ตอนที่ 357 กลับมหาวิทยาลัย (2)
ฟางผิงตำหนิว่า “แต่ถ้าเกิดเรื่องไม่คาดคิด มหาวิทยาลัยเซี่ยงไฮ้แพ้ ความรับผิดชอบนี่จะตกอยู่ที่ใคร? ถ้าฉันไม่มีแรงเหลือแล้ว รุ่นพี่เฉินต้านฉินเจ๋อไม่ได้ เรื่องนี้นายรับผิดชอบได้หรือไง? เรื่องสำคัญอย่างศึกชิงตำแหน่งมหาวิทยาลัยชื่อดังอันดับหนึ่ง เงินจัดสรรนับหมื่นล้าน นักศึกษาและอาจารย์ของมหาวิทยาลัยเซี่ยงไฮ้ต่างตั้งตารอคอย นายกลับเห็นเป็นเรื่องเล่นๆ? นายไม่ละอายใจต่ออธิการเฒ่าหรือไง?”
“ชั่วชีวิตนี้ของอธิการเฒ่าต่างคาดหวังให้ล้ำหน้ามหาวิทยาลัยปักกิ่งได้ ช่วงเวลาสำคัญแบบนี้ หากแพ้แล้ว นายจะอยู่เย็นเป็นสุขได้งั้นเหรอ? เห็นผลประโยชน์เล็กๆ กลับลืมความชอบธรรมไป! หากไม่ใช่ว่าสุดท้ายเอาชนะได้ นายกลับมาเซี่ยงไฮ้ ทั้งยอมคืนเศษโลหะพวกนั้น นายเชื่อหรือเปล่าว่าพวกปรมาจารย์ของเซี่ยงไฮ้จะจับกุมนายกลับมหาวิทยาลัยได้เหมือนกัน! ฉินเฟิ่งชิง ตระหนักถึงความผิดของตัวเองได้หรือยัง?”
ทุกคนจ้องฉินเฟิ่งชิงตาเป็นมัน ฉินเฟิ่งชิงเอ่ยอย่างเสียใจว่า “รู้แล้ว ความผิดของฉันอยู่ที่…ไม่ควรแย่งของของนาย!”
ฉันมันโง่จริงๆ!
บอกไปแล้วว่าของของฟางผิง แม้จะเป็นเงินที่ตกอยู่ใต้เท้าตัวเอง เขาก็จะไม่เก็บเด็ดขาด
ทำไมลืมไปซะได้?
หยิบของคนอื่นไปยังพอว่า แต่ของของฟางผิง…จะตายเอาได้!
ฟางผิงเอ่ยด้วยเหตุผล “เหลวไหล! ฉันว่านายยังไม่ได้สติ เศษโลหะนั่นฉันไม่คิดจะเก็บไว้เอง แต่จะรวบรวมมอบให้สมาคมผู้ฝึกยุทธ์ ทั้งนี่ยังไม่ใช่เรื่องเศษโลหะ ทรัพย์สินเงินทองเป็นของนอกกาย! ฉันเป็นผู้ฝึกยุทธ์ ช่วงเวลาที่ต้องช่วงชิงก็ช่วงชิง สิ่งที่ฉันจะพูดไม่ใช่เรื่องโลหะผสม แต่เป็นเรื่องที่นายขาดความเป็นส่วนหนึ่งของมหาวิทยาลัยเซี่ยงไฮ้! ออกจากทีมไปโดยพลการ หากเป็นหน่วยทหาร นายหนีสงครามคงตายไปแล้ว!”
ฉินเฟิ่งชิงกุมขมับ นายว่ายังไงก็ตามนั้นเถอะ ตอนนี้ฉันโต้แย้งไปจะวุ่นวายมากกว่าเดิม
ดีที่เวลานี้จางอวี่เกลี้ยกล่อมว่า “ประธานฟาง ฉินเฟิ่งชิงเลอะเลือนไปหน่อยเท่านั้น ไม่ได้คิดหวาดกลัวการต่อสู้…”
ฟางผิงโบกมือเล็กน้อย เอ่ยว่า “ครั้งนี้แล้วไปละกัน หากมีครั้งหน้าอีก จะลงโทษโดยไม่ไตร่ตรอง!”
