บทที่ 1192 ยอดปฐมยุค (1)
“ในเมื่อเจ้าจับได้แล้ว ข้าก็จะไม่เสแสร้งอีกต่อไป เดิมทีข้าคิดจะปิดบังการมีตัวตนอยู่ของข้า ตอนนี้ข้าขอเกลี้ยกล่อมเจ้าให้เจ้าละทิ้งโลกปฐมยุคเสีย มิเช่นนั้นดินแดนเวิ้งว้างจะให้กำเนิดตัวตนที่มีคุณสมบัติเช่นเดียวกับร่างนี้ของข้าขึ้นมา ถึงขั้นที่ข้าสามารถบงการเจตจำนงของสรรพสิ่งให้เป็นศัตรูกับเจ้าได้ เจ้าไม่มีโอกาสชนะได้เลย”
เจ้าศักดามหาชะตาเอ่ยด้วยน้ำเสียงเย็นชา พอสิ้นเสียงเขา ท้องนภาของโลกใบนี้พลันแตกร้าวพังทลาย สายฟ้านับไม่ถ้วนพุ่งเข้ามา สายฟ้าทุกเส้นล้วนผสานพัวพันด้วยพลังกฎเกณฑ์ไร้รูปลักษณ์
เขาก้าวเข้ามาหาหานเจวี๋ยพร้อมกับสายฟ้าไร้สิ้นสุด เอ่ยขึ้นว่า “ดินแดนเวิ้งว้างให้กำเนิดผู้ไร้พ่ายมานักต่อนักแล้ว แต่ทุกคนล้วนมีใจลำพองทะเยอทะยาน ได้รับมหาโชคจากดินแดนเวิ้งว้างแต่กลับควบคุมการพัฒนาของสรรพสิ่งเพื่อตำแหน่งของตน พวกเจ้าทำให้ข้าผิดหวังมากจริงๆ”
หานเจวี๋ยเอ่ยถาม “ข้าทำอันใดให้ดินแดนเวิ้งว้างเล่า นับตั้งแต่ข้าพิสูจน์มรรคได้ก็เก็บตัวฝึกบำเพ็ญมาโดยตลอด เคยควบคุมการพัฒนาของสรรพสิ่งยามใดกัน หากไม่มีข้า ยุคนี้จะปรากฏผู้สร้างมรรคาขึ้นมากมายปานนี้หรือ ตัวเจ้าไหนเลยจะมีโอกาสได้จุติเป็นสิ่งมีชีวิต หากข้าเดาไม่ผิดละก็ เป็นเพราะข้าทะลวงสู่เทพผู้สร้างถึงทำให้เจตจำนงอย่างเจ้าก่อตัวเป็นรูปเป็นร่างขึ้นมาได้ และเพราะการถือกำเนิดของเจ้านวฟ้าบุพกาล เจตจำนงอย่างเจ้าถึงได้ถือกำเนิดขึ้นมา”
เจ้าศักดามหาชะตาเอ่ยด้วยน้ำเสียงเย็นชา “เป็นเช่นนี้จริงๆ แต่เรื่องที่โลกปฐมยุคจะเข้าแทนที่ดินแดนเวิ้งว้าง ข้าเองก็สัมผัสได้เช่นกัน”
เขายกมือขึ้นซัดออกไป สายฟ้านับไม่ถ้วนที่ผสานด้วยพลังกฎเกณฑ์พื้นฐานพุ่งเข้าใส่หานเจวี๋ย รูปสลักเทพมารสามร่างที่อยู่ด้านหลังเขาก็พากันลงมือด้วยเช่นกัน เงามายาของสามเทพมารอนธการพลันปรากฏขึ้นมา ชูมือขึ้นอย่างพร้อมเพรียง ปราณอนธการโถมเข้าใส่หานเจวี๋ยดั่งคลื่นพายุ
หานเจวี๋ยส่ายหน้าพลางหลุดขำออกมา เขาเพ่งสายตาเล็กน้อย สามเทพมารอนธการสลายหายไปทันที สายฟ้า ปราณอนธการและกฎเกณฑ์พื้นฐานทั้งหมดที่ปกคลุมอยู่ในโลกาล้วนสลายหายไปทั้งสิ้น
เรือนผมสีขาวของเจ้าศักดามหาชะตาได้รับแรงสะเทือนจนปลิวไสว เขาเบิกตากว้าง มองหานเจวี๋ยอย่างไม่อยากจะเชื่อ
หานเจวี๋ยเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “ดูเหมือนร่างจริงของข้าจะแข็งแกร่งขึ้นอีกแล้ว ขออภัยด้วย ข้าจับตามองดินแดนเวิ้งว้างมาตลอด ให้โอกาสเจ้าได้เติบโตมาห้าหมื่นล้านปี เจ้าแข็งแกร่งมากจริงๆ หลังจากดูดซับสามเทพมารอนธการเข้าไป แม้แต่เจ้านวฟ้าบุพกาลก็มิใช่คู่ต่อสู้ของเจ้าแล้ว แต่น่าเสียดาย เจ้ายังไม่ตระหนักเข้าใจในเทพผู้สร้าง
“เทพผู้สร้างเป็นตัวตนในระดับเดียวกับดินแดนเวิ้งว้างแล้ว ดินแดนเวิ้งว้างเปรียบเสมือนกายเนื้อของเจ้า แต่เจ้าไม่สามารถควบคุมพลังแห่งกายเนื้อของเจ้าได้ มีเพียงเจตจำนงที่กลับชาติมาเกิด อาศัยคุณสมบัติของสิ่งมีชีวิตผงาดขึ้นมา แล้วเจ้าจะเป็นคู่ต่อสู้ของข้าได้อย่างไร
“เจ้าไม่มีความหวังแล้ว หากเจ้ายังอยากจะหวนกลับมาอีก ข้าก็จะรอเจ้า รอจนเจ้าสำเร็จเป็นผู้สร้างมรรคาแล้วกลับมาท้าทายข้าอีกครั้ง”
คำพูดที่เอ่ยออกมาว่าทำให้เจ้าศักดามหาชะตาเบิกตากว้าง ขณะที่คิดจะเอ่ยวาจา พลังที่น่าหวาดหวั่นประการหนึ่งก็ทำลายล้างเขา ร่างสิ้นวิญญาณสลายกลายเป็นเถ้าล่องลอยไป
เมื่อเผชิญหน้ากับเทพผู้สร้าง ความอมตะมิวางวายของผู้สร้างมรรคาก็เป็นเพียงของเล่นเท่านั้น
หานเจวี๋ยมองสองมือของตน ร้องจุ๊ๆ อุทานออกมา “ที่แท้ร่างต้นตระหนักรู้ในสิ่งใดกันแน่ เช่นนี้จะแข็งแกร่งเกินไปแล้วกระมัง”
เขาส่ายหน้าหลุดยิ้มออกมาพลางโบกมือขวาคราหนึ่ง เงาร่างใหญ่โตสามร่างปรากฏขึ้นเบื้องหน้าเขา เป็นหานฮวง สื่อหยวนหงเหมิงและหวงจุนเทียน
สามเทพมารอนธการมองหานเจวี๋ยด้วยความตื่นตะลึง พวกเขาได้เห็นเหตุการณ์เมื่อครู่นี้จากในร่างของเจ้าศักดามหาชะตา รวมถึงคำพูดเหล่านั้นด้วย
เจ้าศักดามหาชะตาผู้นั้นคือเจตจำนงดินแดนเวิ้งว้างอวตารมา!
เทพผู้สร้างแข็งแกร่งถึงขั้นที่คุกคามดินแดนเวิ้งว้างได้!
หานเจวี๋ยเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “ไปเถอะ ปลอบขวัญพวกเขาให้สงบเสีย ส่วนเรื่องราวที่พวกเจ้าพบเห็นยลยินจงเก็บเป็นความลับ เข้าใจหรือไม่”
สามเทพมารอนธการยังไม่ทันตอบสนอง หานเจวี๋ยก็แทรกตัวหายเข้าไปในประติมากรรมหินแล้ว
สามเทพมารอนธการถึงได้สติกลับมา
หวงจุนเทียนเอ่ยด้วยความสะท้อนใจ “นี่น่ะหรือเทพผู้สร้าง ที่แท้เทพผู้สร้างก็มิใช่ฉายานามแต่เป็นชื่อระดับ”
สื่อหยวนหงเหมิงกล่าวว่า “ไม่ เดิมทีเทพผู้สร้างก็เป็นการขนานนามถึงตัวเขาเองอยู่แล้ว เขาคิดว่าฐานะของตนต้องไปถึงระดับที่สูงยิ่งกว่าได้แน่นอน”
หานฮวงพยักหน้ารับ แววตาเต็มไปด้วยความเลื่อมใสยำเกรง
….
ในอาณาเขตแห่งกฎเกณฑ์ หานเจวี๋ยหยุดลงแล้ว เริ่มนั่งสมาธิ
หานเหลียงก็หยุดลงเช่นกัน ในไม่ช้าก็มองเห็นเส้นแสงนับไม่ถ้วนพุ่งเข้ามาจากทั่วสารทิศ มุดเข้าสู่ร่างของหานเจวี๋ย
เขาอดตะลึงไม่ได้
เส้นแสงเหล่านี้ดูดซับได้อย่างนั้นหรือ
เขาเคยลองทดสอบดูแล้ว ผลคือวิญญาณแทบกระเจิดกระเจิงไป
เขาทำได้เพียงจับสัมผัสอย่างเงียบเชียบเท่านั้น
หานเจวี๋ยไม่สนใจเขา ทุ่มสมาธิไปกับการทำความเข้าใจในกฎเกณฑ์พื้นฐาน
เวลาไหลผ่านไป หานเหลียงก็เริ่มนั่งสมาธิแล้วเช่นกัน เมื่อเวลาผ่านไปนานเข้าตบะของเขาก็ค่อยๆ ก้าวหน้าขึ้นเช่นกัน
เมื่อเส้นแสงที่มุดซึมเข้าสู่ร่างของหานเจวี๋ยเพิ่มมากขึ้นเท่าไร กระแสความเร็วของกฎเกณฑ์ภายในอาณาเขตนี้ก็เริ่มชะลอตัวลง
เวลาผ่านนานไป เงาร่างหนึ่งปรากฏตัวขึ้นในจิตรับรู้ของหานเจวี๋ย
เป็นต้นกำเนิดของระบบ ดวงจิตแห่งการสรรค์สร้าง
นี่คือมิติแห่งดินแดนเวิ้งว้าง เจตจำนงแห่งการสรรค์สร้างจำแลงกายเป็นมนุษย์ ดูคล้ายคลึงกับหานเจวี๋ยมาก แต่มองไม่เห็นใบหน้า
“ไม่คิดเลยว่าเจ้าจะเดินนำหน้าทุกสิ่งไปแล้ว แม้แต่วิวัฒนาการของระบบก็ยังตามเจ้าไม่ทัน”
ดวงจิตแห่งการสรรค์สร้างเอ่ยอย่างสะท้อนใจ
หานเจวี๋ยเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “อาจจะถึงจุดสิ้นสุดในอีกไม่ช้า หรือไม่ก็อาจจะยังมิใช่จุดสิ้นสุด ข้าสามารถมอบความหมายในการดำรงอยู่ให้เจ้าได้ เจ้าอยากแปลงกายหรือไม่ ตลอดเส้นทางที่ผ่านมาล้วนต้องขอบคุณเจ้ายิ่งนัก”
ดวงจิตแห่งการสรรค์สร้างกล่าวว่า “ไม่จำเป็นเลย ข้าคือการสรรค์สร้าง ได้เห็นเจ้ามีเมตตาต่อสรรพสิ่ง เมตตาต่อการสรรค์สร้าง ภารกิจของข้าก็บรรลุเป้าหมายแล้ว รอจนเจ้าบรรลุถึงระดับที่สูงยิ่งขึ้นแล้วก็สลายข้าไปเสียเถิด ทำเหมือนข้าไม่เคยปรากฏขึ้นมาก่อน อันที่จริงการถือกำเนิดของข้าก็มีสาเหตุมาจากความหมายในการดำรงอยู่ของสรรพสิ่ง ข้าถือกำเนิดมาเพื่อสรรพสิ่ง ถือกำเนิดมาเพื่อทุกการดำรงอยู่ แต่ดินแดนเวิ้งไม่อาจยอมรับการสรรค์สร้างได้ ดังนั้นถึงขับไล่ข้าออกมา ตอนนี้ดินแดนเวิ้งว้างก็ไม่อาจควบคุมเจ้าได้แล้ว ภารกิจของข้าสำเร็จลุล่วงแล้ว”
หานเจวี๋ยถาม “จะให้ทำอย่างไรกับดินแดนเวิ้งว้าง”
เจตจำนงแห่งการสรรค์สร้างถามกลับ “ไยจึงมาถามข้าเล่า”
“ข้าเข้าใจแล้ว”
หานเจวี๋ยเอ่ยด้วยรอยยิ้ม เขายกเท้าเดินเข้าไปพลางยื่นมือออกไป ดวงจิตแห่งการสรรค์สร้างก็ยื่นมือออกมาเช่นกัน มือของสองเงาร่างทาบทับกัน ทันใดนั้น เจตจำนงแห่งการสรรค์สร้างก็สลายหายไป
นี่คือการบอกลาเจตจำนงแห่งการสรรค์สร้างในรูปแบบระบบยุคใหม่ เจตจำนงแห่งการสรรค์สร้างหวนสู่สภาวะดั้งเดิม ส่วนเขาก็ยังจดจำตัวตนในตอนแรกสุดได้เช่นกัน
“ยกความหมายแห่งการสรรค์สร้างให้เป็นหน้าที่ข้าเถิด”
หานเจวี๋ยเอ่ยกระซิบกับตัวเอง รอยยิ้มบนหน้าเลือนหายไป กลับสู่ความสงบราบเรียบ
ในเวลานี้ เขาค้นพบความหมายอื่นนอกจากการมีชีวิตอยู่แล้ว หัวใจของเขาแปรเปลี่ยนกลายเป็นจิตใจแห่งเทพผู้สร้างอย่างแท้จริง พูดให้ชัดเจนคือจิตใจผู้ดำรงอยู่ในจุดสูงสุด
หานเหลียงลืมตาขึ้น มองไปทางท่านปู่ของตนด้วยความตะลึง
เห็นเพียงว่ามีแสงทองผุดออกมารอบกายหานเจวี๋ย ศักดิ์สิทธิ์อย่างยิ่ง ทำให้เขาอยากสักการะกราบกรานขึ้นมาอย่างน่าประหลาด
‘ท่านปู่ทะลวงระดับแล้วหรือ’
หานเหลียงคิดอย่างไม่อยากจะเชื่อ
….
บนภูเขาสูง เด็กหนุ่มคนหนึ่งกำลังฝึกบำเพ็ญอยู่ริมหน้าผา ในมือถือกระบี่ล้ำค่าเล่มหนึ่งไว้ ฟาดฟันปราณกระบี่ออกไปไม่ขาดสาย กวาดทะลวงไปในแนวขวาง
สิงหงเสวียนยืนอยู่ไม่ไกล เฝ้ามองอย่างสงบ นางกำลังใจลอยอยู่ไม่ทราบว่าคิดถึงเรื่องใด
ผ่านไปนานพักใหญ่ เด็กหนุ่มวิ่งเข้ามาหาพร้อมเหงื่อท่วมหน้า เอ่ยขึ้นว่า “ท่านย่าบรรพชน วิชากระบี่ชุดนี้ของข้าเป็นอย่างไรบ้างขอรับ นับว่าพอจะผ่านด่านได้หรือไม่ สามารถเรียนรู้พลังวิเศษชนิดใหม่ได้หรือยังขอรับ”
สิงหงเสวียนเอ่ยยิ้มๆ ว่า “ยังห่างไกลนัก”
เด็กหนุ่มฟังแล้วทรุดฮวบลงไป นั่งเปลี้ยอยู่บนพื้น
สิงหงเสวียนมองเขาแล้วเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “เจ้าช่างเหมือนปฐมบรรพชนของเจ้าเสียจริง”
เด็กหนุ่มถามด้วยความอยากรู้ “สรุปแล้วปฐมบรรพชนของข้าคือผู้ใดหรือขอรับ ท่านย่าบรรพชน ท่านไม่ยอมเล่าให้ข้าฟังเลย”
สิงหงเสวียนแย้มยิ้มกล่าวไปว่า “ไม่อาจกล่าวถึงนามของเขาได้ เพราะเป็นเรื่องต้องห้ามร้ายแรง แต่ข้าสามารถบอกเจ้าได้ว่าท่านปู่ของเจ้าคือผู้ใด”
“ผู้ใดหรือขอรับ”
“ฉู่เสี่ยวชี”
“ฉู่เสี่ยวชี นี่มิใช่นามของข้าหรอกหรือขอรับ”
“ใช่แล้ว ตอนนี้เขาไม่ได้ใช้ชื่อฉู่เสี่ยวชี แต่มีฉายานามแล้ว ดังนั้นข้าถึงได้นำชื่อนี้มาให้เจ้าใช้”
พอเด็กหนุ่มได้ฟังก็เริ่มส่งเสียงเอะอะขึ้นมา เกิดความสนใจใคร่รู้ในตัวท่านปู่ของตน ถามซักไซ้ไม่หยุด
สิงหงเสวียนเริ่มเล่าเรื่องราวของฉู่เสี่ยวชีในสมัยก่อนตอนที่ยังอยู่ในแดนมนุษย์ออกมา
“กำลังเล่าอะไรอยู่หรือ ข้าฟังด้วยได้หรือไม่”
เสียงหัวเราะสายหนึ่งแว่วเข้ามา สิงหงเสวียนไม่ได้หันไปมอง นางฟังออกว่าเป็นเสียงของหานเจวี๋ย แต่ไม่ได้ให้ความสนใจ
………………………………………………………………