ตอนที่ 649 หมาบ้า
คำพูดของโจวเจ๋อไม่ได้ทำให้พระขี้เรื้อนโกรธ และไม่ได้กระตุ้นความสงสัยของเขาเลยแม้แต่น้อย จูเก่อเลี่ยงร่ายกลยุทธ์เมืองร้างในตอนแรกได้ดีหรือไม่นั้น จริงๆ แล้วไม่ได้อยู่ที่ตัวเขา แต่อยู่ที่ว่าคนผู้นั้นที่เขาต้องการทำให้สับสนนั้น เฉลียวฉลาดเพียงพอหรือเปล่าต่างหาก หากในตอนนั้นจูเก่อเลี่ยงร่ายให้คนติ๊งต๊องฟัง…
โชคดีที่พระขี้เรื้อนตรงหน้าไม่ใช่คนโง่ เขารู้สึกว่าคำพูดของโจวเจ๋อและท่าทางของคนผู้นั้นใกล้เคียงกันมาก เนียนมาก และเป็นธรรมชาติมาก
ใช่แล้ว นี่ไม่ใช่ลักษณะนิสัยของคนผู้นั้นหรอกหรือ!
คิดไม่ถึงว่าบนใบหน้าของพระขี้เรื้อนจะเผยสีหน้าเคารพนบนอบ โดยเฉพาะใบหน้าของเขาเดิมก็ ‘แตกต่างอย่างชัดเจน’ อยู่แล้ว บวกกับสีหน้าอารมณ์อย่างนี้ด้วยแล้ว มันแปลกได้เท่าที่จะแปลกได้จริงๆ
โจวเจ๋อรู้สึกประหลาดใจเพราะเหตุนี้ครู่หนึ่ง เขาแค่พูดจาโผงผางเพื่อตบตาก็เท่านั้นเอง ถ้าพูดไม่น่าฟังหน่อยก็คล้ายกับเป็ดตายปากแข็ง แต่ทำไมฝ่ายตรงข้ามดันรู้สึกราวกับว่า ‘หวานเหมือนน้ำตาล’ ไปเสียได้
“ใช่แล้ว อมิตาภพุทธ อาตมาจะทำทุกวิถีทางเพื่อพยายามฆ่าท่าน”
ร่างกายซีกซ้ายของพระขี้เรื้อนเปล่งประกายแสงสีทองอร่าม ส่วนร่างกายซีกขวาเผยให้เห็นความวาววับสีดำ ลมปราณบนร่างกายเพิ่มขึ้นด้วยความเร็วในลักษณะที่น่าสะพรึงกลัวอย่างยิ่ง นี่เป็นการเอาจริงแล้ว และจำต้องเอาจริงแล้วเช่นกัน ตราบใดที่พิสูจน์ได้ว่าตัวเองมีความสามารถฆ่าคนตรงหน้านี้ได้ คนผู้นั้นถึงจะปรากฏตัวขึ้น ถึงจะมา ‘สนทนาธรรม’ กับตัวเองได้เหมือนครั้งที่แล้ว!
ถ้าจะใช้คำพูดเบียวๆ อธิบายก็คือ หลังจากที่พระขี้เรื้อนได้ยินคำเหน็บแนมของเถ้าแก่โจว ก็รู้สึกเหมือนจักรวาลเล็กๆ ในร่างกายเริ่มเผาไหม้และเดือดพล่าน!
การฆ่าโจวเจ๋อเป็นประสบการณ์ที่คนผู้นั้นมอบให้กับเขา!
