ศึกยุทธ์ใต้ขุนเขาเงาจันทรา – บทที่ 220 ความงดงามในโลกมักไร้ค่า-1

ศึกยุทธ์ใต้ขุนเขาเงาจันทรา

บทที่ 220 ความงดงามในโลกมักไร้ค่า-1

แสงแดดลอดผ่านหน้าต่างเข้าสู่นัยน์ตาของหลิวรุ่ยอิ่ง

เขานั่งอยู่ในบ้านของเซียวจิ่นข่าน

เซียวจิ่นข่านไม่อยู่

หลิวรุ่ยอิ่งก็ไม่รู้ว่าเขาไปไหน ทำอะไรอยู่

ตามหลักแล้ว เข้ามานั่งโดยที่เจ้าบ้านไม่อยู่นับว่าเสียมารยาทอย่างยิ่ง

แต่ความสัมพันธ์ระหว่างหลิวรุ่ยอิ่งกับเซียวจิ่นข่านย่อมไม่ต้องใส่ใจเรื่องเหล่านี้

เขาวางจอกสุราจอกหนึ่งไว้อีกด้านของโต๊ะ

ด้านในรินสุราไว้เต็ม

ฉากนี้เหมือนเซ่นไหว้ใครสักคน

แม้เซียวจิ่นข่านยังไม่ตาย

และยังอยู่ดียิ่ง

แต่ตอนนี้เขาไม่อยู่

ดังนั้นการเซ่นไหว้นี้ก็กลายเป็นความคิดถึง

ไม่รู้ทำไม

หลิวรุ่ยอิ่งพลันน้ำตาไหลอาบหน้า

ในใจเขาไม่ได้เจ็บปวด

แต่อยากร้องไห้อย่างยิ่ง

น้ำตานี้ไหลอย่างไร้ที่มา

ประหลาดจนแม้แต่ตัวหลิวรุ่ยอิ่งก็ไม่รู้ว่าเหตุใดน้ำตาถึงไหล

เขามองทางหลวงราบเรียบไร้ที่สิ้นสุดตรงหน้า

ความกล้าหาญปรากฏขึ้นในใจ

ยังจำได้แม้กระทั่งชื่อทุกสถานที่ที่หยุดพัก

แต่ตอนนี้เขากลับไม่มีความกล้าหาญเหล่านั้นแล้ว

เขาแค่อยากนอนหลับเต็มอิ่ม

แสงแดดที่ลอดผ่านหน้าต่างถูกบดบังกะทันหัน

หลิวรุ่ยอิ่งเช็ดหน้าและมองไปทางนอกหน้าต่าง

เขานึกว่าเซียวจิ่นข่านกลับมาแล้ว

แต่คนที่เข้ามากลับเป็นทังจงซง

ทังจงซงจ้องหน้าหลิวรุ่ยอิ่งไม่วางตา

สายตานั้นเหมือนกำลังจ้องมองเรือนร่างเปลือยเปล่าของหญิงงามล้ำแผ่นดินคนหนึ่ง

“ทำไมต้องมองข้าเช่นนี้ด้วย”

หลิวรุ่ยอิ่งเอ่ยถาม

เสียงเขาแหบเล็กน้อย

หนึ่งเพราะเขาไม่ได้หลับทั้งคืน เมื่อครู่ยังดื่มสุราไปมากอีก

สองเพราะเขาเพิ่งร้องไห้ น้ำตาไหลไม่น้อย

แม้ตากับคอเป็นสองอวัยวะที่ต่างกัน

แต่ขอเพียงน้ำตาไหล เสียงก็จะแหบ

นี่เป็นการตอบสนองตามสัญชาตญาณของร่างกาย

ใครก็ไม่อาจควบคุม

เหมือนกลัวคนอื่นไม่รู้ว่าตัวเองกำลังเศร้าใจ

“ข้าแค่มองคนยอดเยี่ยมคนหนึ่ง”

ทังจงซงกล่าว

“ยอดเยี่ยม?”

