บทที่ 1169 ความเปลี่ยนแปลงของยุคสมัย
ณ อนธการ
นับตั้งแต่สามแดนอนธการรวมตัว อนธการก็กลายเป็นโลกมหามรรคที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในยุคสมัยไร้สิ้นสุดรองลงมาจากโลกปฐมยุค
ส่วนเหล่าผู้สร้างมรรคา โลกของพวกเขาถูกผสานรวมเข้ากับฟ้าบุพกาลไปแล้ว พังทลายลงไปพร้อมฟ้าบุพกาล โลกมหามรรคของแต่ละคนล้วนกลายเป็นโลกขนาดใหญ่นับไม่ถ้วน แน่นอนว่าพวกเขาอาจจะบุกเบิกโลกมหามรรคของตนขึ้นใหม่อีกครั้งในสถานที่ลับ แต่ไม่เผยออกมาก็เท่านั้น
ปัจจุบันนี้ เหล่าผู้ทรงพลังต่างคิดว่าหานฮวงมีโอกาสจะสำเร็จเป็นผู้สร้างมรรคาได้เร็วที่สุด สามเทพมารอนธการตระหนักรู้ไปพร้อมกัน ทำให้จำนวนกฎเกณฑ์สูงสุดของอนธการไล่ตามบรรพชนเต๋าทัน
สรรพสิ่งในยุคสมัยไร้สิ้นสุดต่างคิดเห็นต่างกันไป แต่สามเทพมารอนธการและบรรพชนเต๋าล้วนไม่ปรากฏตัวขึ้นเลย ทั้งหมดหลบฉากเร้นกาย พยายามมุ่งสู่ผู้สร้างมรรคา
ความพยายามของพวกเขาทั้งสี่ได้ส่งผลกระทบต่อเหล่าผู้ทรงพลังชั้นแนวหน้ารายอื่นๆ มียอดมหามรรคระยะสมบูรณ์เริ่มหายไปจากสายตาของสรรพสิ่งมากขึ้นเรื่อยๆ หน้าใหม่สับเปลี่ยนเข้าแทนที่ เมื่อเวลาผ่านนานไปก็ปรากฏผู้ทรงพลังโดดเด่นหน้าใหม่ขึ้นมากมาย ไม่ขาดแคลนผู้มีคุณสมบัติเลิศล้ำไปเลย
งานชุมนุมฟ้าบุพกาลยังคงดำเนินต่อไป นับเป็นงานชุมนุมที่มีรากฐานยาวนานที่สุดนับจากแต่โบราณกาลมา ในงานชุมนุมฟ้าบุพกาลครั้งล่าสุด บุตรแห่งสวรรค์ในตำแหน่งสิบยอดฟ้าล้วนเป็นสิ่งมีชีวิตยุคใหม่ทั้งสิ้น เผ่าพันธุ์ใหม่ที่ถือกำเนิดขึ้นในยุคสมัยไร้สิ้นสุดเริ่มโผล่ออกมาแล้ว
ณ วังจักรพรรดิมหาโชค
วังจักรพรรดิมหาโชคถูกรายล้อมด้วยโลกมหามรรคหลายสิบแห่ง โลกที่อยู่ใต้วังจักรพรรดิมหาโชคก็คือโลกมหามรรคของหานหลิง ใหญ่ไพศาลที่สุด มีสิ่งมีชีวิตนับไม่ถ้วนเหาะเข้าออก
เวลานี้ ภายในโถงตำหนักหลักของวังจักรพรรดิมหาโชค
หานหลิงนั่งบนบัลลังก์สูง แสงเทพบนร่างดูน่าเกรงขามอย่างยิ่ง
บนโถงมีเงาร่างสามร่าง ได้แก่หานเหยา หานเย่และหานป้าเสิน หานเย่คุกเข่าอยู่บนพื้น ถูกอีกสองคนกดไหล่ซ้ายขวาไว้ ขยับเขยื้อนไม่ได้
“หานเย่ สำนึกผิดหรือยัง”
เสียงของหานหลิงแว่วดังขึ้น น้ำเสียงเฉยชา