‘พึ่บ!’ พระขี้เรื้อนหายวับไปจากจุดนั้น โจวเจ๋อเห็นเพียงวงแสงแยงตาสองวงปรากฏขึ้นในสายตาของเขา จากนั้นถึงตระหนักว่าหน้าอกถูกกระแทกเข้าจังๆ อย่างแรง
‘พลั่ก!’ ไม่มีช่องว่างให้เขาได้ตอบสนองเลยสักนิด เถ้าแก่โจวหงายหลังกระเด็นออกไปทั้งตัว กระแทกเข้ากับกระจกหน้าต่างจนแตกกระจายและร่วงลงไป แต่ทว่าก่อนที่โจวเจ๋อจะร่วงถึงพื้น แสงวาววับสองสีปรากฏขึ้นข้างกายเขาอีกครั้ง คอของโจวเจ๋อถูกมือคู่หนึ่งบีบอย่างโหดเหี้ยม ความเร็วในการร่วงลงไปเพิ่มขึ้นอีกครั้ง
‘ตุ้บ!’ พระขี้เรื้อนเหวี่ยงโจวเจ๋อกระแทกลงบนถนนอย่างแรง จากนั้นยกขึ้นอีกครั้งและกดร่างโจวเจ๋อลงกับพื้นถนนพร้อมกับวิ่งไปข้างหน้าอย่างรวดเร็ว
‘ตุ้บ!’ พระขี้เรื้อนปล่อยมือคล้ายกับท่าโยนโบว์ลิ่ง ร่างของโจวเจ๋อยังคงไถลและเกลือกกลิ้งไปข้างถนนเหมือนกระสอบ ทิ้งรอยลากยาวไว้บนพื้น กระทั่งหลังจากพลังงานศักย์ใกล้หมดลง ร่างกายกระเด็นกระดอนบนพื้นสองสามครั้ง หน้าทิ่มลงกับพื้นอย่างน่าสลดใจ เมื่อยืนอยู่ข้างเขาจะเห็นว่าเสื้อผ้าบนแผ่นหลังของโจวเจ๋อนั้นขาดวิ่นไปหมดอย่างชัดเจน เนื้อหนังถลอกปอกเปิกจากการถูกเสียดสีเมื่อครู่ ทิ้งบาดแผลที่น่ากลัวสุดขีดและลึกจนมองเห็นได้ถึงกระดูกไว้!
พระขี้เรื้อนไม่ได้ก้าวไปข้างหน้า เขายืนอยู่ที่เดิม ราวกับกำลังสังเกตปฏิกิริยาของโจวเจ๋อ
ตามหลักแล้ว ละครโทรทัศน์ไร้สมองหลายเรื่องอธิบายประเด็นหนึ่งมาโดยตลอด นั่นก็คือตัวร้ายตายเพราะพูดมาก เวลานี้ไม่สนว่าศัตรูจะตายหรือไม่ ต้องลงมือฆ่าตรงๆ ต้องแทงซ้ำอีกสองสามครั้งถึงจะเป็นทางเลือกที่ถูกต้อง แต่ทว่า พระขี้เรื้อนเองก็ไม่ได้ต้องการหยุดชื่นชมท่าทางน่าอนาถของโจวเจ๋อมากนัก แต่เป็นเพราะเขาจำต้องหยุดเพื่อประสานพลังทั้งสองคุณสมบัติในร่างกายต่างหาก
พลังแห่งพุทธะใช้เพื่อปราบปรามและใช้เพื่อปกปิด เพราะเมฆดำที่ลอยอยู่เหนือศีรษะยังไม่สลายไปจนหมดสิ้น แม้ว่าพลังที่เพิ่มเข้ามาใหม่จะทรงพลังมาก แต่ก็ไม่เสถียรเช่นกัน หากจัดการได้ไม่ดีละก็ เข้าสู่วิถีมารนั้นก็ไม่เป็นไร แต่การถูกฟ้าผ่าโดยตรงถือเป็นจุดจบที่น่ากลัวที่สุดต่างหาก
เขาจำต้องหยุดชะงักครู่หนึ่ง ปรับสภาพและควบคุมสักหน่อย และในตอนนี้เอง ในสายตาของพระขี้เรื้อน มือทั้งสองข้างของโจวเจ๋อค่อยๆ สั่นเทาขึ้นมา เขาอยากพยุงตัวลุกขึ้นแต่กลับทำได้อย่างยากเย็นนัก
การโจมตีติดต่อกันเมื่อครู่นี้เกินขีดจำกัดที่โจวเจ๋อสามารถต้านทานได้แล้ว เถ้าแก่โจวเงยหน้าขึ้นอย่างยากลำบากพลางกัดฟันกรอด เวลานี้จริงๆ แล้วในใจกลับไม่ได้คิดอะไรมาก ที่คิดได้อย่างเดียวก็คือการลุกขึ้น ลุกขึ้นยืน ไม่มีแนวคิดอุดมการณ์และความเชื่อใดๆ แค่โดนซัดหมอบก็เจ็บมากพอแล้ว อยากจะลุกขึ้นไปต่อยอีกฝ่ายสักหมัดเหลือเกิน!
