บทที่ 1166 อหิเทวกำเนิด
“ท่านปู่ นี่คือพี่น้องที่แสนดีของข้า เฉินเจวี๋ย”
ฉู่เสี่ยวชีแนะนำต่อหานเจวี๋ย เฉินเจวี๋ยได้สติกลับมา คารวะหานเจวี๋ย
หานเจวี๋ยกล่าวว่า “ข้ารู้จักเขา”
ฉู่เสี่ยวชีผงะไป ร้องในใจว่าแย่แล้ว
เป็นข้าที่อยากวางมาด แต่ไฉนกลายเป็นเฉินเจวี๋ยได้โอกาสวางมาดเสียเล่า
เฉินเจวี๋ยฟังแล้วยกยิ้มมุมปากขึ้นมาอย่างไม่อาจควบคุมได้
หานเจวี๋ยเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “พรสวรรค์ของเจ้าก็เป็นข้าที่ประทานให้”
สายตาเขามองตรงไปยังร่างของเฉินเจวี๋ย ส่วนวาจาเขาก็ทำให้เฉินเจวี๋ยตะลึงงัน
ฉู่เสี่ยวชีก็ตะลึงไปเช่นกัน รีบเอ่ยถาม “หมายความว่าอย่างไรขอรับ”
หานเจวี๋ยเอ่ยยิ้มๆ “เมื่อเวลาผ่านไประยะหนึ่งข้าล้วนจะประทานพรสวรรค์ให้แก่เหล่าลูกหลานบางส่วนเสมอ พรสวรรค์ของเขาไม่ได้ติดตัวมาแต่กำเนิด แต่ตื่นขึ้นมาในช่วงที่เขาเยาว์วัย”
เฉินเจวี๋ยมีสีหน้าตกใจ ร่างกายสั่นสะท้านอย่างไม่อาจควบคุมได้
ฉู่เสี่ยวชีนึกถึงพลังแห่งกรรมที่เพิ่งตื่นรู้เมื่อไม่นานมานี้ หรือว่า…
“เจ้าเป็นใครกันแน่” เฉินเจวี๋ยจ้องมองหานเจวี๋ย เอ่ยถามเสียงแคร่งเครียด
วาจาของหานเจวี๋ยทำลายความภาคภูมิใจของเขา ทำให้เขายากจะควบคุมตัวเองได้
หานเจวี๋ยยิ้มให้แล้วตอบว่า “เจ้าเป็นเชื้อสายรุ่นหลังของข้า เจ้าคิดว่าข้าคือผู้ใดเล่า”
เฉินเจวี๋ยหมดท่าไปทันที คุกเข่าลงด้วยความหวาดหวั่น เอ่ยเสียงสั่น “เทพ…เทพผู้สร้าง!”
เทพผู้สร้างหรือ!
ฉู่เสี่ยวชีเบิกตากว้าง แสดงสีหน้าราวกับไม่อยากจะเชื่อ เขาเป็นยอดมหามรรคแล้วย่อมเคยได้ยินตำนานเทพผู้สร้างมาก่อน นั่นคือเทวตำนานโบราณในการบุกเบิกยุคสมัยไร้สิ้นสุด!
สุดยอดผู้แข็งแกร่งของโลกา!
เฉินเจวี๋ยหันไปมองฉู่เสี่ยวชี เอ่ยไปว่า “ข้าไม่เคยบอกเจ้ามาก่อน ความจริงข้าคือเชื้อสายตระกูลหาน ตระกูลหานอันเป็นต้นตระกูลของเทพมารอนธการหานฮวงและจักรพรรดิแห่งวังจักรพรรดิมหาโชค ในอดีตข้าได้รับการเกื้อกูลจากจักรพรรดิ ดังนั้นถึงได้รุ่งโรจน์ขึ้นเร็วถึงเพียงนั้น”
สภาพอารมณ์ของเขาก็ไม่คงที่อย่างยิ่ง
ฉู่เสี่ยวชีมึนงงแล้ว
ที่แท้เจ้าต่างหากที่เป็นลูกหลานตัวจริง!
หานเจวี๋ยเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “ในเมื่อมาแล้ว เช่นนั้นข้าก็จะเทศนาธรรมแก่พวกเจ้า มอบโอกาสวาสนาให้พวกเจ้าสักครั้ง จากกันวันนี้หากได้พบกันในวันหน้า พวกเจ้าคงปีนป่ายขึ้นไปถึงเส้นทางสูงสุดแล้ว ข้าจะทอดมองพวกเจ้าจากปลายทางของเส้นทางบำเพ็ญ รอให้พวกเจ้าพุ่งทะยานขึ้นมา”
วาจานี้ทำให้เลือดลมของทั้งสองเดือดพล่านขึ้นมา
พวกเขายังไม่ทันอ้าปากเอ่ยวาจา หานเจวี๋ยก็เริ่มเทศนาธรรมชักนำพวกเขาเข้าสู่สภาวะตระหนักมรรคทันที
ไม่ทราบว่าเวลาผ่านไปนานเพียงใด ทั้งสองตื่นขึ้นมาแทบจะในเวลาเดียวกัน
ทั้งสองมองซ้ายมองขวา ไม่เห็นเงาร่างหานเจวี๋ยแล้ว
ฉู่เสี่ยวชีจับกลิ่นอายหานเจวี๋ยไม่ได้อีกต่อไป เขาตกอยู่ในความสับสนเลื่อนลอย นึกย้อนถึงเรื่องราวระหว่างตนและหานเจวี๋ย ทุกเหตุการณ์ดั่งความฝัน
เฉินเจวี๋ยกล่าวอย่างสะท้อนใจ “ไม่คิดเลยว่าท่านปู่ของเจ้าก็คือเทพผู้สร้างในตำนานเล่าขานอันเลื่อนลอย ครั้งนี้เป็นโอกาสวาสนาอันยิ่งใหญ่อย่างแท้จริง ถึงแม้ข้าจะเป็นเชื้อสายของเขา แต่หากไม่ได้รับการแนะนำจากเจ้า ชีวิตนี้ข้าคงยากจะได้พบพานเขา”
อารมณ์ของเขาซับซ้อนยิ่ง
ปฐมบรรพชนของตนอบรมเลี้ยงดูฉู่เสี่ยวชีด้วยตัวเอง นี่หมายความว่าอย่างไรเล่า แปลว่าในสายตาของเทพผู้สร้างฉู่เสี่ยวชีมีศักยภาพมากกว่าเช่นนั้นหรือ
ฉู่เสี่ยวชีมองเขา มีความรู้สึกซับซ้อนเช่นกัน
ไปๆ มาๆ เขาต่างหากที่เป็นคนนอก
“เล่าเรื่องตระกูลหานของเจ้าให้ข้าฟังได้หรือไม่ ถึงแม้ในแดนลับเชื่อมวิถีจะมีตำนานเล่าขานของตระกูลหานอยู่บางส่วน แต่ข้าไม่เคยประสบพบพาน ทราบเพียงว่าตระกูลหานเป็นตระกูลที่ลึกลับและแข็งแกร่งอย่างยิ่ง วิถีดวงชะตาเหนือล้ำกว่าเผ่าพันธุ์ต่างๆ” ฉู่เสี่ยวชีเอ่ยถาม เขาต้องการบังคับเปลี่ยนหัวข้อสนทนาด้วยเกรงว่าเฉินเจวี๋ยจะวางมาดใส่ตน
เฉินเจวี๋ยก็ไม่ปิดบังอำพราง บอกเล่าเรื่องราวทั้งหมดของตระกูลหานที่ตนทราบออกมาจนหมดสิ้น แรกเริ่มฉู่เสี่ยวชีเพียงอยากรู้อยากเห็นเท่านั้น แต่พอฟังไปเรื่อยๆ ก็เริ่มตกตะลึง
ไฉนตระกูลหานถึงมีผู้แข็งแกร่งมากมายปานนั้น
หนำซ้ำส่วนใหญ่ยังมีชื่อเสียงเลื่องลือด้วย!
จู่ๆ ฉู่เสี่ยวชีก็บังเกิดความคิดหนึ่งขึ้นมา
หรือว่าที่อาจารย์ต้องตาเขาจะเป็นเพราะอยากผูกสัมพันธ์กับตระกูลหาน
….
