ตอนที่ 722 ลาก่อน หลินอี้
นักพรตเฒ่าทาน้ำตาวัวผสมน้ำขี้เถ้าจากยันต์กระดาษไว้ก่อนล่วงหน้าแล้ว ดังนั้นเวลานี้ก็สามารถเห็นเจ้านี่อยู่ข้างในด้วย เท้าทั้งสองข้างชูขึ้นด้านบน ศีรษะอยู่ด้านล่าง ส่วนทั้งร่างเหมือนเสื้อโค้ตที่ถูกพับกลับด้านแล้วยัดเข้าไป แน่นอนว่าเขาไม่ใช่คน ไม่จำเป็นต้องฝึกฝนทักษะกระดูกอ่อน
มองไปที่ชุดชั้นในสตรีบนร่างกายและในมือของเขา นักพรตเฒ่ารู้สึกหน้าแดง เขาทำงานที่ร้านหนังสือมาตั้งนมนาน พบเจอผีมาเยือนถึงหน้าประตูทุกคืนเป็นจำนวนไม่น้อย แถมหลากหลายรูปแบบ แต่นี่เป็นครั้งแรกที่นักพรตเฒ่าได้เห็นพี่ชายที่มีงานอดิเรกสุดโต่งประเภทนี้
ดังคำโบราณที่กล่าวว่า ความตายดุจตะเกียงมอดดับ ต่อให้มีบางอย่างไม่อาจปล่อยวางได้ แต่เรื่องทางเพศล้วนๆ แบบนี้น่าจะปล่อยวางมานานแล้วถึงจะถูก ถึงอย่างไรก็ไร้กายหยาบแล้ว ไม่ต้องพูดถึงแก่นบาปและถ้ำบาปด้วยซ้ำ สะอาดยิ่งกว่าขันทีเสียอีก
โจวเจ๋อยื่นมือไปจับชายคนนั้นออกมา ชายคนนั้นไม่ขัดขืน จึงถูกโจวเจ๋อจับออกมาและกวัดแกว่งไปมาในมือ เนื้อทั่วทั้งตัวมีไม่มาก แต่มือทั้งคู่ยังกำชุดชั้นในสตรีในมือแน่น
“เขาเป็นคนทำใช่ไหม” โจวเจ๋อถามทนายอันที่อยู่ข้างกาย
บอกตามตรง แม้จะบอกว่ามองแวบแรกชายคนนี้ไม่ใช่คนดีเด่อะไร แต่ท่าทางก็ดูไม่เหมือนคนชั่วร้ายโหดเหี้ยมพรรค์นั้น ผีร้ายที่ฆ่าคนโจวเจ๋อเห็นมาแล้วมากมาย แต่ผีตรงหน้านี้กลับมีกลิ่นอายเอื่อยๆ เนือยๆ และไม่มีความรู้สึกชั่วร้ายอะไรเลย
“เฮ้ แกทำคนตายใช่ไหม” ทนายอันยื่นมือไปตบหน้าชายหนุ่ม
ชายคนนั้นมึนงงเล็กน้อย ราวกับว่าเขาไม่เข้าใจว่าสิ่งนี้หมายความว่าอย่างไร หลังจากนั้นไม่นาน จู่ๆ ชายคนนั้นก็พูดขึ้น “ผมไม่ได้ฆ่าคน ผมไม่ได้ฆ่าใครนะ! ผมไม่ได้ฆ่าคนจริงๆ ผมไม่ฆ่าคน!”
