ตอนที่ 687 ตัวนำโชค
“สืบอะไรไม่ได้เลย เมาเละไม่รู้เรื่อง แต่พบโปสเตอร์คนนี้เยอะมากในบ้านของเขา” เยวี่ยหยายื่นโปสเตอร์ให้เหล่าจาง
“เป็นดาราหรือว่านักแสดงคนไหน”
เหล่าจางส่ายหน้า “ไม่ใช่ดารา และก็ไม่ใช่นักแสดง เป็นประธานสมาคมการรักษารูปแบบใหม่แห่งหนึ่ง มีชื่อเสียงมากในเขตนี้ ได้ลงหนังสือพิมพ์และออกทีวีเป็นประจำ ด้านหลังของป้ายรถเมล์มีแต่ภาพโฆษณาของเขา และยังสนับสนุนให้สร้างห้องน้ำสาธารณะนับร้อยแห่ง แต่ไม่มีความเกี่ยวข้องอะไรกับวงการบันเทิง”
“การรักษารูปแบบใหม่ รักษารูปแบบใหม่อะไร”
“ดูเหมือนจะเป็นคลื่นแม่เหล็ก คือการรักษาโดยอาศัยคลื่นแม่เหล็ก ผมจำได้ว่าแนวคิดของเขาคือร่างกายมนุษย์มีสนามแม่เหล็กอยู่ในตัวเอง ธรรมชาติก็มีสนามแม่เหล็กเป็นของตัวเองเช่นกัน สาเหตุที่คนเจ็บป่วย ก็เพราะสนามแม่เหล็กของตัวเองเกิดความแปรปรวน ปะทะกับธรรมชาติ จากนั้นก็เป็นไปตามหลักการของผู้อยู่รอดโดยการคัดเลือกตามธรรมชาติ บวกกับแนวคิดฟ้าดินไร้เมตตาเห็นสรรพสิ่งเป็นดั่งสุนัขฟาง
ประมาณว่า ถ้าหากสนามแม่เหล็กของตัวคุณเองเกิดการปะทะกับสนามแม่เหล็กของธรรมชาติ อย่างนั้นธรรมชาติก็จะไม่อนุญาตให้คุณมีชีวิตอยู่ต่อไป จึงเริ่มบีบบังคับคุณ ทำให้คุณป่วย ทำให้คุณเป็นโรครักษาไม่หาย ทำให้คุณตาย ดังนั้น เขาจึงริเริ่มการรักษาด้วยคลื่นแม่เหล็ก ดำเนินการจัดระเบียบสนามแม่เหล็กของตัวเองใหม่ ให้กลับไปอยู่ในคลื่นความถี่ที่สอดคล้องกับธรรมชาติดังเดิม จากนั้นรักษาด้วยยาเป็นตัวช่วยเสริม ก็ได้ผลเป็นทวีคูณแล้ว”
“ฟังดูแล้วน่ามหัศจรรย์มาก”
“จริงๆ ก็ไม่ได้มหัศจรรย์อะไร สมาคมนี้มีโรงพยาบาลเป็นของตัวเอง อยู่ตรงจุดเชื่อมต่อของทงเฉิงกับหยางโจว แต่ถือว่าอยู่ในเขตของทงเฉิง และแนวคิดของเขายังรวมกับทฤษฎีของฟิสิกส์สมัยใหม่ ปรัชญาจีนโบราณ ยังมีการแพทย์แผนปัจจุบัน และอื่นๆ อีกมากมาย”
“แต่ฉันก็รู้สึกว่าไม่น่าเชื่อถือ”
“ไม่น่าเชื่อถือก็จริง แต่ในความเป็นจริง หน่วยงานที่เกี่ยวข้องเคยไปตรวจสอบโรงพยาบาลของเขาแล้ว แต่เป็นโรงพยาบาลที่ดำเนินการถูกสุขลักษณะมีคุณสมบัติถูกต้องได้มาตรฐาน มีแพทย์แผนปัจจุบันเป็นหลัก แพทย์แผนจีนเป็นรอง คนไข้นอกจากไปรักษาด้วยคลื่นแม่เหล็กที่ห้องคลื่นแม่เหล็กทุกวันแล้ว การรักษาอย่างอื่นได้ดำเนินการอย่างถูกต้องตามกฎระเบียบ โรงพยาบาลแห่งนั้นไม่เคยมีปัญหาเรื่องการรักษาเลย และไม่เคยเกิดอุบัติเหตุเรื่องการรักษามาก่อน
ดังนั้น การสืบในครั้งนั้นจึงสืบไม่สำเร็จแต่ก็ต้องจบไปก่อน เพราะสืบไม่เจอปัญหาอะไรจริงๆ คุณจะไปว่าว่าทฤษฎีของเขาผิดก็ไม่ได้ เพราะไม่เคยรับการพิสูจน์มาก่อน และตอนนี้ร้านนวดหลายแห่งก็มีบริการ ‘นวดหลังด้วยคลื่นแม่เหล็ก’ ในโรงพยาบาลทำแบบนี้ ขอแค่ไม่รบกวนการรักษาตามปกติ ก็เหมือนเวลาเราปูพื้นด้วยหินไข่ห่านในลานบ้านของตัวเอง แล้วบอกคนอื่นว่าเวลาว่างก็มาเดินได้สามารถทำให้จุดต่างๆ ตามร่างกายไม่ติดขัด จับจุดอ่อนอะไรไม่ได้เลย”
“จะว่าไปแล้ว นี่ ตำรวจจาง ทำไมคุณถึงรู้เยอะขนาดนี้” เยวี่ยหยาไม่เชื่อว่าแค่ ‘เคยได้ยินมาก่อน’ เท่านั้น ตำรวจจางที่อยู่ตรงหน้าคนนี้สามารถเล่าเรื่องได้อย่างละเอียดยิบ แม้แต่ทฤษฎีที่เป็นหัวใจสำคัญของเขาก็ยังพูดออกมาได้ทั้งหมด ถ้าหากไม่รู้ว่าอีกฝ่ายเป็นยมทูตเหมือนตัวเองละก็ เธออาจจะคิดว่าเหล่าจางเป็นลูกค้าประจำของโรงพยาบาลแห่งนั้นไปแล้ว และศรัทธากับสิ่งที่เรียกว่าทฤษฎีนี้
เหล่าจางส่ายหน้า เอ่ยว่า “เขามีชื่อเสียงมากเกินไป หนังสือพิมพ์ท้องถิ่น โทรทัศน์ วิทยุ กระทั่งกิจกรรมตามท้องถนน ล้วนมีเงาของเขาปรากฏอยู่ทุกที่ ดังนั้นผมจึงสังเกตเขา และเคยสืบเรื่องของเขามาก่อน”
“ดังนั้น ตำรวจอาชญากรรมอย่างพวกคุณเดินตามท้องถนน มองใครแล้วไม่พอใจก็สืบคนนั้นใช่ไหม อย่างนั้นพวกที่เสพยาในเขตเจาหยาง ตอนที่ประชาชนคนท้องถิ่นดูโทรทัศน์แล้วจู่ๆ รู้สึกว่าหน้าตาของพวกเขาขัดหูขัดตา ดังนั้นจึงไปสืบและแจ้งความเหรอ”
“คุณคิดว่า ถ้าหากเขาศึกษาการแพทย์จากใจจริง อยากจะพิสูจน์สิ่งที่เรียกว่า ‘การรักษาด้วยคลื่นแม่เหล็ก’ ทำไมต้องยกระดับการโปรโมตไม่หยุด สร้างภาพลักษณ์ให้ตัวเองไม่หยุด การโปรโมตนั้นมีจุดประสงค์ การโปรโมตที่จอมปลอมและเกินจริงเกินไปมักจะทำไปเพื่อปิดบังจุดประสงค์ที่อยู่ในระดับที่ลึกกว่า”
“ใครไม่เคยหลงใหลในหน้าตาและชื่อเสียงจอมปลอมบ้าง ล้วนเคยคิดอยากเป็นคนดัง ได้รับความเลื่อมใสศรัทธาทั้งนั้น”
เหล่าจางไม่พูดอะไรอีก แต่หยุดรถที่หน้าประตูแล้วชี้ไปยังตึกที่อยู่ตรงหน้า พลางเอ่ยว่า “ครอบครัวที่สองอาศัยอยู่ในตึกนี้ ครอบครัวมีห้าคน ผู้ชายที่เป็นหัวหน้าครอบครัวหายตัวไป หัวหน้าทีมของโรงงานเครื่องจักรเป็นคนแจ้งความ”
“ได้ ฉันจะไปอีกครั้ง คุณรอเดี๋ยวนะ”
มองดูเยวี่ยหยาลงจากรถ จนเงาร่างเลี้ยวหายไปตรงมุมข้างหน้าแล้ว เหล่าจางจึงลงจากรถ ยืนพิงประตู จุดบุหรี่หนึ่งมวน ไม่รู้ว่าทำไม ตาขวาของเขากระตุกตลอด
ตอนแรกเขาไม่สนใจเรื่องนี้ หากเป็นเมื่อก่อนมักจะบ่นในใจว่าเป็นความเชื่องมงายเชื่อถือไม่ได้ แต่ปัญหาคือการมีตัวตนอยู่ของเขาก็คือสิ่งที่เป็นความเชื่องมงายเช่นกัน
บางครั้งเหล่าจางก็สับสนมาก เขาหวังเป็นอย่างยิ่งว่าหลังจากตัวเองตื่นขึ้นมาแล้วยังเป็นจางเยี่ยนเฟิงคนนั้นเหมือนเดิม แต่ทุกครั้งตอนเช้าล้างหน้าแปรงฟันมองใบหน้า ‘เด็กหนุ่ม’ ในกระจก ความปรารถนาแบบนั้นพังทลายย่อยยับในพริบตา
เหล่าจางพ่นควันออกมา ยืดแขนบิดขี้เกียจ เขารอประมาณครึ่งชั่วโมง เยวี่ยหยาจึงกลับมา พร้อมกับถุงพลาสติกหนึ่งถุงในมือ เหล่าจางเข้าไปนั่งในรถ หลังจากรอเยวี่ยหยาเข้ามานั่ง เขาจึงสตาร์ทรถขับออกไปจากที่นี่
เมื่อถึงย่านถนนอีกแห่ง เหล่าจางจึงจอดรถข้างทาง เอ่ยถามว่า “สืบได้อะไรไหม”
เยวี่ยหยาส่ายหน้า “ไม่ได้อะไรเลย ครอบครัวของเขาไม่รู้ว่าเขาไปไหน และพูดแค่ว่าคนที่ชื่อหวังเต๋ออี้คนนั้นก่อนจะไป ได้คุกเข่าต่อหน้าพ่อแม่และภรรยาของตัวเองอย่างจริงจัง บอกว่าเขาจะไปสถานที่หนึ่งที่สามารถรักษาโรคได้ และสั่งให้คนในครอบครัวของตัวเองรับปากว่าจะไม่แพร่กระจายเรื่องนี้ออกไป แถมยังพูดว่าตัวเองจะไม่เป็นอันตรายเด็ดขาด”
“ไม่ได้พูดว่าไปที่ไหน”
“เปล่า ครอบครัวของเขาไม่รู้จริงๆ ฉันคิดว่า ครอบครัวคนอื่นอีกสองสามคนที่หายตัวไป ก็น่าจะใช้วิธีนี้พูดกับคนในครอบครัวของตัวเอง และดูเหมือนหวังเต๋ออี้ก่อนจะออกจากบ้าน ได้ถอนเงินเก็บออกมาทั้งหมด บอกว่าเป็นเงินรับประกันอะไรนี่แหละ”
“ในบ้านของครอบครัวนั้น มีโปสเตอร์ไหม”
“ฉันได้ตั้งใจสังเกต แต่ไม่มี แต่ฉันพบสิ่งนี้ในบ้านของพวกเขา” เยวี่ยหยาเปิดถุงพลาสติก ในนั้นมีแม่เหล็กหลายอัน
