บทที่ 1167 เจ้าฟ้าบุพกาลยอมสยบ
“เทพผู้สร้างหรือ เขาลาโลกไปนานแล้ว!”
ชายผมขาวแค่นเสียงเย็นชา แสดงสีหน้าหมิ่นแคลน เขายกสองมือขึ้น รูปสลักเทพมารทั้งสามที่อยู่ด้านหลังลอยสูงขึ้นมา ขยายร่างใหญ่โตขึ้นยิ่งกว่าตำหนักพ้นนิวรณ์อย่างรวดเร็ว
พอได้ยินวาจาเขา ผู้ทรงพลังทั้งหมดที่อยู่เบื้องล่างต่างแตกตื่นฮือฮา ตกใจโกรธเกรี้ยวปนเปกันไป ล้วนนึกว่าชายผมขาวสังหารเทพผู้สร้างไปแล้ว เหล่าบุตรธิดาและเชื้อสายของหานเจวี๋ยชิงออกโรงก่อน จากนั้นเหล่าผู้ทรงพลังทั้งหมดก็ลงมือตามมาติดๆ
ยอดมหามรรคเกินหนึ่งแสนรายลงมือพร้อมกันจะน่ากลัวถึงเพียงใดเล่า แสงเจิดจ้าพลันสาดส่อง ทำให้ดินแดนเวิ้งว้างมืดสลัวลง
ภาพลวงตาวิวัฒนาการสิ้นสุดลง
จิตรับรู้ของหานเจวี๋ยกลับสู่ความเป็นจริง
‘ชายผมขาวคนนั้นเป็นใคร’ หานเจวี๋ยสอบถามอยู่ในใจ
[ไม่สามารถวิวัฒนาการถึงบ่วงกรรมของเขาได้ อาจจะไม่มีตัวตนอยู่หรือมียอดสมบัติคุ้มกาย]
แม้แต่อหิเทวกำเนิดก็ยังทำนายถึงได้ แต่กลับทำนายถึงชายผมขาวคนนั้นไม่ได้ แปลว่าชายผมขาวมิใช่อหิเทวกำเนิด
เช่นนั้นเป็นผู้ใดอีกเล่า
อหิเทวกำเนิดบังเกิดขึ้นเพื่อชายผมขาวผู้นั้นหรือ
หานเจวี๋ยขมวดคิ้วใคร่ครวญ
เขาเอ่ยถามในใจอีกครั้ง ‘อหิเทวกำเนิดจะเป็นภัยคุกคามต่อข้าหรือไม่’
[จำเป็นต้องหักอายุขัยหนึ่งร้อยล้านล้านล้านล้านปี จะดำเนินการต่อหรือไม่]
ดำเนินการต่อ!
[ไม่เป็นภัย อหิเทวกำเนิดไม่มีนิสัยก้าวร้าวเป็นภัย เว้นแต่จะถูกคนบงการควบคุม]
ถูกคนบงการควบคุม…
หานเจวี๋ยเลือนหายไปจากบนแท่นบัวดำ ปรากฏตัวขึ้นใต้กฎเกณฑ์พื้นฐาน อยู่เบื้องหน้าอหิเทวกำเนิด
อหิเทวกำเนิดมองหานเจวี๋ย ไม่ตระหนกลนลานเลย กลับเป็นฝ่ายขยับเข้าหาเขา
หัวงูของมันดูน่ากลัวและเย็นชา แต่หานเจวี๋ยรับรู้ได้อย่างชัดเจนว่ามันอยากจะใกล้ชิดกับตน
หานเจวี๋ยยื่นมือออกไปลูบหัวมันของมัน ทันทีที่สัมผัส จิตใจที่สงบนิ่งดั่งบ่อน้ำของหานเจวี๋ยพลันเริ่มสั่นไหวเกิดระลอกคลื่น
สายสัมผัสพิเศษบางอย่างระหว่างพวกเขาพลันก่อกำเนิดขึ้น
‘หากข้าควบคุมอหิเทวกำเนิดไว้จะไม่เป็นผลดีกว่าหรือ’
หานเจวี๋ยคิดเงียบๆ จำเป็นต้องป้องกันชายผมขาวที่เห็นในภาพลวงตาวิวัฒนาการเอาไว้