“อมิตาภพุทธ!” พระขี้เรื้อนพนมมือ ไม่ง่ายเลย ในที่สุดเขาก็สามารถหลอมรวมความขัดแย้งระหว่างพลังทั้งสองในร่างกายตัวเองได้แล้ว แสงสีทองและแสงสีดำบนร่างกายจางลงในเวลาเดียวกัน เขาเดินไปหาโจวเจ๋อและพูดช้าๆ “หากท่านยังไม่ออกมาอีก อาตมาจะโปรดสุนัขเฝ้าบ้านของท่านแล้วจริงๆ นะ”
สุนัขเฝ้าบ้าน!
เมื่อโจวเจ๋อได้ยินสามคำนี้ ดวงตาของโจวเจ๋อพลันเบิกกว้างทันที หน้าอกกระเพื่อมไปชั่วขณะ มือทั้งคู่กำแน่น เลือดยังคงไหลซึมระหว่างนิ้วทั้งสิบของเขา เลือดสดๆ ไหลรินออกมาตามรอยปริที่ปลายนิ้ว
พระขี้เรื้อนเดินไปอยู่ตรงหน้าโจวเจ๋อ ยกเท้าขึ้นเล็งใส่ศีรษะของโจวเจ๋อ “อมิตาภพุทธ!”
โจวเจ๋อเงยหน้าขึ้นมองพื้นรองเท้าแสนสกปรกนั่น มันช่างสกปรกโสโครกจริงๆ เลย
การมองเห็นในดวงตาของโจวเจ๋อค่อยๆ เริ่มพร่าเลือน จากที่เดิมทีมีเพียงสีแดงปรากฏเฉพาะบริเวณขอบตาเริ่มค่อยๆ ปกคลุมบริเวณส่วนกลาง และค่อยๆ เติมเต็มดวงตาทั้งสองข้างอย่างรวดเร็วยิ่งยวด
ในภูเขาหิมะมังกรหยกก่อนหน้านี้โจวเจ๋อได้กลืนกินมู่เฉิงเอิน พลังนี้เกือบจะทำให้เขาตกอยู่ในความบ้าคลั่ง ถ้าไม่ได้สติกลับคืนมาในตอนท้ายที่สุด เขาก็อาจจะกินอิงอิงไปแล้วก็ได้
การกลืนกินระหว่างผีดิบกับผีดิบเป็นวิธีที่เพิ่มความแข็งแกร่งได้เร็วที่สุด แต่มันก็ง่ายต่อการ ‘สูญเสียสติสัมปชัญญะ’ ที่สุดเช่นกัน ตลอดหลายยุคหลายสมัย มีผีดิบผู้ยิ่งใหญ่ชื่อดังอยู่หลายตัวจริงๆ แต่สุดท้ายก็จบไม่สวย ราวกับดาวตกดับสูญ สาเหตุก็อยู่ที่หลังจากกลืนกินและบ้าคลั่งไปจนสุดทาง อาละวาดเสียจนสวรรค์ไม่อาจทนไหวต้องส่งสายฟ้าฟาดลงมาสังหารโดยตรง!
พลังนี้ถูกระงับไว้ชั่วคราวเท่านั้น หากใช้เวลาในการปรับและย่อยสลายอย่างช้าๆ หลายเดือน ปัญหาจะไม่ใหญ่เกินไป แต่ทว่านับตั้งแต่มู่เฉิงเอินถูกกลืนกินเพิ่งผ่านพ้นไปได้ไม่ถึงสองวันด้วยซ้ำ
“โฮก!” หายนะ สาปแช่ง เดือดดาล อารมณ์เชิงลบดั้งเดิมทุกประเภทเริ่มหลอมรวมกันและปั่นป่วนอย่างต่อเนื่อง
พระขี้เรื้อนพลันดีใจและพูดขึ้น “เป็นท่าน ท่านตื่นแล้วใช่หรือไม่” นาทีนี้พระขี้เรื้อนดีอกดีใจ รู้สึกเหมือนกับในที่สุดตัวเองก็สอบผ่าน กำลังจะได้รับรางวัลและคำชมจากผู้ปกครอง แต่ไม่นานนัก เขาก็ขมวดคิ้วอย่างสงสัยอีกครั้ง “ไม่ใช่กลิ่นอายลมปราณของท่าน เช่นนั้นนี่มันอะไรกัน”
“โฮก!” โจวเจ๋อเงยหน้าขึ้นส่งเสียงร้องคำราม ทุกข้อต่อในร่างกายเริ่มส่งเสียงเสียดสีกันอย่างรุนแรง
‘ตู้ม!’ พระขี้เรื้อนรีบถอยห่างออกจากโจวเจ๋ออย่างรวดเร็วด้วยสีหน้าเคร่งเครียด ตรงที่ที่โจวเจ๋อนอนแผ่หลาอยู่แต่เดิมเกิดฝุ่นฟุ้งตลบ หลังจากรอฝุ่นฟุ้งกระจายสลายไปจนหมดก็ปรากฏร่างของโจวเจ๋อให้เห็น โจวเจ๋องอตัว สองมือวางแนบไว้ข้างลำตัวตามธรรมชาติ บริเวณบาดแผลบนร่างกายผุดไอร้อนสีขาวออกมา โดยเฉพาะบริเวณแผ่นหลัง เพราะก่อนหน้านี้ถูกกระชากลากถูกับพื้นอย่างหนัก บาดแผลนั้นน่ากลัวที่สุด แต่ตอนนี้สามารถเห็นคลื่นความร้อนที่พุ่งขึ้นจากแผ่นหลังของโจวเจ๋ออย่างชัดเจนราวกับน้ำเดือดปุดๆ
“เหมือนมาก แต่ไม่ใช่เขา” พระขี้เรื้อนพึมพำกับตัวเองอย่างนึกสงสัย จากนั้นก็ส่ายหัวอยู่คนเดียว “ก่อนหน้าดูคล้ายกันมาก แต่ตอนนี้ไม่เหมือนอีกแล้ว”
ในดวงตาสีแดงฉานของโจวเจ๋อดูเหมือนจะไม่มีความผันผวนทางอารมณ์ใดๆ เพียงแค่เห็นเขาก้มหน้าลงเงียบๆ มองมือชุ่มเลือดทั้งสองข้างของตัวเอง เล็บสิบนิ้วก่อนหน้านี้ยังคงทิ่มแทงหน้าอกของพระขี้เรื้อนอยู่ในเวลานี้ หลังจากโบกสะบัดแขนสองทีก็เงยหน้าขึ้นมองฝ่ามืออีก รู้สึกเหมือนขาดอะไรไปและไม่ค่อยคุ้นเคยกับมัน
โจวเจ๋อเปล่งเสียงสั่นเครือในลำคอ ดูเหมือนแสดงความไม่พอใจบางอย่าง เขายกมือซ้ายขึ้นพลางอ้าปาก แล้วยัดมือซ้ายเข้าในปากของตัวเอง
‘อึกๆ อึกๆ อึกๆ…’ มีเสียงเสียดสีแสบแก้วหูและกลืนดังขึ้น เมื่อโจวเจ๋อเอามือซ้ายออกจากปาก ทั้งมือซ้ายไม่เห็นเนื้อหนังแล้ว เหลือแต่กระดูกขาวๆ ต่อไปเป็นมือขวา ไม่นานนัก ฝ่ามือขวาของเขาก็กลายเป็นกระดูก คิดไม่ถึงว่ามีดเลาะกระดูกนี้แท้จริงแล้วคือเขี้ยวของโจวเจ๋อเอง!