“เจอบนเตียง หัวเตียงท้ายเตียงทั้งสองด้านมีข้างละอัน ข้างล่างฟูกตรงกลางอีกหนึ่งอัน นี่คือใช้รักษาทุกวันเวลานอนหลับ”
เหล่าจางยื่นมือจับแม่เหล็กที่อยู่ตรงหน้า แล้วกัดด้วยปาก
“ต่อไป ต้องไปสืบที่โรงพยาบาลไหม”
“ยังไม่ไปดีกว่า” เหล่าจางยื่นมือคลึงตรงกลางระหว่างคิ้วของตัวเอง เห็นได้ชัดว่าเหนื่อยมาก
“เป็นอะไร กลัวเหรอ ไม่นะ คุณเป็นคนที่เคยตายมาแล้วหนึ่งครั้ง ยังจะกลัวอะไร”
“ผมต้องเรียบเรียงก่อน และในเมื่อตอนนี้มีเบาะแสแล้ว ผมยังอยากแก้ไขปัญหาตามระบบที่ถูกต้อง”
“คร่ำครึ”
“คุณบอกว่า ผมเป็นตัวนำโชค อย่างนั้นผมก็ต้องทำหน้าที่ของตัวนำโชคให้ดี”
“อย่างนั้นก็ได้ ฉันขอตัวกลับก่อน สามารถกลับไปรายงานหัวหน้าได้แล้ว” เยวี่ยหยาผลักประตูรถแล้วลงจากรถ
“ผมจะไปส่งคุณ”
“เหรอ ดูฝืนใจมาก ฉันนั่งรถแท็กซี่กลับเองได้ค่ะ เพราะอยู่ไม่ไกลมาก และจะได้เข้าไปเดินเล่นในร้านขายทองด้วย” เยวี่ยหยาโบกมือ แล้วหมุนตัวเดินออกไป
เหล่าจางกลับไปนั่งในรถสักพักหนึ่ง หลังจากสูบบุหรี่หนึ่งมวนแล้ว จึงสตาร์ทรถใหม่อีกครั้ง ขับกลับไปที่สถานีตำรวจ
เวลานี้เป็นเวลาโพล้เพล้ เหล่าจางจอดรถ ตอนที่เขาเพิ่งจะเดินเข้าไปในตึกใหญ่ของสถานีตำรวจ ตำรวจหญิงคนหนึ่งเดินออกมาพอดี
“คุณยังไม่ได้กินข้าวใช่ไหม”
“อ้อ ลืมไปเลย” เหล่าจางลืมจริงๆ ตอนกลางวันเขายังคิดอยู่ว่าสวี่ชิงหล่างกลับมาแล้ว ตัวเองจะกลับไปขอกินข้าวเย็นที่ร้านหนังสือ
“ฉันก็ยังไม่ได้กิน ไปค่ะ ไปโรงอาหารด้วยกัน” ตำรวจเฉินจูงข้อมือของเหล่าจางโดยตรง ลากเขาไปที่โรงอาหาร
เหล่าจางหน้าแดง หลังจากตัวเองหย่ากับภรรยาแล้ว ก็ไม่เคยได้สัมผัสสนิทชิดใกล้กับเพศตรงข้ามนอกเหนือจากการทำงาน
เมื่อเดินได้สองสามก้าว เหล่าจางจงใจสะบัดข้อมือของตัวเองให้หลุดจากการจับของตำรวจเฉิน ระหว่างทางมีเพื่อนร่วมงานตำรวจเห็นฉากนี้อยู่ไม่น้อย แต่ทุกคนแสร้งทำเป็นมองไม่เห็น
เหล่าจางถึงแม้จะใช้ตัวตนนี้มาอยู่ที่สถานีตำรวจแค่ครึ่งปี แต่ทำงานเก่ง คล่องแคล่ว มีประสบการณ์เป็นอย่างมาก และตำรวจเฉินที่อยู่ข้างกายคนนั้นก็ยศ…
