ยมทูตพาร์ตไทม์แห่งร้านหนังสือยามวิกาล – ตอนที่ 675 หาต้นตอเจอแล้ว

ยมทูตพาร์ตไทม์แห่งร้านหนังสือยามวิกาล

ตอนที่ 675 หาต้นตอเจอแล้ว

สถานการณ์มีความเก้อเขินเล็กน้อย ทนายอันวางโทรศัพท์ในมือ แล้วหัวเราะอย่างเก้ๆ กังๆ เอ่ยว่า “ฮ่าๆๆๆบังเอิญจัง”

โจวเจ๋อส่ายหน้า ไม่พูดอะไร ทนายอันเดินไปข้างกายโจวเจ๋อ ‘เอี้ยก้วย’ สองคนเดินเคียงไหล่กัน ในภูเขาลมพัดค่อนข้างแรง แขนเสื้อที่ว่างเปล่าข้างหนึ่งของทั้งสองคนพลิ้วไหวไปตามสายลม จู่ๆ โจวเจ๋อรู้สึกว่าแบบนี้เหมือนคนโง่เล็กน้อย ดังนั้นจึงจงใจถอยหลังไปหนึ่งก้าว ขณะเดียวกันก็ยกมือชี้ไปข้างหน้า ความหมายคือ คุณเข้าไปก่อน

ในช่วงที่ไม่มีนักพรตเฒ่าอยู่ด้วย ถึงอย่างไรก็ต้องมีใครสักคนเดินนำหน้า ทนายอันพยักหน้า จากนั้นยื่นมือชี้ไปข้างหน้าเช่นกัน เด็กผู้ชายกลอกตาใส่ผู้ชายแขนด้วนทั้งสองคน แล้วเดินไปข้างหน้าอย่างไม่ยี่หระ

‘ปึ้ง!’ พอเหยียบเท้าลงไป ประตูเหล็กล้มครืนทันที พวกเขาไม่ได้มาตรวจสอบ และไม่ได้มาเพื่อแฝงตัวเข้าไปซึ่งมีระดับความยากสูงมาก มันเหนื่อยเกินไป และยุ่งยากเป็นอย่างมาก ก็แค่ค้างคาวตัวเล็กสองสามตัวกับค้างคาวตัวใหญ่ตัวหนึ่งเท่านั้น จึงเดินโต้งๆ เข้าไปทันที ทิ้งเจ้าของบ้านชายคนนั้นไว้ โจวเจ๋อและคนอื่นเดินตามเด็กผู้ชายเข้าไปข้างใน

ลูกกตัญญูคนนั้น โจวเจ๋อไม่อยากทำให้เขาลำบากใจจริงๆ เขาเป็นคนทึ่มเล็กน้อย แต่ก็ทึ่มแบบน่ารัก จึงไม่แปลกใจเลยที่อาหงจะรู้สึกชอบเขา แน่นอนว่ายังเป็นเพราะคนพวกนี้ไม่ได้อยู่ในขอบเขตของวิญญาณคนตาย ถึงแม้จะเป็นปลาที่เล็ดรอดไปได้ สำหรับโจวเจ๋อแล้วไม่มีผลกระทบอะไร สุดท้ายแล้วผลกรรมไม่มีทางมาตกอยู่กับตัวเขาอยู่แล้ว ส่วนคนพวกนี้จะอยู่ในความดูแลของใคร โจวเจ๋อไม่รู้จริงๆ ไม่ว่าอย่างไรนรกก็ไม่มีหน้าที่ด้านนี้

พื้นที่ของสถานพักฟื้นไม่ใหญ่มาก มีแค่สองตึกเท่านั้น ประตูหน้าต่างปิดสนิท และดูท่าแล้วคงไม่ได้เปิดมาเป็นเวลานาน แต่หลังจากทุกคนเดินเข้าไป กลับพบว่าพื้นที่ราบของตึกชั้นหนึ่ง มีผู้ชายห่มผ้าห่มสีดำนั่งอยู่คนหนึ่ง ผู้ชายไม่มีเส้นผม ใบหน้าแสดงให้เห็นถึงลักษณะของอาการป่วยอย่างหนึ่ง