“เจ้ามาทำอะไรในหอพักหญิง” นักพรตเฒ่าถาม
“ผมชอบที่นี่นี่นา ที่นี่มีชุดชั้นในสวยๆ มากมายแถมมีกลิ่นด้วย ผมชอบที่นี่สุดๆ ไปเลย!” ชายคนนั้นยืดคอขึ้นพูด
เขาตรงไปตรงมา และเขาก็โง่มากอีกด้วย โง่เสียจนทำให้คิดว่าเป็นไปไม่ได้ที่เขาจะฆ่าคน
ถ้าใช้คำพูดของเกมล่ามนุษย์หมาป่ามาอธิบายละก็ เขาได้ระเบิดตรรกะโง่ทึ่มและน่ารักจนหยิบการ์ดหมาป่าไม่ได้สักใบ…
“ผมก็แค่ทำบางครั้งในช่วงกลางคืน หลังจากที่สาวๆ ที่นี่นอนหลับแล้ว ผมก็จะนอนทาบทับร่างของพวกเธอและฝันไปพร้อมกัน พวกเธอเองก็สบายมากๆ ด้วย ผมรับประกันเลย พวกเธอก็ตั้งตารอคอยเช่นกัน ผมรับประกันได้เลย!”
โจวเจ๋อส่ายหน้าส่งสัญญาณให้ทนายอันช่วยจับเขาไว้ก่อน จากนั้นโจวเจ๋อก็ใช้เล็บวาดวงกลมด้านหน้า เปิดประตูนรก
“ไม่! ไม่นะ! ไม่เอา! ได้โปรด อย่านะ! ไม่เอานะ!!!!!!!!” ทันใดนั้นชายคนนั้นก็ตะโกนจนเสียงแหบเสียงแห้ง เขาไม่อยากลงนรก หลังตกนรกไปแล้ว เขาไม่มีทางจะหาชีวิตดีๆ แบบนี้ได้อีกแล้ว เขารู้สึกว่าตอนนี้มันสวยงามมากเหมือนอยู่บนวิมานชั้นฟ้าอย่างไรอย่างนั้น
โจวเจ๋อไม่สนใจคำพูดพล่ามของเขา กระทั่งไม่ทำตามขั้นตอนของร้านหนังสือด้วยซ้ำไป แค่จับหัวของอีกฝ่าย เมินการขัดขืนของอีกฝ่าย แล้วโยนเข้าไปในนรก จากนั้นกำมือ ประตูนรกพลันหายวับไป
คนประเภทนี้เหมาะที่จะรับการอบรมศึกษาด้านอุดมการณ์ชีวิตในนรก เชื่อว่าการดูแลและความอบอุ่นของนรกสามารถช่วยให้เขาตามหาทิศทางแห่งชีวิตใหม่ได้
เมื่อทั้งหมดเสร็จสิ้นแล้ว โจวเจ๋อก็ไม่หยุดรีรอแม้แต่ครู่เดียว รีบออกมาจากหอพักห้องนี้ทันที นักพรตเฒ่าและทนายอันก็รีบออกมาเช่นกัน ชายอกสามศอกทั้งสามคนพากันยืนหอบหายใจเฮือกใหญ่อยู่หน้าประตูด้วยกัน
กลิ่นภายในนั้นทำให้ต้องอดกลั้นอย่างที่ไม่สามารถจินตนาการได้
“ผมนึกว่าหอพักหญิงจะสะอาดเนี้ยบและสดใสเหมือนกันหมดเสียอีก” ทนายอันหายใจเข้าลึกพลางเอ่ย
“ข้าก็คิดอย่างนี้เหมือนกัน” นักพรตเฒ่าเอ่ยสำทับ
“เหมือนกับข้าวชนิดเดียวกันเลี้ยงคนหลายประเภทละมั้ง บอกได้คำเดียวว่าส่วนใหญ่หอหญิงจะสะอาดกว่าหอชาย แต่พอมีนกมากขึ้น ป่าอะไรก็ย่อมมีนั่นแหละ” โจวเจ๋อยืนตัวตรงและพูดต่อ “ผู้ชายที่เพิ่งส่งลงไปเมื่อกี้เห็นได้ชัดว่าไม่ใช่เป้าหมายที่เรากำลังตามหาอยู่ งั้นหมอนั่นที่เราตามหามันอยู่ที่ไหนกันแน่”
ตอนนี้ เรื่องนี้ไม่ได้เกี่ยวข้องกับเรื่องของนักพรตเฒ่าเพียงอย่างเดียวอีกต่อไป ตัวเขาเองเป็นถึงผู้จับกุมแห่งทงเฉิงก็มีหน้าที่จับกุมผีร้ายเช่นกัน
เวลานี้เอง โทรศัพท์มือถือของทนายอันดังขึ้น ทนายอันจึงกดรับสายโทรศัพท์