เมื่อซื้อข้าวในโรงอาหารแล้ว ทั้งสองคนจึงนั่งตรงข้ามกัน เหล่าจางแอบหยิบน้ำดอกพลับพลึงแดงออกมาแล้วดื่มลงไป ด้วยท่าทีที่รวดเร็วและลึกลับ แต่กลับถูกตำรวจเฉินจับได้
“ดื่มอะไรคะ”
“ยาบำรุงครับ”
“ผู้หญิงดื่มเยอะกว่าไม่ใช่เหรอคะ”
“ช่วงนี้รู้สึกว่าผมขาวเร็วไปหน่อย จึงลองดื่มนิดหนึ่งครับ”
“ค่ะ” ตำรวจเฉินไม่ซักถามอะไรอีก แล้วทั้งสองคนจึงกินข้าวอย่างเงียบๆ
ตอนที่กินข้าวใกล้เสร็จแล้ว ตำรวจเฉินหยิบโทรศัพท์ของตัวเองออกมา แล้วพูดในเวลาเดียวกัน “เพื่อนร่วมงานในแผนกบอกฉันว่า คุณอ่านข้อมูลของโรงพยาบาลที่รักษาด้วยคลื่นแม่เหล็กนั่น”
เหล่าจางวางตะเกียบ มองตำรวจเฉินอย่างแปลกใจ ก่อนจะพยักหน้า จากนั้นยกถ้วยน้ำแกงขึ้นมาแล้วดื่ม ‘อึกๆๆ’
“โรงพยาบาลนั่น คุณอย่าเพิ่งไปแตะตอนนี้”
“หมายความว่ายังไง” เหล่าจางหยิบกระดาษทิชชูบนโต๊ะออกมาแล้วเช็ดปาก “คุณกำลังออกคำสั่งกับผม”
“ฉันไม่ได้สั่งคุณในฐานะหัวหน้าของคุณ”
“อย่างนั้นหมายความว่ายังไง”
“ไม่มีอะไร”
“ผมเป็นตำรวจ”
“คำพูดแบบนี้ไม่ต้องพูดซ้ำๆ หรอกค่ะ ตอนนี้คุณใส่ชุดตำรวจอยู่”
“ไม่ ผมต้องพูดซ้ำ ไม่อย่างนั้นอย่าว่าแต่คนอื่นเลย แม้แต่ตัวผมเองก็ยังลืม”
ตำรวจเฉินยิ้มมุมปาก ก้มหน้าเลื่อนหน้าจอโทรศัพท์ของตัวเอง “แล้วแต่คุณค่ะ”
เหล่าจางลุกขึ้น แสร้งทำเป็นถามอย่างสบายใจว่า “มีคนมาบอกคุณใช่ไหม”
“คุณดูเรื่อง ‘ในนามของประชาชน’ มากเกินไป”
“จริงๆ แล้ว ผมไม่ได้อยากหาเรื่องโรงพยาบาลนั้น”
“ฉันรู้ค่ะ คุณดูสิ คุณพูดซ้ำอีกแล้ว”
“ผมเป็นตำรวจ”
“เฮ้อ…”
“คุณรู้ไหม มันเหมือนกับว่าจู่ๆ ผมฝันเห็นตัวเองตายแล้ว หลังจากตื่นขึ้นมา ผมจึงตระหนักได้อย่างหนึ่งในทันใด”
“พูดต่อ”
“ผมแค่อยากมีชีวิตอยู่เท่านั้น เพื่อสัญลักษณ์ตำรวจที่อยู่บนหมวกของผม”
“ฉันต้องปรบมือช่วยสนับสนุนคำพูดและอารมณ์ความรู้สึกของคุณไหมคะ”
“เกรงใจไปแล้วครับ” เหล่าจางโบกมือให้ตำรวจเฉิน “ผมยังมีธุระต่อ ขอตัวกลับไปออฟฟิศก่อนนะครับ”
เมื่อรอจนเงาร่างของเหล่าจางหายไปจากหน้าประตูโรงอาหารแล้ว ตำรวจเฉินจึงวางโทรศัพท์ลงอย่างเงียบๆ พูดพึมพำกับตัวเองเบาๆ ว่า “คุณเป็นตำรวจ แต่คุณก็เป็น…ตัวนำโชคเหมือนกัน”
……………………………………………………………………….