ผู้กล้าเหนือกาลเวลา – บทที่ 260 คุ้มแล้ว

ผู้กล้าเหนือกาลเวลา

บทที่ 260 คุ้มแล้ว

เสียงเซิ่งอวิ๋นผู้ปราดเปรื่องหยุดลงกะทันหัน ชีวิตกำลังมอดดับลงอย่างรวดเร็ว

ต่อให้เป็นเช่นนี้ แต่สวี่ชิงก็ยังไม่วางใจ หลังดึงกระดูกแขนออกมาตั้งท่าจะวาดไปที่คอของเขา

เขาจะฉีกแยกร่างของเซิ่งอวิ๋นผู้ปราดเปรื่อง เพื่อป้องกันการคืนชีพด้วยวิธีการประหลาด แต่ตอนนี้เอง ตะเกียงแห่งชีวิตเจ็ดสี่ในมือขวาเขา จู่ๆ ก็ระเบิดสายรุ้งยาวสายหนึ่งออกมา

สายรุ้งยาวปรากฏขึ้นฉับพลัน พุ่งทะยานขึ้นท้องฟ้า ภาพอัญเชิญสิ่งต้องห้ามของสำนักกระบี่เมฆาจรดฟ้าก็เหมือนจะมีต้นกำเนิดมาจากที่เดียวกันจึงไม่มีการสกัดกั้น ต่อให้เป็นดวงตาของวิเศษเวทของเจ็ดเนตรโลหิตก็ยังยากจะสกัดกั้นได้ ทำให้สายรุ้งยาวสายนี้พุ่งทะยานสู่ท้องฟ้า ระเบิดครืนครันบนท้องนภา

ก่อตัวเป็นกระแสวนขนาดยักษ์

ขณะที่กระแสวนสีเลือดนี้หมุนวนครืนครัน ก็แผ่ซ่านกลิ่นอายน่ากลัวที่ทำให้ใจสั่นสะท้าน และยังมีเสียงคำราม ดังมาจากด้านในกระแสวนด้วย

“ใครกล้ามาทำร้ายหลานข้า!!”

ภาพอัญเชิญของวิเศษเวทเจ็ดเนตรโลหิตพังทลายลงทันทีภายใต้เสียงคำรามนี้ ภาพอัญเชิญต้องห้ามด้านล่างก็สลายไปในพริบตาเช่นกัน ผนึกรอบๆ ก็เปิดออก จึงเปิดเผยร่างของสวี่ชิง

เขาหน้าเปลี่ยนสี สัมผัสได้ว่าตะเกียงแห่งชีวิตในมือมีพลังยิ่งใหญ่วูบหนึ่งส่งเข้ามา กระเสือกกระสนจะพุ่งเข้าไปในกระแสวนบนท้องฟ้า แต่ก็ถูกสวี่ชิงคว้าไว้แน่น นี่เป็นสิ่งที่เขาทุ่มเทอย่างยากลำบากจนได้มา นี่เป็นสมบัติของเขา!

ต่อให้ไม่มีนิ้วแล้ว แต่สวี่ชิงก็ใช้ปากกัดเอาไว้ ดวงตาแดงก่ำไม่ยอมปล่อย

และตอนนี้เอง ในกระแสวนก็มือข้างหนึ่งยื่นออกมาพร้อมเสียงคำรามต่ำกึกก้องบนท้องฟ้า!

มือข้างนี้แห้งเหี่ยวที่เต็มไปด้วยริ้วรอยพร้อมกับความเหี่ยวย่นและประสบการณ์ชีวิตที่โชกโชนขนาดใหญ่โตมโหฬารเหมือนจะบดบังท้องฟ้า พริบตาที่ปรากฏ ท้องฟ้าก็หม่นแสง ฟ้าดินสิ้นสีสัน โลกทั้งใบเปลี่ยนเป็นนิ่งงันลงในพริบตา

พลานุภาพสูงสุดวูบหนึ่งจุติมายังโลกมนุษย์พร้อมกับการปรากฏของมือยักษ์นี้

ร่างใกล้ตายของเซิ่งอวิ๋นผู้ปราดเปรื่องก็หายไปในพริบตา ไปปรากฏในกระแสวนบนท้องฟ้า ถูกรับตัวไป

เจ้าเงาก็กระตุ้นตัวหลบหนีในพริบตา

และมือใหญ่นั่นก็ไม่สนใจ แต่คว้าสวี่ชิงที่อยู่ด้านล่าง

สวี่ชิงสั่นสะท้านไปทั้งร่าง เลือดสดไหลออกมาจากขอบตะเกียงแห่งชีวิตที่กัดอยู่ ดวงตาเลือนราง ทั้งตัวปะทุแตกไม่หยุด เลือดสดพุ่งกระฉูดออกมามากขึ้น ความตายเข้ามาเยือนจิตวิญญาณของเขาฉับพลัน

ไม่อาจหลบเลี่ยง ไม่อาจหลีกหนี

มือใหญ่ในกระแสวนบดขยี้มา

พลังบำเพ็ญทั้งหมด แผนการทั้งหมด การเตรียมตัวทั้งหมด ล้วนหมดสิ้นประโยชน์ไปในวินาทีนี้ ความห่างชั้นของพลังบำเพ็ญ กลายเป็นเพียงความสิ้นหวัง

แต่ตอนนี้เอง!