หานเย่เงยหน้าขึ้น กัดฟันเอ่ย “มีความผิดที่ใดเล่า ข้าเพียงอยากแข็งแกร่งขึ้นเท่านั้น! เมื่อก่อนท่านเองก็ไล่จับสิ่งมีชีวิตไปทั่วเพื่อนำมาหลอมเป็นทหารจักรพรรดิมิใช่หรือ ทำเพื่อให้ตนแข็งแกร่งขึ้นจะนับเป็นความผิดได้หรือ สิ่งมีชีวิตที่ข้าสังหารไม่มีความเกี่ยวข้องกับวังจักรพรรดิมหาโชคแม้แต่น้อย ท่านคิดจริงๆ น่ะหรือว่าสันติสุขมาเยือนแล้วก็จะไม่ถูกทำลายลงอีก”
หานหลิงเงียบไป
หานเหยาเอ่ยด้วยความโมโห “ฝ่าบาทปล่อยสิ่งมีชีวิตเหล่านั้นไปหมดแล้ว ซ้ำยังชดเชยแก่พวกเขาด้วย อีกอย่าง สังหารสิ่งมีชีวิตเพียงบางส่วนเสียที่ไหน เจ้าสังหารสิ่งมีชีวิตไปมากมายเหลือเกิน มากขนาดที่รวมแล้วเทียบเท่าโลกมหามรรคใบหนึ่ง!”
หานเย่แค่นเสียงเย็นชา ไม่ได้เอ่ยตอบ
หานป้าเสินเอ่ยโน้มน้าวเสียงแผ่ว “ยอมรับผิดเถอะ ตอนนี้มีโลกมหามรรคเกินสิบแห่งที่ต้องการจะจับกุมตัวเจ้า ในบรรดานั้นรวมถึงแดนลับเชื่อมวิถีซึ่งมีผู้สร้างมรรคาหนุนหลังอยู่ด้วย”
“ผู้สร้างมรรคาแล้วอย่างไรเล่า ข้า…”
เดิมทีหานเย่คิดจะเอ่ยถึงหานเจวี๋ย แต่ผ่านมาเนิ่นนานขนาดนี้แล้ว เขายังมีคุณสมบัติพอจะเอ่ยถึงหานเจวี๋ยอีกหรือ
ตอนนี้ เชื้อสายตระกูลหานที่ผงาดขึ้นมาเป็นผู้ทรงพลังมีมากมายเหลือเกิน เชื้อสายที่เคยฝ่ามหาเคราะห์มรรคายิ่งใหญ่อย่างเขาไม่ได้ดูโดดเด่นถึงเพียงนั้นอีกต่อไปแล้ว หานเจวี๋ยจะยังให้ความเอ็นดูเขาจริงๆ น่ะหรือ
หานเย่ไม่มีความมั่นใจเลย
ถึงอย่างไรเขาก็มีเชื้อสายทายาทเช่นกัน อย่าว่าแต่ไม่ได้อยู่ร่วมกันมาหลายร้อยล้านแล้วเลย แค่แยกจากกันพันปีหมื่นปีเขาก็ไม่ไยดีเชื้อสายเหล่านั้นแล้ว
หานหลิงเอ่ยขึ้นว่า “ยอมรับผิดเถอะ เราจะขออภัยต่อพวกเขาแทนเจ้าเอง จะมอบการชดเชยให้ ต่อไปเจ้าจงอยู่ในวังจักรพรรดิมหาโชคแห่งนี้ปิดด่านทบทวนตัวหนึ่งหมื่นล้านปี รอจนชื่อเสียงของเจ้าสร่างซาไปจากยุคสมัยไร้สิ้นสุดแล้ว เจ้าค่อยออกไป”
หานเย่อึกอักอยากพูดแต่ก็เงียบลง แรงกดดันจากผู้สร้างมรรคามหาศาลเกินไป ทำให้เขาไม่อาจปฏิเสธได้
หากเขาออกไปจะต้องเผชิญปัญหาแน่นอน
หานเหยาลากหานเย่ลุกขึ้นมาทันที เอ่ยไปว่า “กระหม่อมจะพาเขาไปคุมขังเดี๋ยวนี้!”
หานป้าเสินก็เคลื่อนไหวตาม
เมื่อเป็นเช่นนี้ หานเย่จึงถูกสหายทั้งสองคุมตัวออกไป
เมื่อพวกเขาจากไปแล้ว หานหลิงถึงได้ถอนหายใจออกมา
หานเย่คนนี้ทำให้นางกลัดกลุ้มใจโดยแท้
ผ่านไปสักพักหนึ่ง เงาร่างหนึ่งพุ่งเข้าสู่ตำหนักดั่งสายรุ้งสีทอง
เมื่อแสงทองสลายไป มู่หรงฉี่เผยตัวออกมา เขามองไปที่หานหลิง เอ่ยด้วยรอยยิ้ม “ฝ่าบาท ไม่พบกันเสียนาน”
“เจ้ามาได้อย่างไร”
หานหลิงลืมตาขึ้นพลางเอ่ยถาม น้ำเสียงเรียบเฉย ไม่มีความสงสัยเหมือนที่ถามออกไปเลย
มู่หรงฉี่เอ่ยด้วยรอยยิ้ม “อำนาจศักดิ์สิทธิ์ชะตามหามรรคของอาจารย์ปู่ปรากฏขึ้นแล้ว อยู่ในโลกขนาดเล็กแห่งหนึ่งที่ไม่มีกลุ่มอิทธิพลครอบครอง ตอนนี้ผู้ทรงพลังจากกลุ่มต่างๆ มุ่งหน้าไปปิดล้อมอยู่ ตกอยู่ในทางตัน ฝ่าบาทคิดเห็นประการใดเล่า”
หานหลิงถาม “เจ้าอยากได้หรือ อันเดียวคงไม่พอแบ่งกัน”
มู่หรงฉี่เลิกคิ้วเอ่ยไปว่า “ข้าจะช่วยให้ฝ่าบาทได้ครอบครอง แต่ฝ่าบาทต้องมอบทวนศักดิ์สิทธิ์อนธการให้ข้า”
ทวนศักดิ์สิทธิ์อนธการ เป็นยอดสมบัติที่เหนือล้ำกว่ายอดสมบัติฟ้าบุพกาล เคยเป็นศาสตราวุธที่หานฮวงใช้ออกศึกสร้างชื่อขึ้นมา ภายหลังตกมาอยู่ในการครอบครองของหานหลิง
หานหลิงเอ่ยด้วยสีหน้ายิ้มมิเชิงยิ้ม “มีค่าพอจะเทียบกันได้หรือ อีกอย่าง เจ้าจะให้ความช่วยเหลืออันใดเราได้”
มู่หรงฉี่ยักไหล่เอ่ยไปว่า “โอกาสวาสนาของอาจารย์ปู่เชียวนะ ฝ่าบาทคิดดูเถิดว่าทวนศักดิ์อนธการจะเทียบได้หรือ ข้าสามารถรุกรานจู่โจมผู้ทรงพลังเหล่านั้นแทนฝ่าบาทได้ สร้างโอกาสให้แก่ฝ่าบาท ทำให้ฝ่าบาทมีโอกาสได้เข้าไปสยบรับตัวผู้ครองครองโชควาสนา ซึ่งคนผู้นี้จะมีประโยชน์มหาศาล อาจจะกลายเป็นผู้สร้างมรรคาในอนาคตได้”
“ต่อให้ฝ่าบาทแข็งแกร่งเพียงใด ก็ต้องมีคนมาคอยเล่นละครหลอกล่อสร้างโอกาสให้ฝ่าบาทอยู่ดี หากให้คนของวังจักรพรรดิมหาโชคไปทำ ไม่ช้าก็เร็วต้องถูกจับได้แน่ จากเรื่องดีจะย่ำแย่ลงไปแทน”
หานหลิงเงียบไป
มู่หรงฉี่รอคอยอย่างอดทน
ผ่านไปนานพักใหญ่
หานหลิงเอ่ยขึ้นว่า “ตกลง!”