หลิวรุ่ยอิ่งฉงนเล็กน้อย

แต่ทังจงซงเป็นคนพูดจาเล่นสำนวนอยู่แล้ว

เขาเองก็แยกไม่ออกว่าอีกฝ่ายพูดหยอกเย้าเช่นนี้เพื่ออะไร

“ดื่มสุราในหอจันทร์กระจ่างไปไม่น้อย…จากนั้นก็ไปอยู่กับสตรีทั้งคืน และตอนนี้มาดื่มคนเดียวอยู่ที่นี่อีก นี่ไม่ใช่เรื่องยอดเยี่ยมอย่างยิ่งหรอกหรือ คนที่ทำเรื่องยอดเยี่ยมเช่นนี้ได้ก็ต้องเป็นคนยอดเยี่ยมเช่นกัน!”

ทังจงซงกล่าว

หลิวรุ่ยอิ่งหมดคำพูด

เขาแค่ไปพูดคุยกับเจ้าหมิงหมิงครู่เดียวและดื่มสุราไม่กี่จอกเท่านั้น

แต่ถูกทังจงซงจำกัดความว่า ‘อยู่กับสตรี’

“ทำไมเจ้าไม่อธิบายว่าเจ้าไม่ได้อยู่กับสตรี”

ทังจงซงเห็นหลิวรุ่ยอิ่งไม่พูดจาจึงย้อนถาม

“เจ้าคิดเช่นนี้ไปแล้ว ข้าอธิบายอีกจะมีประโยชน์ใด”

หลิวรุ่ยอิ่งเอ่ย

“เจ้าเปลี่ยนไป”

ทังจงซงกล่าว

“เปลี่ยนเป็นยอดเยี่ยมแล้ว?”

หลิวรุ่ยอิ่งตอบประโยคหนึ่งอย่างไม่ใส่ใจ

“เมื่อก่อนเจ้าไม่ยอมให้มีข้อผิดพลาดแม้แต่น้อย แต่ตอนนี้กระทั่งโต้เถียงอธิบายยังคร้านจะเปิดปาก”

“ฟ้าดินย่อมมีความยุติธรรม หากต้องถือแตรใหญ่อธิบายทุกการกระทำกับผู้คนในใต้หล้าอย่างละเอียด ข้ากลัวว่าจะไม่มีแม้แต่เวลาปลดเบา”

หลิวรุ่ยอิ่งเอ่ย

ขณะเดียวกันหยิบจอกสุราออกมาอีกหนึ่งจอก

วางไว้ตรงหน้าทังจงซง

รินให้เขาเต็มจอก

“นี่คือสุราอะไร”

ทังจงซงเอ่ยถาม

“สุราบงกช!”

หลิวรุ่ยอิ่งเอ่ย

“มีสุราชนิดนี้จริงหรือ”

ทังจงซงมองจอกสุรา เอ่ยถามอย่างเหลือเชื่อ

เขารู้จักแค่ละครงิ้วเรื่องสุราบงกช แต่ไม่รู้ว่าใต้หล้านี้มีสุราบงกชอยู่จริง

“คนตั้งชื่อให้ทั้งนั้น”

หลิวรุ่ยอิ่งเอ่ย

ทังจงซงวางจอกสุรา

เพราะเขาหัวเราะจนตัวสั่นไม่หยุด

หากถือจอกสุราไว้อีก เกรงว่าสุราบงกชจอกนี้คงหกหมดแน่

“นายกองหลิว! ข้าขอโทษ!”

ทังจงซงลุกขึ้นยืน โค้งให้หลิวรุ่ยอิ่งสุดตัว

หลิวรุ่ยอิ่งหยุดจอกสุราไว้ตรงปากพลางเอ่ยถาม

“เมื่อครู่ข้าทำผิดในใจแล้ว”

ทังจงซงกล่าว

“ข้าเจาะหัวใจเจ้าไม่ได้เสียหน่อย เจ้าไม่ต้องพูดออกมาหรอก”

หลิวรุ่ยอิ่งเอ่ย

“แต่ข้าอดไม่ได้”

ทังจงซงกล่าว

เขาพยายามฝืนให้จิตใจของตนสงบลง

แต่กลับหัวเราะหนักขึ้นเรื่อยๆ…

“เจ้าอดไม่ได้ก็ทำให้ข้าทนไม่ไหวแล้วเหมือนกัน พูดมาเถิด เหตุใดในใจถึงทำผิดต่อข้า”

หลิวรุ่ยอิ่งเอ่ย

ดื่มสุราในจอกรวดเดียวหมด

“ข้านึกถึงท่าทางของเจ้าก่อนหน้านี้ที่เอาจริงเอาจังกับทุกเรื่อง ดำเป็นดำ ขาวเป็นขาว สุดท้ายพอเมื่อครู่เจ้าไม่อธิบายกลับทำให้ข้ารู้สึกเจ้าไม่น่ารักเท่าเมื่อก่อน แต่พอพูดว่าสุราบงกชออกมา ข้าก็รู้ว่าเจ้ายังน่ารักเหมือนเมื่อก่อน และยังน่ารักกว่าเดิมอีก!”

ทังจงซงกล่าวไปพลางหัวเราะตัวงอไปพลาง

หลิวรุ่ยอิ่งมองเขาด้วยสีหน้าไร้อารมณ์

เพราะเขาไม่รู้สึกมีอะไรน่าขัน

เขาอยากฝืนตัวเองให้หัวเราะเป็นเพื่อนทังจงซงยังฝืนไม่ไหว

“เจ้าคิดว่าบุรุษคนหนึ่งชมบุรุษอีกคนว่าน่ารักเหมาะสมหรือ”

หลิวรุ่ยอิ่งย้อนถาม

“ใช่ๆ! ท่าทางเช่นนี้ละ! ท่าทางคิดเล็กคิดน้อย ตีความทุกตัวอักษรเช่นนี้ละ!”

ทังจงซงกล่าวพลางชี้หลิวรุ่ยอิ่ง

เขาหัวเราะหนักกว่าเดิม

เริ่มไอ

ไม่ทันระวัง

หัวเข่ากระแทกโต๊ะ

ชน ‘สุราบงกช’ จอกนั้นที่หลิวรุ่ยอิ่งรินให้เขาก่อนหน้านี้คว่ำลง

นี่ทำให้หลิวรุ่ยอิ่งหัวเราะแล้ว

เพราะหลังจอกสุราคว่ำลง น้ำสุราที่ไหลออกมากลับวาดเป็นรูปหน้ายิ้มบนโต๊ะ

เพียงแต่หน้ายิ้มนี้บิดเบี้ยวเล็กน้อย

ทว่าเหมือนหน้าตาของทังจงซงในตอนนี้อย่างยิ่ง

“วันนี้เหมือนเจ้าอารมณ์ดีมาก”

หลิวรุ่ยอิ่งเอ่ย

คนคนหนึ่งจะมองทุกสิ่งน่ารักไปหมดแค่ตอนอารมณ์ดีเท่านั้น

มะระที่รู้สึกกลืนยากมาตลอด ตอนอารมณ์ดีก็กินได้ครึ่งจาน

“แน่นอน! เจ้ารู้หรือไม่ตาเฒ่าบัณฑิตจางนั่นไม่ได้กลับมาหลายวันแล้ว! ตอนเช้าไม่มีใครมารบกวนข้า ข้าจึงนอนหลับได้อย่างไร้กังวลยันบ่าย เป็นเรื่องที่ทำให้คนสบายอารมณ์ยิ่งนัก!”

ทังจงซงกล่าวอย่างตื่นเต้น

“เขาไปไหนแล้ว”

หลิวรุ่ยอิ่งเอ่ยถาม

“เจ้าคิดว่าอย่างไรเล่า”

ทังจงซงยักคิ้ว กล่าวเย้าหยอก

เขารู้ว่าความหมายของทังจงซงคือบัณฑิตจางต้องไปอยู่กับสตรีเหมือนกันแน่นอน

ทั้งยังอยู่ด้วยกันหลายวันด้วย

ถึงอย่างไรตอนนั้นเขาก็ออกไปพร้อมอิ๋นซิง

จากนั้นไม่โผล่หน้าอีกเลย

“หากดอกไม้บานช้า มันก็จะบานได้งดงามและยาวนานกว่าเดิม”

หลิวรุ่ยอิ่งเอ่ย

ทังจงซงพยักหน้า

เขาจับจอกสุรานั้นขึ้นมารินให้ตัวเองจอกหนึ่ง

เดิมคนก็ไม่ต่างอะไรกับดอกไม้

บัณฑิตจางอายุปูนนี้แล้วได้เจอคนรักเก่าย่อมตื่นเต้นมากเป็นธรรมดา

ผ่านมาหลายปีเช่นนี้ ปมในใจที่เคยมีถูกแก้ออกนานแล้ว

ย่อมไม่จำเป็นต้องลองเชิงกันอย่างเขินอายเหมือนหนุ่มสาว

เรื่องราวมากมายล้วนเกิดขึ้นเองเมื่อเงื่อนไขพร้อม

แน่นอนว่าสามารถจู่โจมและพุ่งเข้าประเด็นโดยไม่ต้องอ้อมค้อม

“ความจริงวันนี้ตื่นมาข้าก็ครุ่นคิดปัญหาหนึ่งอยู่ตลอด”

ทังจงซงกล่าว

หลิวรุ่ยอิ่งไม่ได้ต่อบทสนทนานี้

เพราะเขารู้ว่าทังจงซงต้องพูดต่อแน่นอน

“ตาเฒ่านั่นหวงแหนพัดของเขาเช่นนี้ แล้วตอนหลับพัดอยู่ไม่ห่างหรือเป็นอิ๋นซิงอยู่ไม่ห่างตัวเขากันแน่”

ทังจงซงกล่าวต่อ

จากนั้นจมสู่ห้วงความคิด

ราวกับตั้งใจใคร่ครวญปัญหานี้อย่างยิ่ง

หลิวรุ่ยอิ่งจนใจเล็กน้อย

เพราะปัญหานี้ไม่น่าสนใจเอาเสียเลย

“เจ้าไปถามท่านบัณฑิตจางตรงๆ ได้”

หลิวรุ่ยอิ่งเอ่ย

“รอข้าเจอเขาอีกครั้ง ข้าต้องถามแน่นอน”

ทังจงซงกล่าว

“อย่าลืมบอกข้าด้วย”

หลิวรุ่ยอิ่งดื่มสุราพลางกล่าวไม่ค่อยชัด

“นั่นคงลำบากเล็กน้อย”

ทังจงซงถอนหายใจกล่าว

“มีอะไรลำบากหรือ”

หลิวรุ่ยอิ่งเอ่ยถาม

“เพราะเจ้าจะไปแล้ว ข้าไม่อยากไปกรมสอบสวนกลาง…และข้าก็ไม่ชอบเขียนหนังสือด้วย ดังนั้นไม่น่าเป็นไปได้ที่ข้าจะเขียนจดหมายบอกเรื่องเหล่านี้ หนำซ้ำทุกคนเขียนจดหมายมักต้องมีคำพูดจริงจังเล็กน้อย หากเขียนจดหมายฉบับหนึ่งเพื่อเรื่องแค่นี้อย่างเดียว ข้าก็ไม่สบายใจที่จะส่งออกไป”

ทังจงซงกล่าว

หลิวรุ่ยอิ่งฉงนเล็กน้อย

บนกายเขาเขียนอักษรตัวใหญ่ไว้ว่า ‘ข้าจะไปแล้ว’ อย่างนั้นหรือ

เหตุใดทุกคนดูออกกันหมดว่าเขาจะจากไป

นอกบ้านมีเสียงฝีเท้าอีกครั้ง

“เจ้าคิดว่าเป็นใคร”

หลิวรุ่ยอิ่งยิ้มถาม

“มีแค่คนเดียว เขาไม่มีทางพลาดทุกครั้งที่ดื่มสุรา”

ทังจงซงกล่าวพลางชี้ไหสุรา

ในเมื่อเซียวจิ่นข่านไม่อยู่

หลิวรุ่ยอิ่งจึงวางจอกสุราที่รินให้เซียวจิ่นข่านก่อนหน้านี้ไว้ด้านนอก

เพียงรอคนผู้นั้นเข้าบ้านมานั่งลงก็ดื่มได้เลย

………………………………………

ศึกยุทธ์ใต้ขุนเขาเงาจันทรา

ศึกยุทธ์ใต้ขุนเขาเงาจันทรา

Status: Ongoing
ด้วยภารกิจสำคัญที่ได้รับมา เขาจึงมุ่งหน้าสู่แดนพายัพ โดยไม่รู้เลยว่านั่นคือจุดเริ่มต้นของการก้าวเข้าสู่วิถีแห่งเซียนและการต่อสู้!

นิยายแนะนำ

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท