อยู่ในส่วนลึกของความทรงจำแน่นอน!
หานเจวี๋ยเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “ข้าไม่ได้รับศิษย์มานานมากแล้ว”
“ท่านอาจารย์ผู้สูงส่ง โปรดรับการคารวะจากศิษย์ด้วยเถิดขอรับ!”
“เจ้าทราบถึงตัวตนของข้าหรือไม่”
“ไม่ทราบขอรับ”
“จักรพรรดิที่ต้องการช่วงชิงสายเลือดของเจ้าก็คือธิดาของข้า เทพมารมหามรรคและเผ่าเอกาที่กดขี่ข่มเหงเจ้าก็ถือกำเนิดขึ้นจากข้า”
“อะไรนะขอรับ”
ตู๋กูอู๋ตกใจหน้าถอดสี รู้สึกไม่อยากจะเชื่อ
หานเจวี๋ยจ้องมองเขาด้วยรอยยิ้มละไมเห็นเพียงว่าสีหน้าของเขาเดี๋ยวหมองเดี๋ยวคล้ำสลับกันไป อารมณ์ซับซ้อนอย่างยิ่ง
[ตู๋กูอู๋เกิดความประทับใจในตัวท่าน ระดับความประทับใจในขณะนี้คือ 6 ดาว]
ตู๋กูอู๋เงยหน้ามองหานเจวี๋ย เอ่ยว่า “อาจารย์ ท่านไม่มีทางทำร้ายข้าแน่นอน สามารถสร้างเทพมารมหามรรคและเผ่าเอกาขึ้นมา ท่านคงจะเป็นเจ้าของโลกปฐมยุค เป็นตัวตนสูงสุด ข้าคิดทบทวนดูแล้ว หากท่านก็หมายตาคุณสมบัติของข้าเช่นกัน ในเมื่อบุตรสาวท่านสามารถคิดหาทางช่วงชิงไปให้ได้ แล้วท่านจะไม่มีวิธีได้อย่างไร เหตุผลที่ท่านไม่เข้าขัดขวางก็เพราะอยากฝึกฝนประสบการณ์ให้ข้ากระมัง”
หานเจวี๋ยเอ่ยว่า “บ่วงกรรมบนโลกยากจะคาดการณ์ได้ ไม่ว่าจะเป็นศัตรูหรือสหายคู่ใจก็ล้วนมีโอกาสเปลี่ยนแปลงสถานะไปทั้งสิ้น เจ้าออกท่องโลกเพียงมาลำพังมาเนิ่นนานปานนี้ น่าจะตระหนักรู้ถึงปัญหาของคนได้แล้ว อันที่จริงแล้วเจ้าไม่จำเป็นต้องอยู่ในสภาพนี้เลย”
แรกเริ่มมีเทพมารมหามรรคอยากชักจูงตู๋กูอู๋มาเข้าร่วม แต่ตู๋กูอู๋เหยียดหยามดูแคลน พูดจาก้าวร้าวทำให้อีกฝ่ายโมโหคับข้อง จึงตั้งใจปล่อยข่าวลือออกไป ก่อให้เทพมารมหามรรคทั้งหมดเคืองขุ่นในตัวตู๋กูอู๋ ตู๋กูอู๋เองก็คร้านจะอธิบายเพราะเขามีความกระหายในการต่อสู้
เมื่อเวลาผ่านไปนานเข้า ตู๋กูอู๋ก็กลายเป็นศัตรูของทั้งโลกปฐมยุค
ตู๋กูอู๋เงียบไป เมื่ออยู่ต่อหน้าหานเจวี๋ยก็คลายปราการป้องกันลง ถอนหายใจออกมา
………………………………………………………………