พูดจบ ฟางผิงก็ไม่สนใจเขาอีก กวาดสายตาไปรอบๆ มองไปยังทุกคน รอจนเห็นเย่ฉิงก็พยักหน้าว่า “รุ่นพี่เย่ทะลวงด่านแล้ว ยินดีด้วย”
เย่ฉิงผงกหัวเบาๆ ครั้งนี้เขาไม่ได้ไปชมการแข่งขันแลกเปลี่ยน ครั้งก่อนเขาแพ้ให้ภิกษุเจี้ยเซ่อ เส้นทางไร้คู่ต่อสู้ในขั้นสามไม่ราบรื่นนัก แต่หลายวันนี้ดีขึ้นไม่น้อย ระหว่างที่พวกฟางผิงเข้าร่วมการแข่งขัน เย่ฉิงก็ทะลวงขั้นสี่แล้ว
“ตอนนี้ที่นี่มีผู้ฝึกยุทธ์ขั้นสี่สิบสองคน ขั้นสามตอนปลายขึ้นไปสามสิบสองคน ทั้งหมดสี่สิบสี่คน พลังของมหาวิทยาลัยเซี่ยงไฮ้นับว่าฟื้นฟูขึ้นไม่น้อยแล้ว”
ฟางผิงอารมณ์ดีขึ้นมา ตอนที่เปิดเทอมมีขั้นสี่แค่เก้าคนเท่านั้น แข็งแกร่งที่สุดคือขั้นสี่ตอนปลาย
ตอนนี้มีผู้ฝึกยุทธ์ขั้นสี่สิบสองคน แต่ยังมีสองคนที่อยู่ข้างนอกไม่ได้กลับมา หมายความว่าสามเดือนนี้ มีคนทะลวงถึงขั้นสี่ห้าคนแล้ว
เขาและเฉินเหวินหลงต่างอยู่ขั้นสี่สูงสุด ขั้นสี่ตอนกลางก็มีฉินเฟิ่งชิงและจางอวี่ ขั้นสี่ตอนกลางมีหลายคน
ความสามารถนี้แข็งแกร่งกว่าตอนเปิดเทอมถึงหนึ่งเท่า!
ทั้งผู้ฝึกยุทธ์ขั้นสาม ก่อนหน้านี้มีทั้งหมดห้าสิบเอ็ดคน
ตอนนี้แค่ขั้นสามตอนปลายขึ้นไปก็มีกว่าสามสิบคนแล้ว ขั้นสามทั้งหมดแตะถึงหนึ่งร้อยห้าสิบคน นี่ทำให้ฟางผิงอารมณ์ดีขึ้นไม่น้อย
ระหว่างที่พูด ฟางผิงยังมองไปที่จ้าวเหล่ย หัวเราะว่า “จ้าวเหล่ย นายพัฒนาได้ไม่เลวเลย ในที่สุดก็เข้าสู่ขั้นสามตอนปลายแล้ว ฟู่ชางติ่งเป็นยังไงบ้าง?”
“ยังด้อยไปเล็กน้อย แต่ก่อนสิ้นเดือนน่าจะมีหวังเข้าสู่ขั้นสามตอนปลายแล้ว”
จ้าวเหล่ยตอบแต่โดยดี ตอนนี้กระทั่งจอมก่อเรื่องอย่างฉินเฟิ่งชิงยังถูกจัดการอย่างราบคาบ ทางที่ดีเขาอย่าได้พูดมากดีกว่า ไม่งั้นถูกฟางผิงคว้าโอกาสได้ คงจะถูกจัดการอีก
“อืม ไม่เลวแล้ว ได้ยินว่านักศึกษาใหม่ก็ทำได้ดี พวกถังเหวินเข้าสู่ขั้นสองกันแล้ว เทียบกับพวกเราในตอนแรกยังเร็วกว่าหนึ่งก้าว”
ฟางผิงเอ่ยด้วยรอยยิ้มว่า “มหาวิทยาลัยเซี่ยงไฮ้ต้องดีขึ้นเรื่อยๆ แข็งแกร่งขึ้นทุกวันเท่านั้น พวกเรามาพยายามด้วยกันเถอะ สร้างมหาวิทยาลัยเซี่ยงไฮ้ให้ดีกว่าเดิม แน่นอนว่าครั้งนี้ที่เรียกรวมทุกคนไม่ได้เพื่อชมเรื่องผลงาน วกกลับเข้าประเด็นหลัก ถ้ำใต้ดินของหนานเจียงอุบัติขึ้นช่วงเช้าเมื่อวาน ในอีกสองวันนี้ทางเดินน่าจะเสถียรขึ้น สามารถเข้าไปได้แล้ว ถ้ำใต้ดินอุบัติขึ้นเป็นอันตราย ทั้งเป็นโอกาสด้วยเช่นกัน จุดนี้ทุกคนน่าจะกระจ่างใจดี”
“ขึ้นชื่อว่าเป็นคนหนานเจียง ไม่ว่าจะเพื่อสังหารศัตรูหรือเพื่อช่วงชิงโอกาส ฉันล้วนต้องกลับไปสักครั้ง ครั้งนี้เรียกทุกคนมาเพื่ออยากถามความเห็นของทุกคน มีคนอยากไปด้วยกันหรือเปล่า? ครั้งนี้ไม่ใช่การบังคับ ถ้ำใต้ดินอุบัติใหม่มีอันตรายมาก แม้ทุกคนจะอยู่ขั้นสามตอนปลายขึ้นไปก็อันตรายมากอยู่ดี…”
“ฉันไป!”
ฉินเฟิ่งชิงตอบเป็นคนแรก ฟางผิงไม่สนใจเขา ฉินเฟิ่งชิงต้องไปอยู่แล้ว เรื่องนี้ไม่ต้องถามก็รู้
เฉินเหวินหลงครุ่นคิดอยู่พักหนึ่ง ก่อนจะเอ่ยว่า “ฉันต้องกลับหน่วยทหาร ถ้ำใต้ดินของเซี่ยงไฮ้ยังมีภารกิจอย่างอื่น ทั้งฉันวางแผนจะทะลวงขั้นห้า…”
“รุ่นพี่เฉินไม่จำเป็นต้องลำบากใจ ฉันบอกว่าแล้วว่าครั้งนี้ไม่ใช่ภารกิจบังคับ การทะลวงด่านของรุ่นพี่เฉินสำคัญกว่า ตอนนี้มหาวิทยาลัยปักกิ่งและโรงเรียนเตรียมทหารอันดับหนึ่งล้วนมีผู้ฝึกยุทธ์ขั้นห้า มหาวิทยาลัยเซี่ยงไฮ้ก็ต้องการขั้นห้าเหมือนกัน ตอนนี้ฉันคงยังไม่เลือกทะลวงด่าน”
เขาหลอมอวัยวะภายในยังไม่สมบูรณ์อยู่บ้าง ก่อนหน้านี้สะพานฟ้าดินได้รับผลกระทบจาการกระทำเขาเลยไม่ค่อยเสถียรเท่าไหร่ ยังต้องรออีกสักพัก
เฉินเหวินหลงถอนหายใจเล็กน้อย พยักหน้าไม่พูดอะไรอีก
พวกจางอวี่ เซี่ยเหล่ยต่างรับปาก เลือกจะเข้าไปกัน โอกาสหาได้ยาก ผู้ฝึกยุทธ์ไม่กลัวอันตรายเช่นกัน หากกลัวจริงๆ งั้นอย่าไปถ้ำใต้ดินเลยจะดีกว่า
ท้ายที่สุดรวมฟางผิงแล้วจึงมีผู้ฝึกยุทธ์ขั้นสี่เก้าคน ผู้ฝึกยุทธ์ขั้นสามตอนปลายขึ้นไปยี่สิบสี่คนเลือกจะไปด้วย
คนอื่นๆ หากไม่เลือกทะลวงด่านก็ยังมีธุระอย่างอื่นอยู่ ไม่สามารถไปได้
สามสิบสามคนล้วนอยู่ขั้นสามตอนปลายขึ้นไป ความสามารถนี้ถือว่าไม่อ่อนด้อยแล้ว
ตอนนี้ฟางผิงกลับลังเลอยู่บ้าง คนพวกนี้ต่างเป็นนักศึกษาแนวหน้าของมหาวิทยาลัยเซี่ยงไฮ้ หากส่งไปตายในถ้ำใต้ดิน งั้นอนาคตหลายปีต่อจากนี้ของเซี่ยงไฮ้ คงจะทรุดโทรมจริงๆ แล้ว
ครุ่นคิดอยู่พักใหญ่ ฟางผิงมองไปทางเหลียงเฟิงหวา “รุ่นพี่เหลียง นายอยู่ทะลวงขั้นสี่ตอนปลายที่มหาวิทยาลัยดีกว่า”
เหลียงเฟิงหวาขมวดคิ้วเล็กน้อย ผ่านไปสักพักก็พยักหน้า ไม่พูดอะไรอีก
“รุ่นพี่จาง นายก็ด้วย”
จางอวี่อยากจะพูดอะไรบางอย่าง ฟางผิงกลับเอ่ยว่า “หลังจากฉันนำทีมไป นายและรุ่นพี่เหลียงต้องรับผิดชอบภาระในสมาคมผู้ฝึกยุทธ์ สมาคมผู้ฝึกยุทธ์จะหยุดเดินไม่ได้ รุ่นพี่เฉินไม่อยู่ในมหาวิทยาลัย ฉันและฉินเฟิ่งชิงไปด้วยกัน ต้องการให้นายที่เป็นผู้ฝึกยุทธ์ขั้นสี่ตอนปลายอยู่รักษาการณ์ที่นี่”
จางอวี่ได้ฟังก็ไม่ปฏิเสธอีก พยักหน้าตอบรับ
“เฉินอวิ๋นซี เธอไม่จำเป็นต้องไปเหมือนกัน เธอเพิ่งจะทะลวงขั้นสามตอนปลาย…”
เฉินอวิ๋นซีพูดเสียงแผ่วว่า “จ้าวเหล่ยก็เหมือนกันนี่ ฉันไม่ถ่วงแข้งถ่วงขาทุกคนหรอก…”
ฟางผิงขมวดคิ้วเล็กน้อย เอ่ยทั้งครุ่นคิดว่า “แล้วแต่เธอ ถึงเวลานั้นเธอต้องเคลื่อนไหวพร้อมทีม ไม่อนุญาตให้ออกจากทีมโดยพลการ พรุ่งนี้พวกเราออกเดินทาง ทุกคนกลับไปเตรียมพร้อมกันหน่อย ฉันจะไปดูทางอาจารย์อีกที พวกเราเคลื่อนไหวพร้อมกัน”
พูดเรื่องพวกนี้แล้ว ฟางผิงเห็นฉินเฟิ่งชิงมองเขาอย่างน่าสงสารก็เอ่ยอย่างหงุดหงิดว่า “มองอะไร บอกว่าหักก็หัก ไปเอารางวัลเอง หนึ่งพันคะแนน ฉันจะดูว่าใครกล้าเพิ่มคะแนนให้นาย!”
ฉินเฟิ่งชิงทำหน้าเศร้าสร้อย หนึ่งพันคะแนนอยู่ในมือแล้วแท้ๆ!
ตั้งสามสิบล้าน!
คืนเงินให้ฟางผิงได้ด้วยซ้ำ!
แต่เวลานี้ฉินเฟิ่งชิงรู้ว่าตัวเองพูดต่ออีกก็ไม่มีประโยชน์ ฟางผิงควบคุมอำนาจในสมาคมแล้ว ทั้งยังนำทีมคว้าตำแหน่งมหาวิทยาลัยชื่อดังอันดับหนึ่ง พวกอาจารย์ต่างไว้หน้าเขา ตอนนี้ตัวเองไปหาใครก็ใช้การไม่ได้ทั้งนั้น
แต่ยังคงโอบกอดความหวังสุดท้าย ฉินเฟิ่งชิงเอ่ยเสียงเบาว่า “แบ่งเท่ากันเถอะ นายแบ่งให้ฉัน ฉันจะแบ่งให้นายครึ่งหนึ่ง…”
“นายเห็นฉันเป็นคนยังไง?”
ฟางผิงตำหนิว่า “อย่าคิดเหลวไหลเรื่องพวกนี้อีก อยากได้คะแนนก็ไปช่วงชิงในถ้ำใต้ดิน เอาล่ะ ฉันยังมีธุระต้องทำ นายยุ่งย่ามให้มันน้อยๆ หน่อย”
ทิ้งคำพูดนี้แล้วฟางผิงก็สาวเท้าจากไป
ใครจะแบ่งให้นายเท่ากัน คะแนนเอามาจากมหาวิทยาลัย สมาคมผู้ฝึกยุทธ์รับมา นั่นเท่ากับเป็นของเขา แม้ว่าจะไม่อุบเงินไว้เอง นำมาซื้อใจคนก็เป็นเรื่องดี จะสิ้นเปลืองคะแนนให้ฉินเฟิ่งชิงไปทำไม ให้นายไม่ให้ยังจะดีกว่า
เจ้าหมอนี้มีคะแนนเข้าหน่อย กลับบ้าคลั่งไม่รู้จักความเหมาะสม ใช้สระปราณราวกับเป็นโรงแรม
ยิ่งไปกว่านี้ฉินเฟิ่งชิงเพิ่งจะทะลวงขั้นสี่ตอนปลาย ตอนนี้ไม่ได้ขาดแคลนทรัพยากรฝึกวิชาจนเกินไป ให้ไปแล้วต้องเอาไปสิ้นเปลืองแน่ ไม่แน่ว่าอาจจะเอาดาบยาวระดับ B ไปแลกเปลี่ยนเป็นระดับ A ก็ได้
———————