หานเจวี๋ยกลับมายังอาณาเขตเต๋าแห่งที่สาม ร่างแยกเหล่านั้นยังคงอบรมสั่งสอนเหล่าเชื้อสายที่ได้รับสวรรค์ประทานโชคอยู่ที่โลกภายนอก สาเหตุที่กลับมาเป็นเพราะเขารับรู้ถึงบางสิ่งได้
เขานั่งลงบนแท่นบัวดำ เริ่มทำนายอนาคตดู
อนาคตมากมายที่แตกกิ่งก้านออกไปหลายสาขาปรากฏต่อสายตาของเขา ความทรงจำเหล่านี้มหาศาลอย่างยิ่ง ต่อให้เป็นอริยะก็ยากจะทนรับได้
หานเจวี๋ยเพ่งสายตาเล็กน้อย อนาคตทั้งหมดแตกกระจาย เศษซากแห่งห้วงกาลเวลารวมตัวกลายเป็นเส้นตรงสายหนึ่ง
ห้วงเวลาต้นกำเนิด!
ในอดีตเขาได้ส่งร่างแยกร่างหนึ่งไปตรวจสอบห้วงเวลาต้นกำเนิด ถึงแม้จะหาห้วงเวลาต้นกำเนิดพบ แต่กลับค้นพบว่าในห้วงเวลาต้นกำเนิดซุกซ่อนไว้ลึกล้ำเกินไป ถูกกฎเกณ์พื้นฐานปิดกั้น แม้จะเป็นผู้สร้างมรรคาก็รับรู้ได้ยาก
จี้เซียนเสินโชคดีนัก บางทีอาจจะได้รับการคัดเลือกอย่างหนึ่งจากห้วงเวลาต้นกำเนิด
ครั้งนี้ ห้วงเวลาต้นกำเนิดเผยตัวออกมาแล้ว ถึงแม้จะยังอยู่ภายใต้กฎเกณฑ์พื้นฐาน แต่กลับต่างไปจากในอดีต เมื่อก่อนมันเป็นเพียงห้วงมิติเลื่อนลอยกระจัดกระจาย แต่ยามนี้กลับรวมตัวเป็นสายธารแห่งห้วงกาลเวลาอย่างแท้จริงแล้ว
การเปลี่ยนแปลงนี้ทำให้หานเจวี๋ยรู้สึกไม่สบายใจ ไม่สบายใจเพราะไม่อาจหยั่งรู้ได้
หากเกิดความเปลี่ยนแปลงขึ้นภายในดินแดนเวิ้งว้างจริง ตัวตนที่ดูเหมือนไร้พ่ายอย่างเขาก็จะกลับไปอยู่ในสถานะที่ไม่อาจมีอำนาจเหนือทุกสิ่งได้เช่นเดิม
ก็เหมือนกับเทพมารอนธการรุ่นก่อนและเจ้านวฟ้าบุพกาล หากมิใช่เพราะพลังของดินแดนเวิ้งว้างเกิดความเปลี่ยนแปลงไปอย่างต่อเนื่อง สถานะไร้พ่ายของพวกเขาก็อาจจะไม่ด้อยไปกว่าอำนาจควบคุมของหานเจวี๋ยในยุคสมัยนี้เลย
หานเจวี๋ยสังเกตการณ์ห้วงเวลาต้นกำเนิด เห็นเพียงว่าห้วงเวลาต้นกำเนิดเริ่มเปลี่ยนรูปร่าง จากเส้นตรงก็เริ่มบิดม้วน พลังแห่งกาลเวลากระจายออกไป เส้นตรงควบรวมขยายใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ ไม่นานนัก ห้วงเวลาต้นกำเนิดเริ่มดูคล้ายงูตัวหนึ่ง ปลายด้านหนึ่งพองขยายขึ้นมาดูเหมือนหัวงู ส่วนปลายอีกด้านเร็วแหลมลงเหมือนหางงู
ชื่อของมันพลันผุดขึ้นมาในหัวของหานเจวี๋ยอย่างน่าประหลาด
อหิเทวกำเนิด!