“ฮัลโหล เหล่าจางเหรอ มีอะไร คุณไปแล้วไม่ใช่หรือไง คุณกลับมาอีกแล้วงั้นเหรอ เจออะไรใหม่เหรอ ได้ รอแป๊บหนึ่งเดี๋ยวผมไปรับคุณ ตอนนี้พวกเราอยู่หอญะ…กินมื้อดึกที่โรงอาหารตรงข้ามตึกหอพักหญิง อืม ได้ คุณมาที่นี่สิ” หลังจากวางสายทนายอันก็บอกกับโจวเจ๋อว่า “ฝั่งเหล่าจางบอกว่าเจอเบาะแสเพิ่มเติม เขาไม่แน่ใจว่าเกี่ยวข้องกับคดีนี้หรือเปล่า เขากำลังจะมาเดี๋ยวนี้แหละ”
“งั้นเราก็ลงไปกันก่อนเถอะ” โจวเจ๋อพูด
ทั้งสามคนลงมาจากตึกหอพักด้วยกัน คุณน้าประจำหอพักที่แสนเข้มงวดไร้การตอบสนองต่อหมอกควันสีชมพูที่อยู่ตรงหน้า
เมื่อออกมาแล้ว ทนายอันก็รู้สึกผิดหวังเล็กน้อย “เดิมทีเคยจินตนาการว่าเวลาใดเวลาหนึ่งจะมาลองหาแฟนแถวหอพักหญิงสักที แต่ครั้งนี้ได้ทิ้งเงามืดฝังใจไว้แล้วจริงๆ”
“แฟนเหรอ” นักพรตเฒ่าย้อนถาม
“เพื่อนเพศหญิง” ทนายอันเหลือบมองนักพรตเฒ่า “ผมไปรอเหล่าจางตรงนู้นนะ เถ้าแก่พวกคุณพักผ่อนกันก่อน”
ทนายอันไปก่อนแล้ว นักพรตเฒ่ามองอยู่ข้างๆ และพูดว่า “เถ้าแก่ คุณอยากดื่มอะไรไหม”
“มัทฉะลาเต้”
“ได้ ข้าจะไปซื้อมาให้” นักพรตเฒ่าเดินไปที่ร้านชานมฝั่งตรงข้าม
โจวเจ๋อนั่งลงบนม้านั่งยาวข้างๆ เกมนี้ถูกกำหนดให้เป็นเกมแมวจับหนู โจวเจ๋อไม่ได้จริงจังกับมันมากนัก การจับและจัดการมันเป็นเพียงเรื่องของเวลาเท่านั้นเอง ถ้าหากอยู่มาจนถึงตอนนี้แล้วแม้แต่ผีร้ายสักตัวยังจับไม่ได้ อย่างนั้นก็หาเต้าหู้สักก้อนมากระแทกโจวเจ๋อให้ตายได้เลยจริงๆ
เขาหยิบโทรศัพท์มือถือออกมาและเปิดอ่านอะไรบางอย่างไปเรื่อยเปื่อย เวลานี้มีหญิงสาวสองสามคนเดินผ่านหน้าเขาไป พูดคุยหัวเราะคิกคัก เหมือนพูดถึงการซ้อมสำหรับงานเลี้ยงอะไรสักอย่าง และมีอยู่เสียงหนึ่งที่โจวเจ๋อคุ้นหูมาก
บังเอิญขนาดนี้เลยหรือไง
ใบหน้าที่ซ่อนอยู่ใต้หมวกเสื้อฮู้ดตัวหนาถูกบังเอาไว้นานแล้ว แถมโจวเจ๋อยังใส่หน้ากากปิดปาก ปกปิดมิดชิดกว่าผู้ร้ายหลบหนีเสียอีก
หลินอี้ไม่ทันสังเกตเห็นพี่เขยในนามของตัวเองนั่งอยู่ที่นี่ เดินไปด้านหน้าอย่างไม่ยี่หระ แต่ผู้หญิงข้างกายหลินอี้กลับหยุดฝีเท้าลง และดึงมือของหลินอี้ไว้ “เฉินหย่า มีอะไร”
เฉินหย่าเหรอ ฟังดูคุ้นหูจัง โจวเจ๋อเริ่มนึกย้อนขึ้นมา สิ่งแรกที่นึกออกก็คือขาอวบอิ่มเรียวยาวคู่หนึ่งพร้อมด้วยกลิ่นหอมที่เย้ายวนใจ โจวเจ๋อจำได้แล้ว ดูเหมือนว่าครั้งก่อนผู้หญิงที่ถูกดึงผ้าห่มออกตอนที่เขาไปหอพักของน้องภรรยาจะชื่อว่าเฉินหย่า
“เพื่อนเธอหรือเปล่า” เฉินหย่าชี้โจวเจ๋อและพูดขึ้น
“อะไรนะ” หลินอี้รู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย ก้มลงไปใกล้ๆ โจวเจ๋อ
“คุณคือ?”
เมื่อเผชิญกับปัญหานี้ ถ้าจะวิ่งหนีเตลิดละก็คงเป็นเรื่องน่าอายเกินไป ผีไม่กลัวแต่ดันมากลัวคนเป็นเนี่ยนะ เพียงแต่ว่าสิ่งที่ทำให้โจวเจ๋อประหลาดใจก็คือ ผู้หญิงที่ชื่อเฉินหย่าคนนี้มีสายตาเฉียบคมขนาดนี้เลยเหรอ เขาห่อจนสภาพกลายเป็นอย่างนี้ นึกไม่ถึงว่ายังจะจำได้อีก ก็แค่มองขาของเธอครั้งเดียวเองไม่ใช่เหรอ
โจวเจ๋อเงยหน้ามองหลินอี้โดยไม่หลบเลี่ยง เพียงเอ่ยขึ้นอย่างนิ่งสงบ “บังเอิญจัง”
“สวีเล่อ นายแต่งตัวแบบนี้…” หลินอี้รู้สึกรับไม่ได้นิดหน่อย พี่เขยในความประทับใจของเธอจริงๆ แล้วเป็นคนที่หล่อมาก เมื่อก่อนค่อนข้างขี้ขลาดตาขาวจนทำให้คนดูถูก แต่ในช่วงสองปีมานี้เปลี่ยนแปลงไปมากเหลือเกิน จนเธอยอมรับเขาแล้ว
เพียงแต่ ทำไมพี่เขยตรงหน้าคนนี้ถึงได้แต่งตัวเหมือนคนโรคจิตที่ชอบลวนลามผู้หญิง…
“มีเรื่องนิดหน่อย ช่วยเพื่อนสืบคดีหนึ่งอยู่ พวกคุณก็รีบกลับหอเร็วๆ หน่อยแล้วกัน”
“นายทำคดีเหรอ” หลินอี้เอ่ยด้วยความประหลาดใจ “ไม่ใช่สิ นายทำงานเป็นสายลับเหรอ แต่สภาพนี้ของนาย ไม่ได้บอกคนอื่นว่านาย…” หลินอี้กำลังเรียบเรียงคำพูด พยายามไม่ให้ตัวเองพูดคำที่ทำร้ายจิตใจ
“เถ้าแก่ มัทฉะลาเต้มาแล้ว” นักพรตเฒ่าเดินเข้ามาและยื่นลาเต้ให้โจวเจ๋อ จากนั้นมองสาวสวยสองสามคนนี้และพูดขึ้น “สวัสดีครับ”
“สวัสดีค่ะ”
“สวัสดีค่ะ”
“กลับหอพักไปเถอะ ที่นี่ไม่มีธุระกงการอะไรของพวกเธอหรอก” โจวเจ๋อเร่งเร้า
ร่างกายของเขาขาดหายไปแล้วแถมเหลือใบหน้าอยู่แค่ครึ่งซีก ให้อิงอิงดูสภาพแบบนี้ยังพอว่า แต่จะให้คนอื่นดูคงจะทำให้พวกเธอตกใจแน่นอน
อันที่จริง นี่เป็นเพราะความแตกต่างในความสัมพันธ์ระหว่างทั้งสองฝ่ายละมั้ง มีคนเคยพูดคำที่เป็นปรัชญาไว้ว่าคู่รักจะเข้ากันได้หรือไม่นั้นขึ้นอยู่กับว่าคุณกล้าตดใส่เขา (เธอ) อย่างไร้ยางอายหรือไม่
“ก็ได้ งั้นพวกเรากลับก่อนนะ”
“กลับเถอะ กลับไปเลย”
เวลานี้ทนายอันและเหล่าจางก็มาถึงแล้ว เหล่าจางสวมเครื่องแบบตำรวจ จึงเป็นการยืนยันข้อเท็จจริงของการ ‘ทำคดี’ ที่โจวเจ๋อพูดก่อนหน้านี้
โจวเจ๋อขี้เกียจอธิบายอีกจึงผุดลุกขึ้น แต่ติดที่ไม้เท้าค้ำยันติดอยู่กับพื้น ร่างโจวเจ๋อโอนเอนไปมาอยู่ครู่หนึ่ง เดิมทีไม่มีปัญหาอะไร เพียงแค่ใช้ไม้ค้ำยันจะสะดวกกว่า ด้วยระดับการควบคุมร่างกายของเขาในตอนนี้ หากไม่มีไม้เท้าก็ใช่ว่าจะล้มลง
แต่คนข้างๆ ไม่รู้ โดยเฉพาะเฉินหย่าคนนั้นที่ตาไวแต่มือไวยิ่งกว่าพยุงโจวเจ๋อเอาไว้ทันที เดิมทีเธออยากจะจับแขนของโจวเจ๋อ แต่ดันบังเอิญจับแขนปลอมของโจวเจ๋อ จึงได้ยินเพียงเสียง ‘กึก’ และเฉินหย่าก็รู้สึกว่ามือข้างนั้นที่ตัวเองจับอยู่ถูกเธอดึงออกมาแล้ว โจวเจ๋อตอบสนองอย่างรวดเร็ว คว้ามือของอีกฝ่ายและออกแรงดันกลับไป ‘กึก’ แขนเทียมถูกดันกลับไปอย่างเงียบๆ
เมื่อมองเฉินหย่าอีกครั้ง เธอเพียงแค่ยิ้มๆ ดูเหมือนว่าจะรับรู้ถึงแขนเทียมของโจวเจ๋อแล้ว และไม่แสดงอาการหวาดกลัวเลยแม้แต่น้อย
“นี่ จะกอดกันอีกนานไหม สวีเล่อทำไมนายถึงใช้ไม้ค้ำได้ล่ะ” หลินอี้ที่อยู่ข้างๆ ทนดูไม่ไหว นี่เป็นอาหาร (สเปก) ที่พี่สาวของเธอชอบเชียวนะ!
แม้ว่าตอนนี้อาหารจานนี้จะห่างไกลจากพี่สาวของเธอมากขึ้นเรื่อยๆ แล้วก็ตาม ครั้งก่อนเธอยังตั้งใจบอกให้เขากลับไปง้อไปเกลี้ยกล่อมพี่สาวของเธออยู่เลย ใครจะรู้ว่าเขาไม่เคยกลับไปสักครั้ง และแม้ว่าจะเป็นเพื่อนสนิทและรูมเมตของเธอก็ตาม จะมากินอาหารในจานพี่สาวของเธอไม่ได้เด็ดขาด!
“กรี๊ดดดดดดดด!!!!!!!!!!!” จู่ๆ ผู้หญิงด้านข้างที่มาด้วยกันก็กรีดร้องออกมา
“เธอกรี๊ดอะไรเล่า!” หลินอี้พูดกับเพื่อนอีกคนที่อยู่ข้างๆ อย่างอารมณ์เสียเล็กน้อย
“ไม่ใช่…พวกธะ…พวกเธอ…รีบดะ…ดู…บนดาดฟ้า…มีคะ…คน…มีคนจะกระโดดตึก!”
………………………………………………………………