หานเจวี๋ยดูดดึงอหิเทวกำเนิดเข้าสู่มือ มันดูคล้ายงูน้อยตัวหนึ่งที่สุกใสพร่างพราวดั่งแก้วผลึก
จากนั้นเขาก็กลับมายังอารามเต๋า
“ต่อไปเจ้าก็อยู่กับข้าเถอะ” หานเจวี๋ยเอ่ยยิ้มๆ
อหิเทวกำเนิดเหาะออกจากฝ่ามือเขา ขยายยาวขึ้นสองเมตร เริ่มเลื้อยโอบพันเขา ทำตัวเหมือนดวงจิตประหลาดในกาลก่อน ใกล้ชิดสนิทสนมกับเขา
หานเจวี๋ยขบขัน ไม่คิดเลยว่าห้วงเวลาต้นกำเนิดจะกลายเป็นสัตว์เลี้ยงของเขา
เขาทอดสายตามองเจ้านวฟ้าบุพกาลที่อยู่ตรงมุมห้อง
เจ้านวฟ้าบุพกาลยังคงไม่ถูกสยบทาส ตอนนี้หานเจวี๋ยกำลังรอคอยให้สยบเขาได้สำเร็จอยู่ บางทีอาจจะได้รู้ตัวตนของชายผมขาวผ่านคำบอกเล่าของเจ้านวฟ้าบุพกาลก็เป็นได้
เขาตรวจสอบดูทั่วยุคสมัยไร้สิ้นสุดแล้ว ล้วนไม่พบเห็นชายผมขาวคนนั้นเลย มีความเป็นไปได้อีกกรณีคือ ชายผมขาวยังไม่ถือกำเนิดขึ้น
ในเมื่อหาตัวอีกฝ่ายไม่พบ หานเจวี๋ยก็ทำได้เพียงเร่งแข็งแกร่งขึ้นโดยเร็ว
คิดแล้วหานเจวี๋ยก็หลับตาลง
หลายร้อยปีให้หลัง ร่างแยกของเขาทยอยกลับมาแล้ว ส่วนเชื้อสายที่ได้รับสวรรค์ประทานโชคเหล่านั้นล้วนสามารถยืนหยัดตามลำพังได้แล้ว
….
วันเวลาผันผ่าน ยุคสมัยเปลี่ยนแปลง
ผ่านมาอีกห้าร้อยล้านปีแล้ว
เมื่อหานเจวี๋ยอายุครบหนึ่งพันแปดร้อยล้านปีบริบูรณ์ นามของเขาก็สูญสิ้นไปจากความทรงจำของสรรพสิ่ง มีเพียงผู้ที่บรรลุถึงยอดมหามรรคแล้วถึงจะได้ยินเรื่องการมีอยู่ของตัวเขา
เขาสะสมสวรรค์ประทานโชคได้ห้าสิบครั้งแล้ว ส่วนรางวัลทางเลือกจะได้รับทุกๆ หนึ่งพันล้านปี
หานเจวี๋ยลืมตาขึ้น ยิ้มออกมาอย่างพอใจ
ช่วงที่ผ่านมาตบะของเขาเพิ่มขึ้นอีกไม่น้อยเลย ความรู้สึกที่แข็งแกร่งขึ้นเรื่อยๆ เช่นนี้ช่างงดงามนัก
โลกปฐมยุคมีกฎเกณฑ์สูงสุดเพิ่มขึ้นอีกสองสาย ยังคงถูกเก็บซ่อนเอาไว้เช่นเคย แต่บรรดาผู้ทรงพลังภายในโลกปฐมยุคล้วนรับรู้ได้ถึงพัฒนาการของโลกปฐมยุค คาดเดากันได้ว่าหานเจวี๋ยแข็งแกร่งขึ้นอีกแล้ว
ภายในโลกปฐมยุคก็มีโลกมหามรรคปรากฏขึ้นแล้วเช่นกัน เนื่องจากโลกปฐมยุคเป็นโลกของเทพผู้สร้าง ดังนั้นจึง สามารถรองรับโลกมหามรรคได้ ไม่เกิดสถานการณ์กลืนกินโลกมหามรรคเช่นฟ้าบุพกาลในอดีตกาลอีก