ส่วนหัวงูของสายใยต้นกำเนิดหันเข้าหาหานเจวี๋ย มีดวงตาคู่หนึ่งปรากฏขึ้นมา เป็นดวงตาที่เย็นชาอย่างยิ่ง
มันจ้องมองหานเจวี๋ยอยู่เช่นนั้น
หานเจวี๋ยขมวดคิ้ว เขากำลังลังเลว่าจะกำจัดเจ้าสิ่งนี้ทิ้งดีหรือไม่ เขาสามารถกำจัดอีกฝ่ายทิ้งได้ในชั่วความคิดเดียว แต่ห้วงเวลาต้นกำเนิดก็สามารถควบรวมตัวขึ้นมาอีกครั้งได้
เขาเริ่มทำนายถึงสิ่งนี้ แต่ทำอย่างไรก็ทำนายถึงไม่ได้
‘ข้าอยากรู้ว่าอหิเทวกำเนิดเกิดขึ้นได้อย่างไร’
หานเจวี๋ยถามในใจ
[จำเป็นต้องหักอายุขัยหนึ่งร้อยล้านล้านล้านล้านปี จะดำเนินการต่อหรือไม่]
แพงขนาดนี้เชียว!
ไม่ธรรมดาเลยจริงๆ
หากเจวี๋ยเลือกดำเนินการต่อเงียบๆ
จิตรับรู้ของเขาถูกชักนำเข้าสู่ภาพลวงตาวิวัฒนาการ
เมื่อเขาลืมตาขึ้นก็พบว่าตนยืนอยู่หน้าโถงตำหนักพ้นนิวรณ์ อาณาเขตเต๋าที่มหาเทวาพ้นนิวรณ์ก่อตั้งขึ้น
ในโถงตำหนักพ้นนิวรณ์มีเงาร่างมากมายเรียงรายอยู่ เนื่องแน่นขนัด อย่างน้อยก็หนึ่งแสนร่าง ในบรรดานั้นมีผู้สร้างมรรคาปะปนอยู่ทั่วไป ยังมีเหล่าบุตรธิดาและลูกหลานของเขาด้วย ฉู่เสี่ยวชี หรูเต้าหลง เฉินเจวี๋ยและหานเหลียงก็อยู่เช่นกัน
ทั้งหมดล้วนมองขึ้นไปด้านบน มองความเวิ้งว้างขาวโพลนนั้น
ตำแหน่งนั้นคืออาณาเขตเอกเทศที่หานเจวี๋ยบุกเบิกขึ้น เขาทิ้งโอกาสวาสนาเอาไว้
นี่มันเกิดอะไรขึ้น
หรือข้ากลายเป็นศัตรูของสรรพสิ่งอีกแล้ว
หานเจวี๋ยขมวดคิ้ว อดทนเฝ้ามองต่อไป
มองเห็นรอยร้าวสายหนึ่งปรากฏขึ้นเหนือตำหนักพ้นนิวรณ์ อัสนีสีชาดไหวแปลบปลาบตัดสลับกัน กลิ่นอายอันน่าหวาดหวั่นนั้นเพียงพอจะทำให้ผู้สร้างมรรคาสลายเป็นเถ้าธุลีได้
เงาร่างหนึ่งโผล่ออกมาจากรอยร้าว มิใช่หานเจวี๋ย เป็นบุรุษผมขาวสีหน้าเย็นชาคนหนึ่ง ปล่อยผมแผ่สยาย สวมเสื้อคลุมสีแดงฉาน มีรูปสลักมารร้ายหน้าตาแปลกประหลาดน่าหวาดกลัวสามชิ้นลอยอยู่ด้านหลัง ทอดมองทุกตัวตนด้านล่างอย่างเหยียดหยัน
หานเจวี๋ยขมวดคิ้วแน่นกว่าเดิม
นี่คือผู้ใดกัน?
เหตุใดไม่เคยพบมาก่อนเลยเล่า
“เจ้าทำอันใดกับเทพผู้สร้าง”
มหาเทวาพ้นนิวรณ์เอ่ยถามเสียงเคร่งเครียด น้ำเสียงเปี่ยมความระแวดระวัง
………………………………………………………………