ไม่มีเล็บแล้ว แต่ก็ไม่เป็นไร เพราะหาของใหม่มาแทนที่ได้แล้ว
ร่างกายโน้มตัวงอลงมาเรื่อยๆ แขนทั้งสองข้างสั่นไหวอย่างช้าๆ เมื่อปลายนิ้วกระดูกแตะถึงพื้นใต้ฝ่าเท้า คาดไม่ถึงว่าจะข่วนจนเกิดประกายไฟ
โจวเจ๋อเงยหน้าขึ้นอย่างช้าๆ ดวงตาแดงฉานจ้องพระขี้เรื้อนที่อยู่ตรงหน้าเขม็ง ปากแสยะยิ้ม เหมือนหมาป่าหิวโหยจ้องเหยื่อของตัวเอง วินาทีต่อมา เท้าข้างหนึ่งยันไปข้างหน้า ส่วนอีกข้างลากไปข้างหลังและเตะอัดอย่างแรง
‘พลั่ก!’ พระขี้เรื้อนรู้สึกได้ถึงลมพัดมาอย่างแรงมากตรงหน้าตัวเอง ตามด้วยกลิ่นเลือดคละคลุ้งอึดอัดแสบจมูก!
“พระพุทธเจ้าตรัสว่า…”
‘ตุ้บ!’ พระขี้เรื้อนรู้สึกวิงเวียนอยู่พักหนึ่ง กระทั่งก่อนที่เขาจะทันได้ตอบสนองอื่นใด ก็ถูกโจวเจ๋อเอาแขนคว้าคอแล้วจับทุ่มกระแทกลงกับพื้นอย่างแรง จากนั้นโจวเจ๋อเงยหน้าขึ้นส่งเสียงคำราม ‘โฮก!’ ด้วยความเร็วที่เพิ่มขึ้น ขณะที่กดพระขี้เรื้อนไว้กับพื้นแน่น เขาก็เริ่มลากวิ่งไปข้างหน้าด้วยความเร็วแสง
‘ตู้มมมมมมม!!!!!!’
ราวกับเครื่องจักรปรับหน้าดินยี่ห้อเปินเถิงงัดและดันราบกับพื้นไป!
ก่อนหน้านี้แกทำกับฉันอย่างไร ตอนนี้ฉันก็จะเอาคืนแกอย่างนั้นเช่นกัน!
เถ้าแก่โจวไม่ใช่คนใจกว้างตลอดเวลา โดยเฉพาะคนที่ปฏิบัติต่อเขาอย่างเลวร้ายและทำร้ายเขา ถ้าสามารถแก้แค้นคืนนี้ได้ก็จะไม่รอถึงพรุ่งนี้เช้าอย่างแน่นอน!
หลังจากลากกันไปไกลลิบ แสงสีทองและสีดำสว่างวาบบนร่างของพระขี้เรื้อนอีกครั้ง ร่างกายพลันหนักอึ้งขึ้นทันที เท้ากดลงเหยียบพื้น ขณะเดียวกันก็คว้าโจวเจ๋อเอาไว้อย่างแรง
มือของทั้งสองสอดประสานกัน มือกระดูกของโจวเจ๋อเหมือนกับมีดผ่าตัดคมกริบแทงเข้าไปในร่างของพระขี้เรื้อนอย่างดุเดือด แต่ฝ่ามือทั้งคู่ของพระขี้เรื้อนก็อัดแน่นไปด้วยพลังแห่งพุทธะอันมหาศาล กำลังกัดกร่อนร่างกายของโจวเจ๋ออย่างบ้าคลั่ง หลังจากต่างฝ่ายต่างไม่ยอมอ่อนข้อให้กันอยู่ครู่หนึ่ง ทั้งสองเตะออกไปพร้อมกัน เตะกระทุ้งร่างกายของกันและกัน
‘พลั่ก!’ ทั้งสองหงายหลังกระเด็นออกไปในทิศทางตรงกันข้ามพร้อมกัน แต่ไม่นานนัก ทั้งคู่ก็หมุนตัวกลับมาและกระแทกชนกันอย่างเอาเป็นเอาตายอีกครั้ง ราวกับเป็นหมาบ้าสองตัวที่กำลังต่อสู้กันพัวพันยุ่งเหยิง
……………………………………………….