ดูเหมือนเขาจะหนาวมาก ขดตัวอยู่ในผ้าห่ม ตัวสั่นหงึกๆ

“เขาเหรอ” ทนายอันมองไปรอบๆ

“ผมเสียใจ” ผู้ชายที่อยู่ใต้ผ้าห่มพูด “ผมไม่ควรสั่งให้พวกเขาพาผมมาที่นี่ ไม่คิดว่าพวกคุณจะช้ากันขนาดนี้ ผมทนหนาวไม่ไหว ผมกลัวจริงๆ ว่าพวกคุณยังไม่ทันมา ผมก็หนาวตายอยู่ที่นี่ก่อนแล้ว พวกคุณไม่ต้องหาแล้ว คนอื่นอีกสองสามคน ผมปล่อยไปแล้ว บอกพวกเขาอย่ากลับมา พวกเขาเป็นคนน่าสงสารเหมือนกัน เป็นคนน่าสงสารด้วยกันทั้งนั้น หลังจากถูกแพร่เชื้อจากผม พวกเขาไม่ได้ทำเรื่องที่ผิดต่อฟ้าดิน” เสียงของผู้ชายแหบพร่าเป็นอย่างมาก แต่ไม่ใช่เสียงทุ้มต่ำ สามารถสัมผัสได้ถึงโทนเสียงเวลาที่เขาพูดว่ามีความสั่นเครือ ดูจากวิธีการพูดของเขาแล้ว คงเป็นเพราะหนาวมาก

“คุณรู้ไหมว่าพวกเราเป็นใคร” ทนายอันชี้ไปที่ตัวเองพลางถาม

ผู้ชายส่ายหน้า เอ่ยว่า “พอเดาออก อาจจะถูกส่งมาจากรัฐบาลของประเทศ”

“เอ่อ…” ทนายอัน

อิงอิงหาเก้าอี้จากห้องหนึ่งมาให้โจวเจ๋อ โจวเจ๋อนั่งลงบนเก้าอี้ แล้วกล่าวว่า “พวกเราอยากถามคุณเรื่องหนึ่ง คุณไม่ต้องตื่นเต้น คนอย่างผมเป็นคนใจอ่อนและมีเมตตากับคนอื่นมาตลอด บนโลกนี้ มีศัตรูไม่กี่คนเท่านั้น”

ผู้ชายยื่นมือออกมาจากผ้าห่ม แท็บเล็ตอันหนึ่งร่วงลงบนพื้น บนนั้นมีวิดีโอตัวหนึ่งเล่นอยู่ ในวิดีโอ เป็นภาพของโจวเจ๋อที่ต่อสู้กับผีดูดเลือดสองคน

“…” โจวเจ๋อ เฮ้อ น่าอายจริงๆ

“ผมว่านะ ผ้าห่มของคุณไม่ได้มีไว้กันหนาว ผมขอดูหน่อยว่าข้างในมีอะไร” ทนายอันเดินไปข้างหน้า ยื่นมือจับผ้าห่มผืนนั้น

“คุณทำอะไร อย่ามาแตะกู!!!!!!!” ผู้ชายระเบิดอารมณ์ทันที อันที่จริงหลายคนมีความเคยชินเช่นนี้ ตอนที่ควบคุมอารมณ์ของตัวเองไม่ได้ มักจะใช้ ‘ภาษาแม่’ ของตัวเองด้วยความคุ้นชินเสมอ ซึ่งก็คือภาษาท้องถิ่น

ทนายอันมองข้ามความไม่พอใจของอีกฝ่าย เปิดผ้าห่มของอีกฝ่ายโดยตรง เอ่อ ไอ้หมอนี่ ไม่แปลกใจเลยที่ต้องปิดด้วยผ้าห่ม คนผู้นี้นอกจากมือและเท้าที่ปกติแล้ว ทั่วทั้งร่างกายของเขาเหี่ยวย่นรวมกันถึงขั้นที่คนยากจะจินตนาการได้

“อาๆๆๆๆๆ!!!!!!” ผู้ชายโบกมือไปมาร้องตะโกนเสียงสูง เหมือนค้างคาวตัวหนึ่ง

ทนายอันคลุมห้าห่มของเขากลับไป ขมวดคิ้วเอ่ยว่า “คุณฝึกพลังหดหยางจนธาตุไฟแตกแล้วใช่ไหม”

ผู้ชายกระหืดกระหอบ แต่เวลานี้ได้แต่จับผ้าห่มของตัวเองแน่น ดูไม่เหมือน ‘ท่านผู้ใหญ่’ แต่เหมือนคนป่วยที่จนตรอกมากกว่า

ตอนแรกโจวเจ๋อเคยทำงานอยู่ในโรงพยาบาลมาสิบปี เห็นภาพแบบนี้มาก็เยอะ

“ผมไม่เคยฆ่าคนและไม่เคยทำร้ายใคร พวกเขาสมัครใจเอง สมัครใจเองทั้งนั้น ผมกำลังช่วยพวกเขา ผมช่วยพวกเขาอยู่” ผู้ชายพูดพึมพำไม่หยุด

“อย่างนั้น ผู้ชายสามคนนั้นหมายความว่ายังไง” โจวเจ๋อถาม

“พวกเราพบว่าคุณไปบ้านของเสี่ยวหลิน ผมจึงสั่งให้พวกเขาไปดูสถานการณ์ ไม่ได้ให้พวกเขาฆ่าคุณ พวกเราแค่อยากรู้ว่าใครกำลังตามสืบพวกเรากันแน่ พวกเรากลัวมาก พวกเรากลัวมากจริงๆ พวกเรากลัวว่าจะถูกฆ่าเพราะเป็นตัวแพร่เชื้อ พวกเรากลัว กลัวตายมากๆ แต่ๆ แต่พวกเขากลับถูก ถูกคุณ…”

พวกเขากลับถูกคุณฆ่าหมด

“ผมแค่อยากถามคุณว่า เหตุการณ์ผีดิบเมื่อศตวรรษที่แล้ว เกี่ยวข้องกับคุณไหม”

ผู้ชายตกตะลึง ไม่ตอบ แต่แสดงสีหน้าคาดหวังออกมาบนใบหน้า ถามว่า “คุณ คุณไม่ได้มาฆ่าพวกเราใช่ไหม”

“ผมไม่สนใจพวกคุณ”

ถ้าหากเป็นผีดูดเลือดจริง โจวเจ๋อกลับสนใจที่จะศึกษาวิจัยอยู่บ้าง หรือไม่ก็จับไปสร้าง ‘สัตว์โลกน่ารัก’ ของตัวเองขึ้นมาใหม่ แต่คนที่อยู่ตรงหน้ารวมทั้งคนที่ติดเชื้อพวกนั้น โจวเจ๋อไม่สนใจเลยสักนิด แบบนี้ไม่นับว่าเป็นของก็อปเกรดเอ แม้แต่ของแถมเกรดต่ำก็ไม่ใช่ เป็นเพียงของมีตำหนิเท่านั้น

“ความอดทนของผมไม่เยอะ คุณจะมีชีวิตอยู่ต่อไปได้ไหม ขึ้นอยู่กับคุณ” โจวเจ๋อจุดบุหรี่หนึ่งมวน พูดจริงๆ นะเดิมทีคิดว่าเมื่อเข้ามาในสถานพักฟื้นแล้วจะต้องต่อสู้กับฝูงค้างคาว ใครจะไปคิดว่าสุดท้ายกลับเป็นเหตุการณ์เช่นนี้

“นั่นเป็นเหตุการณ์เมื่อยี่สิบกว่าปีก่อน ตอนนั้นผมเป็นหนึ่งในทีมโบราณคดี…”

“เริ่มต้นเรื่องทำไมดูคุ้นเคยขนาดนี้ เฮ้ คุณไม่ได้ท่องนิยายปล้นสุสานใช่ไหม” ทนายอันอดไม่ได้ที่จะพูดแซว

