บทที่ 1186 เทพมารไร้สิ้นสุด
“เจ้าจะต้องเสียใจที่มาท้าทายข้า”
หานฮวงทอดมองมหาจักรพรรดิเฉินนี่จากมุมสูงด้วยสีหน้าไร้อารมณ์ สุ้มเสียงเฉยเมยไร้ซึ่งระลอกอารมณ์ แฝงอำนาจเผด็จการเฉียบขาด ไม่เห็นอีกฝ่ายอยู่ในสายตาเลยแม้แต่น้อย
มหาจักรพรรดิเฉินนี่เอ่ยด้วยรอยยิ้ม “ข้าไม่ใช่คู่ต่อสู้ของเจ้าจริงๆ แต่ข้าก็อยากทราบถึงขีดจำกัดของตนเช่นกัน ถึงอย่างไรผู้สร้างอย่างพวกเจ้าก็ไม่สามารถสังหารข้าได้!”
พอสิ้นเสียง เขาพลันยกกระบี่ฟันออกไป แสงเยียบเย็นแผ่ออกมาจากกระบี่กระดูก ชั่วพริบตานั้นห้วงมิติที่หานฮวงอยู่พลันจับตัวแข็ง เกิดรอยปริร้าวนับไม่ถ้วน ราวกับห้วงมิติถูกฟันทำลาย
หานฮวงเพ่งสายตาคราหนึ่ง ห้วงมิติรอบข้างพังทลายลงทันที แสงดาบทัณฑ์เทพน่าหวาดหวั่นสายแล้วสายเล่าปรากฏขึ้นรอบตัวเขา
ปฐมยุคสิ้นสูญ!
กล่าวให้ถูกต้องคืออนธการสิ้นสูญ!
มีถึงเจ็ดสาย ล้วนแผ่กลิ่นอายน่าหวาดหวั่นที่สั่นสะเทือนกาลเวลาได้ มหาจักรพรรดิเฉินนี่หน้าเปลี่ยนสี
“คิดว่าผู้สร้างมรรคาไม่อาจสังหารเจ้าได้จริงๆ น่ะหรือ เจ้าเพียงได้รับการคุ้มครองจากกฎเกณฑ์แห่งดินแดนเวิ้งว้าง แต่ขอเพียงมีผู้สร้างที่ตระหนักรู้ถึงกฎเกณฑ์นั้น เช่นนั้นก็สามารถสะบั้นสายสัมพันธ์ระหว่างเจ้ากับกฎเกณฑ์นั้นทิ้งได้ จะให้ฆ่าเจ้านั่นก็ง่ายดายดั่งพลิกฝ่ามือ!”
หานฮวงเอ่ยด้วยน้ำเสียงเย็นชา พอสิ้นเสียงของเขา อนธการสิ้นสูญทั้งเจ็ดสายก็พุ่งลงมาจากด้านบน
พุ่งเข้ามาด้วยความเร็วเหนือชั้น!
มหาจักรพรรดิเฉินนี่เพิ่งคิดจะยกกระบี่ขึ้น แสงสีม่วงก็ฟันไขว้สลับกันลงมา กายเนื้อของเขาถูกฟันสับละเอียดไปถึงกระดูก แม้แต่วิญญาณก็ถูกหั่นเป็นชิ้นรุ่งริ่งนับไม่ถ้วน
สังหารในเสี้ยววินาที!
เมื่ออยู่ต่อหน้าหานฮวง มหาจักรพรรดิเฉินนี่ยังคงอ่อนแอเหลือเกิน เนื่องจากเขาเป็นเพียงยอดมหามรรคเท่านั้น
ความห่างชั้นระหว่างผู้สร้างมรรคาและยอดมหามรรคผิดกันลิบลับ
ภายในอาณาเขตเต๋าแห่งที่สาม
หานอวิ๋นจิ่นเห็นหานฮวงพิฆาตมหาจักรพรรดิเฉินนี่ได้ก็อดไม่ได้ที่จะไชโยโห่ร้อง
ลี่เหยาขมวดคิ้ว
สิงหงเสวียนสีหน้าราบเรียบ
อู้เต้าเจี้ยนแลบลิ้นเอ่ยไปว่า “ตายลงเท่านี้เลยหรือ ก่อนหน้านี้ผู้สร้างมรรคาเหล่านั้นก็ทำอันใดเขาไม่ได้มิใช่หรือ”
ลี่เหยาเอ่ยเสียงเบา “หานฮวงแข็งแกร่งมาก ผู้สร้างมรรคาทั่วๆ ไปเทียบชั้นไม่ติดแล้ว”
หานอวิ๋นจิ่นสะท้อนใจอย่างยิ่ง ในบรรดาพี่น้องของเขายังคงเป็นพี่รองที่ร้ายกาจที่สุด
ภายภาคหน้าอาจจะกลายเป็นอันหนึ่งในหมู่ผู้ที่อยู่รองลงมาจากเทพผู้สร้าง!
ในเวลานี้เอง เกิดความเปลี่ยนแปลงขึ้นในสถานการณ์การต่อสู้
มหาจักรพรรดิเฉินนี่ฟื้นคืนชีพกลับมา
หลังจากกายเนื้อของเขาฟื้นฟูกลับมาก็ถูกอนธการสิ้นสูญปิดล้อมไว้ เขาเงยหน้ามองหานฮวง กัดฟันเอ่ยถาม “เจ้าหมายความว่าอย่างไร”
หานฮวงยกยิ้มมุมปาก เอ่ยด้วยความหยิ่งทะนง “สังหารเจ้าตอนนี้น่าเสียดายเกินไป เป็นโอกาสแสดงให้เหล่ายอดมหามรรคในปัจจุบันได้เห็นพอดี ยอดมหามรรคก็ริอาจมาต่อต้านผู้สร้างมรรคาได้อย่างนั้นหรือ หากข้าจะสังหารเจ้า เพียงคิดก็ทำได้แล้ว”
ร่างของเขาค่อยๆ เลือนหายไป อนธการสิ้นสูญที่ปิดล้อมอยู่รอบกายมหาจักรพรรดิเฉินนี่ก็เลือนหายไปเช่นกัน
มหาจักรรพรรดิเฉินนี่ไม่ได้รู้สึกโล่งใจเลย แต่กลับมีสีหน้าน่าเกลียดอย่างยิ่ง
เขารับรู้ได้ถึงสายตามากมายที่กำลังจ้องมองเขาอยู่ เวลานี้ คาดว่าคงมีศัตรูมากมายที่กำลังหัวเราะเยาะเขา
‘เป็นเช่นนี้ไปได้อย่างไร… เจ้าอวิชชาฟ้าบุพกาลก็ยังไม่อาจสังหารข้าได้ เขาทำได้อย่างไร เจ้าอวิชชาฟ้าบุพกาลอาวุโสกว่าเขา เหตุใดถึงห่างชั้นจากเขานักเล่า’
มหาจักรพรรดิเฉินนี่กำสองมือแน่น ในใจคับข้องสุดขีด
เขายังไม่ทันสำแดงพลังวิเศษทั้งหมดออกมาก็พ่ายแพ้เสียแล้ว
เขาพยายามสงบอารมณ์ไว้ หันหลังจากไป
ฉากการต่อสู้ที่เดิมทีคิดว่าจะสะท้านสะเทือนอดีตและปัจจุบันกลับจบลงรวดเร็วปานนี้ หานฮวงที่จืดจางหายไปจากสายตาของสรรพสิ่งแสดงความน่าหวาดหวั่นของตนให้เป็นที่ประจักษ์อีกครั้ง
บรรดาผู้ทรงพลังมากมายเริ่มบอกเล่ากิตติศัพท์ในอดีตของหานฮวงให้เหล่าศิษย์ใกล้ชิดฟัง บ้าระห่ำยิ่งกว่ามหาจักรพรรดิเฉินนี่ในปัจจุบันนี้เสียอีก
ก่อนหานฮวงจะสำเร็จเป็นผู้สร้างมรรคา เขาคือเทพมาร!
….
หานอวิ๋นจิ่นหัวเราะดังสนั่นไม่หยุด “ฮ่าๆๆ ท่านแม่ ท่านเห็นสีหน้าของเขาหรือไม่ ก่อนหน้านี้ตอนที่เขาไปถล่มมรรคาสวรรค์ก็เคยหมิ่นหยามพวกเราเช่นนี้ ตอนนี้ถูกพี่รองทำเช่นนี้ใส่บ้าง เขาคงรู้สึกยากจะทนรับไหวเจียนตายแล้วกระมัง”
ชิงหลวนเอ๋อร์ป้องปากขำเอ่ยไปว่า “แม้ว่าท่านพี่จะไม่ปรากฏตัวขึ้น แต่หากคิดก่อความวุ่นวายขึ้นในยุคสมัยไร้สิ้นสุดก็ยังเป็นไปไม่ได้ ฮวงเอ๋อร์และหลิงเอ๋อร์ล้วนเติบใหญ่ขึ้นหมดแล้ว แม้แต่โลกปฐมยุคก็กำลังจะมีผู้สร้างมรรคาถือกำเนิดขึ้นเช่นกัน ท่านพี่ไม่จำเป็นต้องลงมาจัดการเรื่องพวกนี้ด้วยตัวเองเลย”
ทุกคนพยักหน้ารับ เหตุผลเป็นเช่นนี้จริงๆ
สิงหงเสวียนลุกขึ้นเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “ข้าจะไปหาเขา ปิดด่านมานานขนาดนี้ สมควรปรากฏตัวได้แล้ว”
เหล่าสตรีมองนางด้วยสายตาคาดหวัง พวกนางก็อยากไปหาหานเจวี๋ยเช่นกัน แต่มีห่วงพะวงมากเกินไป ไม่เหมือนกับสิงหงเสวียนที่ทำตามใจต้องการได้
เดิมทีหานอวิ๋นจิ่นวางแผนจะจากไป แต่จู่ๆ ก็เปลี่ยนความคิด อยากลองดูเช่นกันว่าจะได้พบท่านพ่อหรือไม่
สิงหงเสวียนมาที่หน้าอารามเต๋าของหานเจวี๋ย ยกมือผลักประตูเบาๆ ก็เปิดออกแล้ว
หลังจากนางเข้าไปในอารามเต๋าก็มองเห็นหานเจวี๋ยอยู่ในท่วงท่าอันเป็นเอกลักษณ์ของเขา กำลังยืดเอวบิดคออยู่ ท่วงท่าเรียบง่ายยิ่ง แต่พอเขาทำออกมาแล้วกลับดูมีเสน่ห์ไปอีกแบบ
“ท่านตื่นแล้วจริงๆ ด้วย ข้ารับรู้ได้ตั้งแต่เมื่อครู่แล้ว” สิงหงเสวียนเดินเข้ามาหาพลางเอ่ยด้วยรอยยิ้ม
หานเจวี๋ยเหลือบมองนางพลางยิ้มแล้วเอ่ยไปว่า “ดูเหมือนเจ้าจะตระหนักถึงพลังที่ข้ามอบให้เจ้าได้อย่างถ่องแท้แล้ว”
สิงหงเสวียนเอ่ยอย่างภาคภูมิใจ “แน่นอน ท่านไม่ดูเสียบ้างเล่า ตอนนี้คนเขาเป็นทวยเทพที่ได้รับความศรัทธาอย่างสูงสุดจากสรรพสิ่งในยุคสมัยไร้สิ้นสุด ณ ปัจจุบันนี้แล้วนะ ในใจของสรรพสิ่ง ตำแหน่งของข้าสูงส่งกว่าเทพผู้สร้างอย่างท่านด้วยซ้ำ!”
หานเจวี๋ยพินิจดูนางอยู่ครู่หนึ่ง พยักหน้าอย่างพอใจ
ไม่คิดเลยว่านางจะเริ่มต้นก้าวเดินในเส้นทางบำเพ็ญที่แตกต่างไปจากผู้บำเพ็ญคนอื่นๆ อย่างสิ้นเชิง
เส้นทางแห่งศรัทธา!
ในโลกขนาดเล็กบางแห่งก็มีสิ่งมีชีวิตบางส่วนที่อาศัยแรงศรัทธาเพื่อสำเร็จเป็นเทพ แต่อัตราการเติบโตต่ำเหลือเกิน ยากจะก้าวข้ามจักรพรรดิเซียนไปได้
ตอนนี้ถึงแม้สิงหงเสวียนจะไม่ใช่ผู้สร้างมรรคา แต่พลังเวทเหนือกว่ายอดมหามรรคไปแล้ว ประกอบกับพลังที่หานเจวี๋ยมอบให้ ต่อให้นางเผชิญหน้ากับผู้สร้างมรรคาก็ไม่มีทางพ่ายแพ้
“จริงสิ มหาจักรพรรดิเฉินนี่คนนั้น ท่านคิดเห็นเช่นไร เขาเพิ่งบรรลุยอดมหามรรคก็เลิศล้ำปานนี้แล้ว วันหน้าขอเพียงสำเร็จเป็นผู้สร้างมรรคาต้องก่อหายนะขึ้นแน่นอน” สิงหงเสวียนเอ่ยถาม
หานเจวี๋ยเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “เจ้าคิดเช่นใดเล่า”
เรือนผมสีขาวของมหาจักรพรรดิเฉินนี่ปลุกให้เขาตื่นขึ้นมา แต่คนผู้นี้มิใช่ชายผมขาวที่เขาวิวัฒนาการถึงก่อนหน้านี้ กลิ่นอายและหน้าตาของทั้งสองคนต่างกันอย่างสิ้นเชิง
แต่มหาจักรพรรดิเฉินนี่ก็ตอบสนองต่อกฎเกณฑ์พื้นฐานได้ตั้งแต่เกิด นี่แปลว่ามีเผ่าพันธุ์ใหม่ที่น่าหวาดกลัวปรากฏขึ้นในดินแดนเวิ้งว้างแล้ว เช่นเดียวกับตอนที่บุกเบิกอนธการขึ้นในยุคก่อนจึงปรากฏเทพมารอนธการขึ้น เมื่อบุกเบิกฟ้าบุพกาลก็ปรากฏเทพมารฟ้าบุพกาลขึ้น ยุคสมัยไร้สิ้นสุดก็ปรากฏเทพมารไร้สิ้นสุดที่เกี่ยวข้องกับยุคสมัยนี้ขึ้นเช่นกัน
หานเจวี๋ยคิดว่าชายผมขาวต้องเป็นหนึ่งในเทพมารไร้สิ้นสุดอย่างแน่นอน
สิงหงเสวียนเอ่ยอย่างใช้ความคิด “อันที่จริงเขาน่าสงสารอย่างยิ่ง เนื่องจากมีคุณสมบัติไม่ธรรมดา เพิ่งถือกำเนิดขึ้นมาก็ถูกอริยะเสรีจับไปเป็นสัตว์เลี้ยง ไม่มีอิสระ ภายหลังไม่ง่ายเลยกว่าจะหนีออกมาได้ แต่ก็ต้องถูกสะกดข่มจากอริยะมหามรรคอีก คุณสมบัติของเขาแข็งแกร่งเกินไป แข็งแกร่งจนถูกคนมากมายริษยา สิ่งที่พานพบในเส้นทางนี้หล่อหลอมให้กลายเป็นตัวเขาในวันนี้”
หานเจวี๋ยถาม “ดังนั้นจะฆ่าหรือไม่ฆ่าเล่า”
สิงหงเสวียนถาม “ให้เขาเริ่มต้นใหม่อีกครั้งได้หรือไม่”
เริ่มต้นกลับชาติมาเกิดใหม่!
หานเจวี๋ยยื่นมือไปหยิกแก้มนาง เอ่ยยิ้มๆ ว่า “ทั้งหมดล้วนขึ้นอยู่กับเจ้า ตามความต้องการของเจ้า”
อีกด้านหนึ่ง
มหาจักรพรรดิเฉินนี่ที่ข้ามผ่านอยู่ท่ามกลางห้วงอวกาศขาวโพลนพลันหยุดนิ่ง เขามองสองมือตนด้วยความตระหนกผวา เห็นเพียงว่าสองมือของเขาสลายเป็นเถ้าธุลีด้วยความเร็วที่เห็นได้ด้วยตาเปล่า พลังเวทและสัญญาณชีพของเขาเลือนหายไปอย่างรวดเร็ว
“เกิดอะไรขึ้น”
“มิใช่ว่าเขายอมปล่อยข้าไปหรอกหรือ หรือเพียงแสร้งเล่นละครเท่านั้น”
มหาจักรพรรดิเฉินนี่รู้สึกหวาดกลัว รีบโคจรพลังเวทต้องการปกป้องวิญญาณไว้ แต่ไม่เป็นผลเลย เขาถึงขั้นที่ไม่สามารถขยับเขยื้อนได้อีกต่อไป
ความหวาดกลัวที่ไม่เคยรู้จักมาก่อนเข้าครอบงำมหาจักรพรรดิเฉินนี่
ที่แท้เป็นพลังใดกันแน่ที่พันธนาการเขาไว้
………………………………………………………………