หลังจากมีคนบุกเบิกโลกมหามรรคขึ้นสำเร็จ ผู้ทรงพลังที่เหลือก็ไม่รู้สึกกดดันอีกต่อไป ข่าวที่ว่าโลกปฐมยุคสามารถรองรับโลกมหามรรคอื่นๆ ได้แพร่กระจายออกไปอย่างรวดเร็ว ดึงดูดให้มีผู้ทรงพลังมาเข้าร่วมมากยิ่งขึ้น
หานเจวี๋ยทอดสายตามองเงาร่างหนึ่งที่นั่งสมาธิอยู่ด้านข้าง เป็นเจ้านวฟ้าบุพกาล
สยบทาสเจ้านวฟ้าบุพกาลสำเร็จแล้ว กลายเป็นสิ่งมีชีวิตปฐมยุค
เมื่อรับรู้ได้ถึงสายตาของหานเจวี๋ย เจ้านวฟ้าบุพกาลลืมตาขึ้นมา เดินมาเบื้องหน้าหานเจวี๋ยแล้วทำความเคารพอย่างนอบน้อม
หานเจวี๋ยให้เขานั่งลง อหิเทวกำเนิดเข้ามาใกล้ด้วยความอยากรู้อยากเห็น
“จิตมารของเจ้าอยู่ที่ใด” หานเจวี๋ยเอ่ยถาม
เจ้านวฟ้าบุพกาลตอบว่า “ข้าก็ไม่ทราบแน่ชัด ยามที่ข้าตัดแบ่งเขาออกไป ได้สะบั้นสายใยเชื่อมโยงไปด้วย ครั้งสุดท้ายที่ข้าติดต่อกับเขาก็คือช่วงที่วางแผนร้ายต่อท่าน ตอนนั้นข้าเตรียมใจไว้แล้วว่าตนจะพ่ายแพ้ ดังนั้นจึงตัดขาดกับเขาอย่างสมบูรณ์ แม้แต่ข้าเองก็ไม่ทราบแน่ชัดว่าเขาอยู่ที่ใดหรือเขากำลังทำอะไรอยู่”
ดูเหมือนจุดจบของจอมเทวาวินาศลับเลือนพิสุทธิ์จะเป็นสัญญาณเตือนภัยแก่เจ้านวฟ้าบุพกาล เจ้านวฟ้าบุพกาลหาใช่คนตาบอดไม่ เขาประเมินสถานการณ์อย่างเลวร้ายที่สุดเอาไว้แล้ว
หานเจวี๋ยเกิดความเลื่อมใสในตัวอดีตผู้ไร้พ่ายเบื้องหน้านี้เล็กน้อย เช่นนี้ก็นับได้ว่าเป็นศัตรูคนแรกที่รอดพ้นไปจากคุกสวรรค์ปฐมยุคและยังคงกลับมาล้างแค้นเขาได้เช่นกัน
“เจ้ารู้จักคนผู้นี้หรือไม่”
หานเจวี๋ยโบกมือขวาคราหนึ่ง แสดงภาพของชายชุดขาวออกมา
เจ้านวฟ้าบุพกาลขมวดคิ้วกล่าวไปว่า “ไม่รู้จักขอรับ แต่ข้าเคยพบเขามาก่อน ในอดีตกาลเมื่อนานแสนนานมาแล้ว ในช่วงที่ข้าตระหนักเข้าใจในกฎเกณฑ์ เคยพบเขาในฝันมาก่อน เขาเข้าแทนที่ข้า เผชิญหน้ากับการต่อต้านของสรรพสิ่ง ความฝันเช่นนี้มิได้เกิดขึ้นเพียงครั้งเดียว ข้าก็เคยหาทางป้องกันเอาไว้ล่วงหน้าเช่นกัน ด้วยเหตุนี้จึงสะกดข่มความก้าวหน้าของผู้สร้างมรรคาทุกรายไว้ แต่เมื่อเวลาผ่านเนิ่นนานไปนับยุคสมัยไม่ถ้วน ข้าก็ไม่เคยได้พบเห็นอีกเลย ดังนั้นจึงปล่อยวางเรื่องนี้ไปเสีย”
เจ้านวฟ้าบุพกาลก็เคยฝันเห็นอย่างนั้นหรือ
หานเจวี๋ยเริ่มสนใจขึ้นมาแล้ว
หรือว่าผู้ไร้พ่ายทุกคนล้วนจะต้องนิมิตเห็นชายผมขาวคนนี้
หานเจวี๋ยสอบถามเรื่องราวบางส่วนอีกเล็กน้อย เจ้านวฟ้าบุพกาลบอกเล่าทุกสิ่งที่ทราบออกมา
ความเข้าใจที่เจ้านวฟ้าบุพกาลมีต่อดินแดนเวิ้งว้างยังไม่เท่าหานเจวี๋ยเลย ถึงขั้นที่เขาไม่รู้จักด้วยซ้ำว่าสิ่งใดคือกฎเกณฑ์พื้นฐาน
คนผู้นี้มีตบะระดับผู้สร้างมรรคาระยะสมบูรณ์แล้ว แต่ยังห่างไกลจากเทพผู้สร้างและไม่มีทางบรรลุถึงได้
หานเจวี๋ยเอ่ยว่า “เจ้าออกไปเถอะ นับจากนี้ไปเจ้าจะทำสิ่งใดก็ได้ทั้งสิ้น ขอเพียงไม่ส่งผลร้ายต่อข้า”
“รับบัญชา”
เจ้านวฟ้าบุพกาลพยักหน้ารับ หานเจวี๋ยโบกมือส่งเขาออกไป
หานเจวี๋ยครุ่นคิดถึงเรื่องของชายผมขาวต่อ
สรุปแล้วคนผู้นั้นเป็นผู้ใดกันแน่
ณ ดินแดนเวิ้งว้าง ในสถานที่ซึ่งไม่เป็นที่รู้จัก
พฤกษาศักดิ์สิทธิ์สูงใหญ่กว้างไกลไร้ขอบเขตต้นหนึ่งยืนต้นตระหง่าน เจ้านวฟ้าบุพกาลปรากฏตัวขึ้นใต้พฤกษา เขานั่งสมาธิลงบนเบาะกลมอันเก่าของเขา โบกมือเรียกรวมตัวเจตจำนงของแปดฟ้าบุพกาล
เจ้าเอกทัศฟ้าบุพกาลมองเขาด้วยความแปลกใจ เอ่ยถามว่า “เจ้ายังมีชีวิตอยู่หรือ”
เจ้านวฟ้าบุพกาลกล่าวว่า “อืม อริยะสวรรค์เกรียงไกรมีเมตตา ไม่ได้สังหารข้าจนสิ้นซาก”
เจตจำนงฟ้าบุพกาลที่เหลือล้วนอดไม่ได้ที่จะโล่งใจขึ้นมา พวกเขาฟังความหมายแฝงในวาจาของเจ้านวฟ้าบุพกาลออก พวกเขาก็เกรงกลัวที่จะต้องปะทะกับหานเจวี๋ยอีกเช่นกัน ทั้งสองฝ่ายห่างชั้นกันเกินไป หากสู้กันจนตัวตายก็ไม่เป็นผลดีใดๆ ต่อพวกเขาเลย
เจ้านวฟ้าบุพกาลกล่าวต่อไป “ต่อไปนี้พวกพี่ก็ฝึกบำเพ็ญอยู่ที่นี่เถอะ ในร้อยล้านปีนี้ข้าจะไม่ข้องแวะเรื่องสรรพสิ่งอีก สมควรละวางความยึดติดได้แล้ว ฝึกบำเพ็ญกันให้ดีเถิด”
เจ้าฟ้าบุพกาลที่เหลือล้วนไม่คัดค้าน
ในเวลานี้เอง มีเงาร่างสายแล้วสายเล่าปรากฏตัวขึ้น เป็นมหาเทวาพ้นนิวรณ์ จอมเทวาวินาศลับเลือนวิสุทธิ์ เจ้าอวิชชาฟ้าบุพกาลและมหาเทวาผลาญนภาไร้สิ้นสูญ
พวกเขาตกตะลึงเมื่อได้เห็นเจ้านวฟ้าบุพกาล
ก่อนหน้านี้เจ้านวฟ้าบุพกาลเคยติดต่อไปหาพวกเขา แต่ไม่ได้ปรากฏตัวขึ้น ส่วนในครานี้เจ้านวฟ้าบุพกาลมิได้อำพรางกลิ่นอายจากพวกเขาเลย
เขาไม่กลัวว่าจะถูกอริยะสวรรค์เกรียงไกรรับรู้ได้หรือ
………………………………………………………………