“ผมชื่ออู๋เฉิงกวง จบคณะโบราณคดี ตอนนั้นผมตามทีมของอาจารย์ไปสำรวจที่แม่น้ำฝูหนานไล่มาจนถึงภูเขาชิงเฉิง จำนวนคนไม่เยอะ ตอนนั้นความสะดวกทั้งด้านการเงินและอื่นๆ ค่อนข้างแย่ อาจารย์จึงพาพวกเรานักศึกษาไปด้วยแค่ห้าคน และคราวนี้รับผิดชอบแค่สำรวจเท่านั้น เพราะหรงเฉิงมีสุสานโบราณค่อนข้างมาก แต่ถึงแม้จะเยอะมาก ก็ไม่ใช่ว่าแค่เดินแล้วจะเจอ แต่ครั้งนั้นกลับเจอจริงๆ ใต้ตีนเขาทางทิศใต้ของภูเขาชิงเฉิงอาจารย์พบถ้ำโจรปล้นสุสานแห่งหนึ่ง

พวกเราตื่นเต้นมาก คิดว่าเป็นการค้นพบครั้งใหญ่ จริงๆ แล้วอาจารย์ไม่ได้มีชื่อเสียงในวงการมากนัก จึงหวังมาตลอดว่าจะค้นพบโบราณสถานที่ยิ่งใหญ่สักครั้งเพื่อเพิ่มชื่อเสียงให้ตัวเอง ดังนั้นพวกเราจึงฝ่าฝืนกฎ ไม่ได้แจ้งเบื้องบน พวกเราเข้าไปในถ้ำโจรปล้นสุสานก่อนภายใต้การนำของอาจารย์

เดิมทีอาจารย์คิดว่านี่คือสุสานโบราณที่เคยโดนปล้นแห่งหนึ่ง แต่ใครจะรู้ว่า หลังจากที่พวกเราลงไปในถ้ำแล้ว จะเห็นประตูสีแดงที่ปิดแน่นอยู่บานหนึ่ง ถูกทาด้วยสีแดง ประตูทำมาจากการหลอมด้วยทองแดงทั้งสิ้น ทุกมุมล้วนปิดอยู่ แต่เนื่องจากประตูมีความหนา ดังนั้นจึงไม่สามารถปิดสนิทได้อย่างสมบูรณ์ หากยืนอยู่ด้านนอกถึงขนาดมองเห็นภายในผ่านช่องที่มีความกว้างขนาดเท่าโทรศัพท์มือถือ อาจารย์ถือไฟฉายส่องเข้าไปข้างหน้า ในเมื่อประตูไม่เปิด พวกเราจึงเตรียมตัวเดินกลับ ไม่ว่าอย่างไรอยากจะเปิดประตูบานนี้ ก็ต้องมีทีมงานมืออาชีพลงมา

แต่ตอนที่พวกเรากำลังจะเดินกลับ ด้านหลังประตูสีแดงกลับมีกลุ่มควันสีดำปรากฏ พวกเราถูกปกคลุมไปด้วยควันสีดำ ทุกคนต่างวิ่งหนีอุตลุด เพราะกลัวว่าควันนี้จะมีพิษ ผมเป็นคนที่ออกมาคนแรก ตอนที่ผมเตรียมจะรับเพื่อนนักศึกษาคนที่สองออกมา กลับถูกเขาผลักล้มลงไปบนพื้น จากนั้นเขาเริ่มกรีดร้องอย่างบ้าคลั่ง เอามือกุมศีรษะเริ่มวิ่งตะบึงไปทิศทางอื่น ต่อจากนั้นเพื่อนนักศึกษาอีกสองสามคนที่ขึ้นมาก็มีอาการเหมือนกัน พวกเขาเหมือนเปลี่ยนไปเป็นคนละคน วิ่งตะบึงอย่างบ้าคลั่งออกไป

เนื่องจากอาจารย์อายุมากแล้ว ปกติทุกคนเห็นว่าเขาเป็นอาจารย์จึงถามไถ่สารทุกข์สุกดิบมาตลอด แต่ตอนที่วิ่งหนีเอาชีวิตรอด ไม่มีใครยอมหลีกทางให้เขา ดังนั้นเขาจึงขึ้นมาเป็นคนสุดท้าย แต่หลังจากที่เขาขึ้นมา ได้กระโจนเข้าหาผมโดยตรง แล้วกัดผม! ผมถูกเขากระโจนเข้าใส่จนล้มไปบนพื้น ผมจึงหยิบก้อนหินที่อยู่ข้างๆ ทุบลงไป อาจารย์ถูกผมทุบจนตาย แบบว่าหัวแบะเลย

ผมตกใจกลัวมาก เพราะว่าฆ่าคน ผมจึงไม่กล้าไปแจ้งความ กระทั่งซ่อนตัวอยู่ในป่าเป็นเวลานาน และน่าจะอยู่ที่นี่ประมาณครึ่งเดือนเห็นจะได้ ผมทนใช้ชีวิตอยู่ในป่าแบบนี้ไม่ไหวแล้วจริงๆ แต่ผมก็กลัวว่าตำรวจจะเจอศพของอาจารย์ กลัวว่าจะถูกแจ้งจับ ดังนั้นจึงแอบขโมยเสื้อผ้าของชาวบ้านที่อยู่ตามตีนเขา แล้วแอบกลับไปที่เมืองหรงเฉิง ผมลองติดต่อครอบครัวของผม กลับพบว่าตอนนี้ครอบครัวของผมคิดว่าผมตายไปแล้ว สาเหตุการตายเพราะอุบัติเหตุจากการสำรวจทางโบราณคดี ที่บ้านถึงขนาดจัดงานศพให้ผมเรียบร้อยแล้ว

ผมจึงตามหาสถานที่ซ่อนโบราณวัตถุของอาจารย์ที่ผ่านมาในอดีต สถานที่นี้มีผมกับเขาเท่านั้นที่รู้ เพราะผมช่วยเขา ผมนำโบราณวัตถุออกมา ขายได้ราคาดีไม่น้อย แล้วจึงหาที่พักอาศัยในหรงเฉิง

จากนั้นไม่นาน เหตุการณ์ผีดิบจึงเริ่มเผยแพร่ออกมาอย่างช้าๆ ได้ยินว่ามีคนโดนกัดไม่น้อย ต่อมาเบื้องบนจึงยกกำลังพลขึ้นบกดำเนินการจับกุมและค้นหาแบบเรียงหน้ากระดาน ผมกลัวมาก เพราะผมมีลางสังหรณ์ว่า คนที่กัดคนพวกนั้น อาจจะไม่ใช่ผีดิบอะไร แต่เป็นเพื่อนนักศึกษาสองสามคนของผม เพราะแม้แต่ผมก็เริ่มสนใจเลือดสดๆ แต่เป็นแค่เลือดเป็ดเลือดไก่เท่านั้น กับเลือดคนผมรู้สึกขยะแขยง

ผมคิดว่าอาจจะเป็นเพราะผมวิ่งออกมาคนแรก ดังนั้นจึงติดเชื้อไม่มาก เพื่อนนักศึกษาของผมและอาจารย์ติดเชื้อเยอะกว่า สติฟั่นเฟือนไปแล้ว สิ่งที่ดำเนินต่อมาก็เป็นพล็อตเรื่องเดิมๆ ไม่ว่ายังไงผมก็เอาตัวรอดไปวันๆ จนถึงตอนนี้ และผลการตอบสนองของโรคนี้ก็ยิ่งชัดเจนขึ้นเรื่อยๆ ผมไม่ได้เสียสติ แต่ร่างกายของผมกลับกลายเป็นเช่นนี้”

“สุสานโบราณนั่น อยู่ที่ไหน” โจวเจ๋อถาม

ผู้ชายแสยะยิ้ม โชว์ฟันสีดำทั้งปาก หัวเราะพูดว่า “อยู่ตรงกลางระหว่างสถานพักฟื้นแห่งนี้” ผู้ชายเอียงศีรษะ “ผมคอยเฝ้ามันตลอด คอยเฝ้าจนถึงตอนนี้ แต่ผมไม่มีความกล้าที่จะลงไปอีกครั้ง”

……………………………………………………………………….

ยมทูตพาร์ตไทม์แห่งร้านหนังสือยามวิกาล

ยมทูตพาร์ตไทม์แห่งร้านหนังสือยามวิกาล

Status: Ongoing
หลังจากการตายที่ไม่คาดคิด สิ่งที่เขาได้รับคือ ตัวตนใหม่ ร้านหนังสือใกล้เจ๊ง และตำแหน่งยมทูตจำเป็น

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท