ตอนที่ 733 ฉันนอนหลับไปตอนไหน
“ฮู่ว…” เหล่าจางดีดผึงลุกขึ้นนั่งบนเตียง เหงื่อซกท่วมร่าง
เขาหายใจหอบถี่ จากนั้นหยิบน้ำแร่ขวดใหญ่บนโต๊ะข้างหัวเตียงขึ้นมาเปิดฝาขวดแล้วเริ่มกระดก ‘อึกๆ’ ทันที
ชาติก่อนเหล่าจางเคยได้รับบาดเจ็บจากการไล่ล่ามาแล้วครั้งหนึ่ง อยู่ในที่รกร้างไร้ผู้คนโดยไม่สามารถขยับตัวได้เลยเป็นเวลามากกว่าหนึ่งวัน เสียเลือดมากทำให้กระหายน้ำอย่างรุนแรง แต่เขากลับไม่มีน้ำให้ดื่ม จริงๆ แล้วมันร้ายแรงถึงขั้นที่ใช้มือลูบไล้ริมฝีปากก็สามารถฉีกหนังออกมาได้เลย แม้ว่าในครั้งนั้นจะได้รับการช่วยเหลือในที่สุด แต่เหล่าจางก็บ่มเพาะนิสัยเพราะสาเหตุนี้เช่นกัน นั่นก็คือก่อนเข้านอนทุกคืนจะนำขวดน้ำมาวางบนโต๊ะข้างเตียง อย่างนี้เขาถึงจะรู้สึกปลอดภัย แม้ว่าบ่อยครั้งที่เขาหลับไปแล้วจะไม่ตื่นขึ้นมาดื่มน้ำกลางคันเลยก็ตาม
พอเหล่าจางกระดกน้ำแร่ลงไปได้ครึ่งขวดแล้วก็สงบจิตสงบใจลง แต่ไม่นาน หัวใจก็พลันเต้นโครมครามอีกครั้ง!
เมื่อกี้ตัวเองนอนหลับสนิทเหรอ
คนทั่วไปไม่เกิดความประหลาดใจใดๆ ต่อการนอนหลับบนเตียง ต่างก็คิดว่าเป็นเรื่องธรรมชาติทั่วไป แต่สำหรับยมทูตแล้วกลับเป็นความทุกข์ทรมานและความปวดร้าวที่สุด เพราะพวกเขานั้นนอนไม่หลับ แม้จะกรอกยานอนหลับสุดฤทธิ์สุดเดชอย่างไร นอกเสียจากฆ่าตัวตายไป ไม่อย่างนั้นคุณก็นอนไม่หลับอยู่ดี
ที่รุนแรงกว่านั้นคือ ตอนที่ตัวเองโดนโจมตีทำร้ายหรือได้รับบาดเจ็บหนักจนสลบเหมือด แต่นั่นดันไม่ใช่การนอนหลับจริงๆ นี่สิ… แถมร่างของยมทูตก็มีพื้นฐานมาจากร่างของคนธรรมดา โดนทีก็สลบที คุณยังต้องการร่างกายนี้อยู่ไหมล่ะ
‘อึก…’ เหล่าจางกลืนน้ำลาย ความรู้สึกหวาดกลัวคืบคลานเข้ามา ความหวาดกลัวนี้มาจากไหนไม่รู้ มาจากการอยู่นอกเหนือการควบคุมของบางสิ่งบางอย่าง เมื่อวานเขาเหนื่อยเกินไปจริงๆ อย่างแรกเลยเป็นเพราะโดนผีสิงร่าง ทั้งยังใช้เวลาอยู่ในร้านหนังสือนานมากทีเดียว แถมข้ามคืนแล้วก็ยังไปโรงพยาบาลอีก บอบช้ำไปทั้งวันทั้งคืน
เมื่อคนเราเหนื่อยล้าเอามากๆ ก็มักจะละเลยหรือหลงลืมอะไรหลายๆ อย่าง อย่างเช่น เมื่อคืนเหล่าจางนอนบนเตียงและหลับตามความเคยชิน เดิมทีควรจะหายใจเข้าออกฝึกสมาธิตามวิธีที่ทนายอันสอนไว้ตามปกติ แต่ครั้งนี้ยังไม่ทันจะได้ทำสิ่งนี้เลย ดันนอนหลับไปเสียได้…
เหล่าจางไม่ไร้เดียงสาขนาดที่คิดว่า จู่ๆ เขาก็ถูกเปิดเส้นลมปราณตูและเริ่น ได้รับโอกาสที่คนอย่างเถ้าแก่และทนายอันคว้าไว้ไม่ได้จึงสามารถนอนหลับได้อย่างคนทั่วไป
ในเมื่อรู้สึกแปลกๆ ถ้าอย่างนั้นความฝันเมื่อกี้ล่ะ ความฝันที่สมจริงสุดๆ นั่นล่ะ
เหล่าจางรู้สึกว่าลมหายใจของตัวเองเริ่มถี่กระชั้น แม้ว่าเขาจะเป็นยมทูตมาเป็นเวลานานแล้ว แต่สำหรับเรื่องเหนือธรรมชาติที่เกี่ยวข้องกับ ‘ผี’ แท้จริงแล้วกลับไม่มีความสามารถอะไรเลย แต่แม้จะไม่เคยประสบมาก่อนก็ต้องเคยได้ยินได้เห็นมาบ้าง บางครั้งเขาก็คุยเล่นกับนักพรตเฒ่า ฟังนักพรตเฒ่าเล่าเรื่องพวกนั้นและวิถีทางในร้านหนังสือ แม้ว่านักพรตเฒ่าจะชอบคุยโวโอ้อวดตัวเองและต่อเติมเสริมแต่งให้ตัวเองดูดีเกินจริง แต่เหล่าจางก็สามารถ ‘ใช้วิจารณญาณของตัวเอง’ เพื่อรับข้อมูลที่เป็นประโยชน์ได้เช่นกัน
ตัวอย่างเช่น เรื่องเถ้าแก่ที่นรกคราวก่อน นักพรตเฒ่าคุยโวว่า เขาเป็นผู้จุดธูป กราบไหว้สวดมนต์ อาบน้ำสามเวลาเป็นเวลาสามวันสามคืนถึงได้เปิดประตูให้เถ้าแก่สามารถหนีออกมาได้
ตัวอย่างเช่น เรื่องอาจารย์ของสวี่ชิงหล่างก่อนหน้านี้ นักพรตเฒ่าคุยโม้ไว้ว่า เขาคือคนที่แน่วแน่ไม่ยอมแพ้ให้กับภาพลวงตา และขัดขวางกระบวนการของอีกฝ่ายตอนที่ยังคงจัดการทุกคนในร้านหนังสือและโยนเข้าภาพลวงตาทีละคน จากนั้นถึงได้สร้างทั้งเงื่อนไขและโอกาสให้พวกเถ้าแก่ตอบโต้ครั้งใหญ่
เหล่าจางไม่เชื่อเรื่องพวกนี้แน่นอน!
แต่เรื่องพวกนี้พอฟังมากเข้า คิดมากเข้าก็ชักจะรู้สึกอินไปกับมันบ้างแล้ว
เขารีบลุกออกจากเตียงจนไม่ใส่ใจจะสวมเสื้อคลุม และพุ่งเข้าไปในห้องน้ำโดยตรง เปิดก๊อกน้ำแล้วเริ่มล้างหน้าล้างตาตัวเอง เขารู้สึกว่าตัวเองต้องสงบสติอารมณ์สักหน่อย
“ฮู่ว…” เงยหน้าขึ้นมองกระจก ทันใดนั้นเอง “เฮ้ย!” เหล่าจางร้องเสียงหลง ถอยหลังกรูดอย่างรวดเร็วจนแผ่นหลังกระแทกเข้ากับลูกบิดประตูห้องน้ำ
เหล่าจางยกมือขึ้น คนผู้นั้นในกระจกก็ยกมือขึ้นเช่นกัน เหล่าจางตัวสั่นเทา คนผู้นั้นในกระจกก็สั่นเทาเช่นกัน แต่คนในกระจกนั่นมันไม่ใช่เขา!
คนผู้นั้นที่อยู่ในกระจกมีใบหน้าของสัตว์อสูร แถมยังมีเขาเดียวอยู่บนหัวอีกต่างหาก!
“เซี่ยจื้อ!” เหล่าจางโพล่งออกมาตรงๆ!
“โอ้ เจ้ารู้จักข้าด้วยหรือ” เสียงราบเรียบดังขึ้นและเริ่มดังก้องสะท้อนในห้องน้ำที่คับแคบ
เหล่าจางรีบหันขวับทันทีและกวาดตามองไปที่ประตูผ่านทางหางตา แต่ไม่ได้ทำอะไรบุ่มบ่าม เพราะเขารู้ดีว่าเขาไม่ใช่เถ้าแก่และไม่ใช่ทนายอัน เมื่อพวกเขาเผชิญกับสถานการณ์นี้ สามารถเลือกต่อสู้กับมันได้อย่างเป็นธรรมชาติ เพราะพวกเขามีความสามารถนี้ แต่ตัวเองไม่มีน่ะสิ
“ก็ไม่แปลก เจ้าเป็นตำรวจ เป็นผู้รักษากฎหมาย จะรู้จักข้าก็เป็นเรื่องธรรมดา” เซี่ยจื้อพึมพำกับตัวเองและช่วยอธิบายให้เหล่าจางฟัง
เหล่าจางอ้าปากค้างแต่กลับไม่พูดอะไรสักอย่าง คุณจะให้ตำรวจอาชญากรรมอาวุโสไปจับผีนั้นมันยาก แต่เมื่อผีเริ่มคุยกับคุณจริงๆ สัญชาตญาณในการสอบสวนและแก้ไขปัญหาที่สั่งสมมานานหลายปีก็เข้ามามีบทบาท มีอยู่บางเรื่องที่คนผู้นี้ดูเหมือนจะไม่รู้ ถ้าอย่างนั้นเท่ากับว่าตัวเองก็พูดไม่ได้ แต่ควรจะพูดอะไรดีล่ะ
การครุ่นคิดมันเป็นแค่เรื่องชั่วครู่ เหล่าจางรีบเอ่ยด้วยน้ำเสียงที่เหมาะสมและรวดเร็วทันที “ผมไม่รู้ว่าทำไมท่านถึงมาหาผมที่นี่ ผมไม่ได้ทำอะไรผิด…”
“ไม่ เจ้ามีความผิด ในฐานะยมทูตของยมโลก เจ้าไม่เอาอ่าวมาก”
“…” เหล่าจาง
มันพูดถูกมาก เขาดันสวนกลับไม่ออกนี่สิ การทำหน้าที่ยมทูตของเขานี้มันเป็นการอู้งานจริงๆ ภายใต้การจงใจปล่อยปละละเลยของเถ้าแก่และคนอื่นๆ ในร้านหนังสือ กระทั่งอาจกล่าวได้ว่าเป็นการ ‘สปอยล์’ ตัวเขาเองเป็นยมทูตทงเฉิงที่ครองตำแหน่งแต่แทบไม่ต้องทำงานเลยจริงๆ
“แต่เจ้าก็เป็นตำรวจที่ดีคนหนึ่ง”
เมื่อได้ยินคำพูดนี้ เหล่าจางก็ยิ่งสงสัยเข้าไปอีก
“ช่างเถิด เรื่องของยมโลกข้าไม่สอดมือเข้าไปยุ่ง เจ้าจะเป็นยมทูตที่ทำได้ดีหรือไม่ก็ไม่เกี่ยวกับข้า” งานไม่เกี่ยวข้องกับแผนกของข้า ข้าไม่ยุ่ง
แต่ในใจเหล่าจางรู้ดี ความจริงแล้วเป็นเพราะตอนนั้นมันอยากเข้าไปยุ่ง แต่ดันถูกเจ้านั่นในร่างของเถ้าแก่เตะส่งออกมา นับตั้งแต่นั้นเป็นต้นมาก็ไม่กล้าสอดมือเข้าไปยุ่งกับนรกอีก แต่เห็นได้ชัดว่า การดำรงอยู่ของคนผู้นี้ไม่รู้เรื่องความสัมพันธ์ระหว่างเถ้าแก่ร้านหนังสือและอิ๋งโกวเลยด้วยซ้ำ และไม่รู้สาเหตุที่แท้จริงว่าทำไมร่างแยกของมันถูกทำลายที่ทงเฉิงถึงสองครั้งติดต่อกัน ไม่อย่างนั้น มันคงไม่มีเวลาว่างมาพล่ามเรื่องพวกนี้กับเขาอย่างแน่นอน
“ข้าเพียงอยากจะถามเจ้า…”
“ถามผมเรื่องอะไร” ทันทีที่เหล่าจางพูดจบ จู่ๆ เปลวไฟก็ลุกโชนขึ้นในห้องน้ำ ความร้อนแผดเผาเริ่มโจมตีเข้ามา เหล่าจางถอยหลังกรูดโดยไม่รู้ตัว อยากจะหนีออกจากที่นี่ แต่ประตูห้องน้ำเปิดอย่างไรก็เปิดไม่ออก เมื่อเห็นสถานการณ์อย่างนี้ เหล่าจางหยุดต่อต้านเสียดื้อๆ และหันกลับมายืนอยู่ที่เดิมต่อ เพียงแต่รสชาติที่เหมือนถูกย่างด้วยถ่านร้อนแผดเผานั้น รับมือได้ยากจริงๆ
การกินปิ้งย่างนั้นเป็นเรื่องที่น่าพอใจเรื่องหนึ่ง แต่ถ้าสิ่งที่ถูกเสียบไม้ย่างบนเตาไม่ใช่เอ็นไก่แต่เป็นคุณ ก็คงไม่ใช่เรื่องที่ดีอีกต่อไป
“ข้าเพียงอยากถามเจ้า ถ้าหากให้โอกาสเจ้าเลือกอีกครั้ง เจ้ายังจะปล่อยให้ตัวเองถูกแผดเผาในทะเลเพลิงหรือไม่” สัตว์อสูรเขาเดียวในกระจกสีหน้าไร้อารมณ์ แต่กลับแฝงไปด้วยความน่าเกรงขาม
เหล่าจางลังเลครู่หนึ่ง เขากำลังครุ่นคิดกับคำถามนี้ และมันจำเป็นต้องใช้เวลาสักหน่อยจริงๆ ผ่านไปพักหนึ่ง เหล่าจางพูดว่า “ผมไม่รู้”
ก็คือไม่รู้จริงๆ ตอนนั้นที่ตัวเองทำท่าจะตายไปพร้อมกับคนร้าย เดิมทีก็ไม่ได้คิดอะไรด้วยซ้ำ เพราะในตอนนั้นทั้งในห้องเรียนและบนตัวของพวกเด็กๆ ถูกราดด้วยน้ำมันเบนซิน ถ้าจุดไฟเมื่อไรละก็ไม่ต้องคิดถึงผลที่ตามมาเลย แต่คนเราล้วนมีสันดานตามธรรมชาติเป็นของตัวเอง และนี่ถึงจะเป็นตัวตนที่แท้จริง
คนที่มักจะชอบพูดปาวๆ ทางอินเทอร์เน็ตถึงอุดมคติอันสูงส่งหรือการบริจาคชีวิตพวกนั้น ฟังไว้ดูไว้ก็พอ
“ดีมาก” สัตว์อสูรผู้ผดุงธรรมดูเหมือนจะพอใจกับคำตอบของเหล่าจางมาก
ใบหน้าของสัตว์อสูรเขาเดียวในกระจกหายวับไป เหล่าจางเห็นใบหน้าของตัวเอง เปลวเพลิงรอบตัวก็หายไปอย่างไร้ร่องรอย ราวกับทั้งหมดก่อนหน้านี้ไม่เคยเกิดขึ้น เป็นเพียงจินตนาการของตัวเองเท่านั้น
“มอบอัตลักษณ์ให้เจ้าท่องโลกมนุษย์ ผนึกจิตวิญญาณไว้ในร่างกายของเจ้า จิตวิญญาณ เหนือเงาเสมือน เหนือการแยกร่าง มอบหมายให้เจ้าสองเรื่อง เรื่องแรก สืบสวนเรื่องการหายตัวไปของเงาเสมือนทั้งสองของข้าในทงเฉิง เรื่องที่สอง สามารถหยิบยืมพลังของข้าไปไต่เต้าในยมโลก”
หลังจากเหล่าจางได้ยินดังนั้น ขณะที่เงยหน้ามองกระจกอีกครั้ง ก็พบว่ามีแสงแวววาวสีแดงไหลเวียนอยู่ในดวงตาของตัวเอง
เขากัดฟันและพูดว่า “ผมต้องการปรับตัว…”
“เจ้ามีเวลาปรับตัวกับมันเพียงพอแน่ การดำรงอยู่ของจิตวิญญาณนั้นมีความพิเศษมาก ข้าไม่อาจคงสติอยู่ได้เป็นเวลานาน ข้าจะหลับใหล เมื่อใดที่เจ้าเรียกข้า ข้าก็จะตื่นขึ้นมาให้เจ้ายืมพลังของข้า แต่ว่าตาของเจ้าก็คือตาของข้า หูของเจ้าก็จะเป็นหูของข้าเช่นกัน เจ้าเป็นตำรวจที่ดี บนตัวของเจ้ามีสิ่งที่ข้าสูญเสียไป…”
เสียงค่อยๆ เงียบหายไป สีแดงในดวงตาของเหล่าจางก็จางหายไปอย่างช้าๆ เขาคุกเข่าบนพื้นกระเบื้องห้องน้ำ ผ่านไปพักหนึ่ง เหล่าจางถึงได้ผุดลุกขึ้น รีบออกจากหอพักตำรวจและสตาร์ทรถของตัวเองทันที
ประมาณยี่สิบนาทีต่อมา รถได้แล่นมาจอดหน้าประตูร้านหนังสือ สาวน้อยโลลิยืนหาวหวอดๆ หน้าประตู เตรียมจะล็อกประตู
ร้านหนังสือจำเป็นต้องมีคนเฝ้ายามตอนกลางคืนหนึ่งคน ช่วงเวลาส่วนใหญ่จะเป็นนักพรตเฒ่า เขาจะเฝ้าจนถึงเที่ยงคืนแล้วค่อยไปนอน แต่ตอนนี้นักพรตเฒ่าจำเป็นต้องดูแลเจ้าลิง แถมคืนนี้เด็กชายยังถูกทนายอันยึดครองไปอีก ทนายอันบอกว่าเขาต้องอยู่เป็นเพื่อนทนายอันชดเชยที่เคยติดค้างเขาเอาไว้ด้วย สาวน้อยโลลิขี้เกียจยื้อแย่งกับทนายอันจึงลงมาเฝ้ายามเสียดื้อๆ แถมกิจการวันนี้ก็ไม่เลว มีผีมาสองตนแถมส่งลงนรกไปหมดแล้ว
สิ่งที่เถ้าแก่ต้องการตอนนี้ก็คือบุญบารมี จึงไม่ค่อยให้ความสำคัญกับแต้มคะแนนพวกนี้แล้ว แต่สาวน้อยโลลิยังชอบมันมากอยู่ดี
เมื่อเห็นรถของเหล่าจางขับเข้ามา สาวน้อยโลลิชะงักไปครู่หนึ่งก่อนจะพูดว่า “เวลาอาหารมื้อดึกผ่านไปแล้วนี่” ดึกดื่นค่อนคืนไม่มีข้าวให้กินแล้วนะ
เหล่าจางไม่ตอบสาวน้อยโลลิ แต่กลับหาสำลีจากในรถมาอุดหูตัวเองเอาไว้แน่น จากนั้นก็หลับตา เปิดประตูรถ พร้อมคลำทางลงจากรถจนเกือบจะหกล้มอีกต่างหาก
สาวน้อยโลลิเปิดประตูร้าน กอดอกยืนอยู่ที่เดิมมองเหล่าจาง ‘ตาบอดคลำช้าง’
ในที่สุดเหล่าจางก็กระเถิบๆ มาจนถึงหน้าประตูร้านหนังสือ ก่อนเขาลงรถก็เห็นสาวน้อยโลลิแล้ว ดังนั้นจึงรู้ว่าตอนนี้สาวน้อยโลลิอยู่ตรงนี้ เขาชี้ปากของตัวเองสลับกับชี้ตาของตัวเอง แล้วก็ชี้ไปที่หูของตัวเองอีก จนท้ายที่สุดก็โบกมือส่ายไปมาอย่างเอาเป็นเอาตาย
ตอนแรกสาวน้อยโลลิมีรอยยิ้มติดตลกบนใบหน้า แต่ไม่นานรอยยิ้มบนใบหน้าของเธอก็เริ่มหายไปจนค่อยๆ เปลี่ยนเป็นจริงจัง…
……………………………………………………………