มู่หรงฉี่ยิ้มออกมา
….
ห้าร้อยล้านปีผ่านไปอย่างรวดเร็ว
ภายในอารามเต๋า หานเจวี๋ยลืมตาขึ้น ยืดเส้นยืดสายตามความเคยชิน
“ไม่เลวเลย ช่วงที่ผ่านมาตบะเพิ่มขึ้นไม่น้อยเริ่มเห็นเค้าโครงแห่งความหมายที่แท้จริงของกฎเกณ์พื้นฐานขึ้นมาแล้ว”
หานเจวี๋ยพึมพำกับตัวเอง ใบหน้ายิ้มแย้ม
เมื่อเทียบกับช่วงที่เพิ่งฝ่าสู่ระดับเทพผู้สร้าง เขาแข็งแกร่งขึ้นอีกหลายเท่า ความก้าวหน้าเช่นนี้อย่าว่าแต่เทพผู้สร้างเลย หากอยู่ในหมู่ผู้สร้างมรรคาก็ยังดูน่าเหลือเชื่อเช่นกัน
ขนาดอดีตสุดยอดผู้แข็งแกร่งอย่างเจ้านวฟ้าบุพกาลคิดจะฝ่าลวงระดับเล็กสักขั้นก็ยังต้องใช้เวลาหลายหมื่นล้านปีกว่าจะสำเร็จ
หานเจวี๋ยเริ่มตรวจดูกล่องจดหมาย จดหมายในช่วงที่ผ่านมาสั่งสมล้นหลามอย่างยิ่ง สหายทั้งหมดล้วนมีความเคลื่อนไหวแทบทั้งสิ้น
ในที่สุดจี้เซียนเสินและฟางเหลียงก็ปรากฏตัวขึ้นแล้ว พวกเขาไปหาสวินเซิ่งจุนแล้ว ทั้งสามรวมตัวร่วมมือกันอย่างเป็นทางการ
พอได้เห็นพวกเขาทั้งสาม หานเจวี๋ยก็นึกถึงเต้าจื้อจุน จ้าวเซวียนหยวนและเจียงอี้ขึ้นมา เป็นกลุ่มสามคนเช่นกัน พวกเต้าจื้อจุนทั้งสามยังคงต่อสู้อย่างบ้าคลั่งอยู่ แต่เหล่าตานกลับหายตัวไปแล้ว หานเจวี๋ยทำนายดูเล็กน้อย ที่เหล่าตานหายไปเพราะถูกเหล่าจื่อผสานกลับเข้าสู่ร่าง
และเนื่องด้วยเหตุนี้ทำให้พวกเต้าจื้อจุนทั้งสามกลายเป็นไม้เบื่อไม้เมากับเหล่าจื่อ ก่อเหตุต่อสู้ขึ้นหลายต่อหลายครั้ง จนใจที่พวกเขาสู้เหล่าจื่อไม่ได้เลย ล้วนพ่ายแพ้ราบคาบไปทุกครั้ง
หานเจวี๋ยไม่มีทางเข้าไปยุ่งเรื่องเหล่าตานและเหล่าจื่อ ถึงอย่างไรเหล่าตานก็เป็นร่างแยกของเหล่าจื่อ เหล่าจื่อสามารถเรียกคืนร่างแยกของตนได้จริงๆ จนปัญญาที่พวกเต้าจื้อจุนทั้งสามผูกพันกับเหล่าตานอย่างลึกล้ำเหลือเกิน ไม่อาจทำใจยอมรับได้
นอกเหนือไปจากนี้แล้ว คนที่ดึงดูดความสนใจของหานเจวี๋ยได้มากที่สุดก็คือมู่หรงฉี่
ในช่วงห้าร้อยล้านปีมานี้มู่หรงฉี่นับว่าออกศึกสังหารจนสร้างชื่อระบือนามขึ้นมาแล้ว เมื่อครอบครองทวนศักดิ์สิทธิ์อนธการก็ทำให้กลายเป็นเทพสงครามอย่างแท้จริง บุกตะลุยไปในยุคสมัยไร้สิ้นสุด ท้ารบผู้ทรงพลังไปทั่ว
ผู้ครองครองอำนาจระบบที่หานเจวี๋ยโยนลงสู่โลกระดับล่างในกาลก่อนถูกหานหลิงรับเข้าสังกัดไปแล้ว
หานเจวี๋ยได้แต่ขบขันกับเรื่องนี้
วังจักรพรรดิจะสามารถสยบรั้งตัวเจ้าของระบบคนนี้ได้หรือไม่ก็ยังไม่แน่ชัดนัก
มีหน้าใหม่ปรากฏตัวขึ้นมาในยุคสมัยไร้สิ้นสุดมากมายเหลือเกิน มีโลกมากมายที่กำลังก้าวหน้าพัฒนาตัวไปอย่างรวดเร็ว ทายาทตระกูลหานหลายสิบคนที่ได้รับสวรรค์ประทานโชคในหนึ่งร้อยครั้งก่อนก็เติบใหญ่ขึ้นมาแล้ว ก่อตั้งกลุ่มอิทธิพลของตนขึ้นมา
เมื่อสรรพสิ่งเกิดวิวัฒนาการก้าวหน้าขึ้นก็บังเกิดมหาโชคใหม่ๆ ขึ้นในดินแดนเวิ้งว้างมากมายนัก!
………………………………………………………………
ตอนที่ 114 ความคืบหน้า
เฮ่อชิงเซียวชินกับการใช้ดาบ ทำให้ง่ามนิ้วมือเนื้อด้านเป็นไต คนเช่นไรที่จะคุกเข่าจนเข่าดำและแข็งเป็นไตได้
เจ้าหน้าที่ชันสูตรวิเคราะห์ต่อว่า “ผิวหนังผู้ตายหยาบกร้าน หว่างนิ้วคล้ายว่ามีคราบสกปรกที่ล้างไม่ออกมานาน ดูแล้วไม่เหมือนคนเรียนหนังสือ…”
ในใจเฮ่อชิงเซียวกระตุกวาบ คิดถึงความเป็นไปได้หนึ่งขึ้นมา
“ลำบากท่านแล้ว กลับกันก่อนเถอะ”
สถานที่เก็บศพเดิมก็อยู่ใต้ดิน กอรปกับคดีนี้เป็นที่ฮือฮามาก จะต้องจัดน้ำแข็งมาวางไว้เพื่อป้องกันศพเน่าเปื่อย ทั้งห้องจึงเย็นราวกับถ้ำน้ำแข็ง ร่างกายอ่อนแออยู่นานย่อมทนรับไม่ไหว
ด้านนอกลมหนาวพัดมา แสงแดดสดใส กวาดตามองไปหยุดที่ห้องเก็บศพน่าสะพรึง
เฮ่อชิงเซียวก้าวออกไป กลับถึงที่ทำการก็สั่งการลงไปว่า “ไปตรวจสอบขอทานทุกแห่ง ดูว่ามีคนรูปร่างสูงใกล้เคียงกับผู้ตายหายตัวไปหรือไม่”
ผู้ตายอายุไม่นับว่ามาก หากเป็นคนใช้แรงงานทั่วไป ที่หัวเข่าไม่น่าจะเป็นเช่นนี้ สภาพเช่นนี้น่าจะเป็นทาส ยามอยู่ต่อหน้าเจ้านายมีแต่เพียงคำนับนอบน้อมเท่านั้น การคุกเข่าเมื่อทำผิดเพื่อร้องขอชีวิตนานวันเสียดสีจนเป็นไตแข็ง ก็คือพวกยาจกที่คุกเข่าขอทาน
ขอทานในเมืองหลวงที่จะขอทานอย่างสงบสุขได้ล้วนมีองค์กร ก็คือที่เรียกกันว่าพรรคกระยาจกเมืองหลวง พรรคกระยาจกใหญ่น้อยสิบกว่าพรรค แบ่งพื้นที่อิทธิพลกันมานาน หากมีขอทานข้ามเขต ก็ย่อมถูกขับไล่
แม้ขอทานเมืองหลวงไม่น้อย แต่แบ่งกลุ่มอิทธิพลทำให้จัดการง่าย กองกำลังองครักษ์จิ่นหลินไปหาหัวหน้าพรรคกระยาจกแต่ละพรรค หัวหน้าเหล่านี้สั่งการลงไป ไม่ถึงสองวันก็รู้กระจ่างว่าในพื้นที่ตนมีขอทานหายตัวไป
เฮ่อชิงเซียวอ่านรายชื่ออย่างละเอียด เน้นวงไปที่คนห้าคน ขอทานห้าคนนี้มีสองคนอยู่ในตัวเมืองฝั่งตะวันออก
แน่นอนนอกจากห้าคนนี้ ในรายชื่อยังมีอีกหลายคน ชีวิตเช่นขอทานนี้เป็นระดับชนชั้นต่ำสุด หายตัวไป หรือตายไปเงียบๆ เป็นเรื่องปกติอย่างยิ่ง เห็นว่าเวลากระชั้นชิดและกำลังคนจำกัด จึงได้เริ่มตรวจสอบจากขอทานที่มีความเป็นไปได้ที่สุดห้าคนนี้
โชคดีไม่เลว กองกำลังองครักษ์จิ่นหลินนำตัวขอทานที่รู้จักขอทานที่หายไปไปดูศพ หนึ่งในนั้นจำได้ทันที
“เอ้อร์โก่ว!”
หลังทำความเข้าใจแล้ว เอ้อร์โก่วเป็นหนึ่งในสองขอทานฝั่งตะวันออกที่วงไว้ และเป็นคนที่หายตัวไป
ขอทานผู้นี้ขอทานอยู่ที่ริมกำแพงนอกชุมชนตรอกเยี่ยนจื่อ คนที่ใกล้ชิดกับเขายังมีขอทานเฒ่าผู้หนึ่งกับขอทานน้อยผู้หนึ่ง
ขอทานคนหนึ่งนำทางเฮ่อชิงเซียวมาพบขอทานเฒ่า
ระยะนี้ขอทานเฒ่าป่วยอยู่ ยามนี้นอนอยู่บนกองฟางใต้สะพาน ท่าทางหอบโรยแรง
ผู้ที่ดูแลขอทานเฒ่าเป็นขอทานน้อยอายุราวเจ็ดแปดขวบ ทั้งสองคนเป็นปู่หลานกัน
พอเห็นเฮ่อชิงเซียวมา ขอทานน้อยก็มีสีหน้าระแวดระวัง ราวกับมีสัตว์ป่าบุกเข้ามาในพื้นที่ตนเอง
เฮ่อชิงเซียวย่อตัวลง เอ่ยถามขอทานเฒ่าด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนว่า “ท่านผู้เฒ่า สะดวกคุยหรือไม่”
แววตาขุ่นของขอทานเฒ่าค่อยๆ ลืมขึ้น มองไปทางขอทานที่นำมาด้วยสีหน้าสงสัย
ขอทานรีบเอ่ยว่า “ท่านนี้คือใต้เท้ากองกำลังองครักษ์จิ่นหลิน มาสอบถามท่านเรื่องหนึ่ง ท่านต้องตอบคำถามใต้เท้าให้ดี”
ได้ยินคำพูดขอทานนำทางมา ขอทานเฒ่าอดเคร่งเครียดไม่ได้ ขอทานน้อยตกใจจนม่านตาหดเกร็ง
เฮ่อชิงเซียวเป็นคนประสาทไวระดับใด รับรู้ได้ถึงปฏิกิริยาผิดปกติของขอทานน้อยได้ทันว่าผิดแผกไป
“ท่านว่า…” ขอทานเฒ่าเอ่ยไม่ออก
เฮ่อชิงเซียวสั่งการลูกน้องที่ตามมา “ป้อนน้ำให้ท่านผู้เฒ่าดื่มให้ลื่นคอสักสองสามคำ”
ลูกน้องปลดกระบอกน้ำที่เอวออก ดึงจุกออกป้อนน้ำขอทานเฒ่า
น้ำยังคงอุ่น ขอทานเฒ่าอาจไม่เคยได้ดื่มน้ำร้อน กินน้ำอุ่นลงท้องไปสองสามคำก็เริ่มมีแรงขึ้นมา
เฮ่อชิงเซียวเห็นดังนี้ก็ถามขึ้นว่า “มีคนชื่อเอ้อร์โก่ว เป็นขอทานบนถนนเส้นเดียวกับพวกเจ้าใช่หรือไม่”
ขอทานเฒ่าพยักหน้า
“เจ้าพบเขาครั้งสุดท้ายเมื่อใด”
ขอทานเฒ่าส่ายหน้า น้ำเสียงแหบพร่าแก่ชรา “ข้าน้อยป่วยมาครึ่งเดือน นอนอยู่ที่นี่มาตลอด ก่อนป่วยยังพอได้เห็นเขาบ้าง”
เฮ่อชิงเซียวมองไปทางขอทานน้อย
ขอทานน้อยตัวเกร็งแข็งทื่อ อดกัดริมฝีปากไม่ได้ “ข้า ข้าไม่ทันสังเกต…”
ขอทานที่นำทางมาจ้องมองขอทานน้อยทีหนึ่ง “กู่จื่อ ปู่เจ้าป่วย เจ้าไม่ได้ออกไปขออาหารทุกวันหรือ จะไม่ทันสังเกตได้อย่างไร”
เห็นท่าทางขอทานน้อยที่ชื่อกู่จื่อยิ่งเคร่งเครียด เฮ่อชิงเซียวก็ควักเหรียญทองแดงออกจากถุงเงินกำหนึ่ง ส่งให้ขอทานที่นำทางมา “ไปซื้อขนมแป้งนุ่มที่ย่อยง่ายมาหน่อย เจ้ากับปู่กู่จื่อกินกันให้อิ่มท้อง”
ขอทานนำทางรับเงินวิ่งออกไปอย่างดีอกดีใจ
กู่จื่อได้ยินว่าขนมแป้งนุ่ม ก็อดกลืนน้ำลายเอื๊อกไม่ได้
เฮ่อชิงเซียวแสดงท่าทางให้ลูกน้องดูแลขอทานเฒ่าให้ดี ชี้มือไปยังที่ไม่ไกลนัก “กู่จื่อ พวกเราไปคุยกันทางนั้น”
กู่จื่อลังเลเล็กน้อย แต่สุดท้ายก็มิได้ขัดขืน ตามเฮ่อชิงเซียวไปยังใต้ต้นหลิ่วที่ไม่ไกลนัก
เป็นช่วงปลายฤดูใบไม้ร่วงแล้ว ใบหลิ่วแห้งถูกลมพัดก็ร่วงปลิว ไม่ได้มีปุยหลิ่วปลิวอีกแล้ว แลดูแห้งกรอบอยู่บ้าง
“กู่จื่อ เจ้ารู้เรื่องที่เอ้อร์โก่วหายตัวไปแล้วกระมัง”
เฮ่อชิงเซียวเปิดประเด็นตรงไปตรงมา กู่จื่อสีหน้าแปรเปลี่ยน “ข้าไม่รู้อันใดทั้งนั้น!”
เขาคิดวิ่งหนี แต่ก็ไม่กล้า
เห็นว่าตรงหน้าก็คือขุนนาง คำพูดเดียวอาจทำให้เขาและปู่ต้องเอาชีวิตไปทิ้ง
เฮ่อชิงเซียวเห็นท่าทางหวาดกลัวของขอทานน้อย น้ำเสียงก็ยิ่งอ่อนโยน “เจ้าอย่าได้กลัว ขอเพียงเจ้าตอบคำถามข้าดีๆ ข้าจะส่งปู่เจ้าไปรักษาที่โรงหมอ”
“จริงหรือ” กู่จื่อแววตากระตือรือร้นขึ้นมา
“ข้าเป็นขุนนางราชสำนัก จะหลอกเด็กน้อยอย่างเจ้าได้อย่างไร”
“แต่…” กู่จื่อลังเล แม้หวั่นไหวที่ปู่จะได้รับการรักษา แต่ก็กังวลเรื่องอื่นอยู่
เฮ่อชิงเซียวเดาว่ากู่จื่ออาจจะกระทำเรื่องที่ไม่น่าเปิดเผยนัก ทำให้เขาไม่กล้าเอ่ยออกมา
เขายื่นมือไปตบไหล่ให้กำลังใจขอทานน้อย “เจ้าอายุยังน้อย อาจถูกบีบให้กระทำเรื่องอันใด ขอเพียงมิได้สังหารคนหรือวางเพลิง ล้วนลงโทษสถานเบาได้ ถึงกับอาจไม่เอาเรื่องที่ปิดบังความจริงได้ หากทำให้เสียเวลาความคืบหน้าการสืบคดี ก็ย่อมก่อให้เกิดความยุ่งยากตามมายิ่งกว่า”
กู่จื่อได้ยินคำพูดเฮ่อชิงเซียว ก็ถามขึ้นอย่างระแวดระวังว่า “ไม่เอาเรื่องจริงหรือ”
“เจ้าได้สังหารคนหรือวางเพลิงหรือไม่” เฮ่อชิงเซียวถามน้ำเสียงเข้ม
หากทำความคิดระดับนี้จริง ย่อมต้องเอาเรื่อง เขาไม่คิดหลอกเด็กน้อย
กู่จื่อรีบส่ายหน้า “ไม่มีๆ!”
เฮ่อชิงเซียวยิ้มกล่าวว่า “เช่นนั้นก็ไม่ต้องกลัว”
เขาหน้าตาดี ยามเผยรอยยิ้มก็ราวกับหิมะฤดูหนาวหลอมละลายในต้นฤดูใบไม้ผลิ กลายเป็นน้ำใสกระจ่างต้นฤดูใบไม้ผลิงามกระทบแสงตะวัน
กู่จื่อนิ่งอึ้งไปทันที ในใจเกิดความรู้สึกเชื่อใจใต้เท้ารูปงามผู้นี้อย่างไม่รู้ตัว น่าจะไม่หลอกเขากระมัง
“แล้วจะรักษาปู่ข้าด้วยหรือ”
“แน่นอน”
“แต่ปู่ข้าป่วยหนักมาก ต้องใช้เงินรักษามาก”
ใต้เท้าเฮ่อยิ้มมุมปาก เอ่ยหนักแน่นว่า “ไม่เป็นไร ข้ามีเงิน”
ในที่สุดกู่จื่อก็วางใจ “เช่นนั้นท่านถามมาได้เลย”
“เจ้าได้พบเอ้อร์โก่วครั้งสุดท้ายเมื่อใด ตอนไหน”
“เป็น…ยามค่ำเมื่อหกวันก่อน”
ยามค่ำเมื่อหกวันก่อน?
เฮ่อชิงเซียวหวนรำลึกเล็กน้อย ตอนพบศพหน้าประตูสำนักศึกษากั๋วจื่อเจี้ยน ก็คือยามเช้าเมื่อห้าวันก่อน
ก็หมายความว่า เป็นไปได้มากว่ากู่จื่ออาจเป็นคนสุดท้ายที่ได้เห็นผู้ตาย
ในใจเฮ่อชิงเซียวรู้สึกเป็นไปได้อย่างมาก สีหน้ากลับไร้แววพิรุธ จะได้ไม่สร้างความกดดันให้กู่จื่อ “ตอนนั้นเขาเป็นอย่างไรบ้าง”
“ข้า…” กู่จื่อกัดริมฝีปากแน่น พลันสะอื้นไห้ขึ้นมา “ข้าเห็นคนร้าย!”