จู่ๆ ส่วนลึกของแดนต้องห้ามปักษาราชันก็มีเสียงหนึ่งหวีดหวิวเข้ามา เสียงนี้หยุดเมฆที่ล่องลอย ดังก้องท้องนภา คล้ายกับเสียงของนกร้อง ประดุจเสียงหงส์คำราม

ฟ้าดินเปลี่ยนสี ท้องฟ้าปรากฏรอยแตกขนาดยักษ์หลายทาง

ท่ามกลางเสียงของร่องแตกที่สะเทือนหูแทบดับ ฉีกกระแสวนสีเลือด ทำให้มือใหญ่ที่ยื่นออกมาจากด้านในชะงักทันที

ส่วนลึกแดนต้องห้ามปักษาราชัน มีเสียงที่ยิ่งใหญ่ราวกับประกาศิตเทพเจ้าดังก้อง

“แดนต้องห้ามของข้า หวนสู่อนัตตาห้ามเข้า ไสหัวไป!”

เมื่อมีคำพูดออกมา กระแสวนสีเลือดบนท้องฟ้าก็ถูกร่องแตกฉีกทิ้ง ด้านในมีเสียงร้องเจ็บปวดดังขึ้น มือแห้งเหี่ยวที่ยื่นออกมา นิ้วสามนิ้วแตกสลายไปในพริบตา

สวี่ชิงร่างสั่นเทิ้ม เมื่อวิกฤตความเป็นความตายสลายหาย ตะเกียงเคลือบเจ็ดสีที่เขากัดเอาไว้แน่นก็สั่นสะเทือนอย่างรุนแรง

ภาพประทับร่างคนที่เกิดขึ้นจากลวดลายกฎเกณฑ์ฟ้าดินหลายสายของมันเลือนรางลงในพริบตา เสียงตัดขาดงเปรี๊ยะ ถูกลบทิ้งไป

และหลังจากที่ลวดลายอักขระหายไป การดิ้นรนของตะเกียงแห่งชีวิตก็หายไปด้วย ความรู้สึกไร้ซึ่งเจ้าของหลั่งทะลักเข้ามาในใจสวี่ชิง

ขณะเดียวกัน หลังจากเสียงกระอักก็มีเสียงร้องแหลมต่ำดังออกมาจากกระแสวนบนท้องฟ้า แต่ก็เป็นแค่การแผดเสียงเท่านั้น มือที่นิ้วหายไปสามนิ้วนั่นเก็บกลับไปพร้อมอย่างไม่ยินยอม

และก่อนที่จะเก็บกลับไปก็ยังคงส่งเสียงออกมา

“การคุ้มครองไม่เป็นผล มีโทษถึงตาย จงสังหารเจ้าเด็กนี่แล้วชิงตะเกียงกลับมา จะละเว้นโทษตายให้!”

ร่องแตกบนท้องฟ้าหลายทางระเบิดฉับพลัน พาดขวางกระแสวนราวกับคมมีดนับไม่ถ้วนวาดผ่าน จนทำให้กระแสวนพังทลายสลายหายไป

พริบตาที่ฟ้าดินกลับสู่ปกติ สวี่ชิงก็หอบหายใจถี่ เก็บกล่องปรารถนาบนพื้น หันหลังกลับไปอย่างไม่ลังเล เร่งความเร็วหลบหนีอย่างบ้าคลั่ง

เวลานี้เขาไม่มีเวลามาคิดแล้ว เพราะพริบตาที่กระแสวนมลายหาย เขาสัมผัสได้ว่าห่างออกไปมีกลิ่นอายแก่นลมปราณสามสายย่างกรายเข้ามากะทันหัน โถมขึ้นฟ้า มาพร้อมกับความบ้าคลั่งและความโกรธแค้นท้วมท้น พุ่งประชิดอย่างรวดเร็ว

สถานะของกลิ่นอายแก่นลมปราณทั้งสามนี้ ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าต้องเป็นผู้คุ้มครองของเซิ่งอวิ๋นผู้ปราดเปรื่องแน่นอน

และตัวตนน่ากลัวในกระแสวนนั้น น่าจะเป็นบรรพจารย์สำนักกระบี่เมฆาจรดฟ้า แม้เขาจะถูกเสียงที่ส่งมาจากส่วนลึกของพื้นที่ต้องห้ามปักษาราชันตะเพิดไป แต่ก็ยังหาหนทางทำให้ผู้คุ้มครองทั้งสามคนของเซิ่งอวิ๋นผู้ปราดเปรื่องมาที่นี่

เขามาไม่ได้ แต่ความคิดที่จะสังหารสวี่ชิงรวมถึงแย่งชิงตะเกียงแห่งชีวิตคืนก็รุนแรงเหลือเกิน

ส่วนเรื่องอื่น เช่นเสียงของส่วนลึกพื้นที่ต้องห้ามปักษาราชัน เซิ่งอวิ๋นผู้ปราดเปรื่องจะเป็นจะตาย หรือว่าตนเองจะทำอะไรต่อ สวี่ชิงไม่มีเวลาใส่ใจ

เวลานี้เขาพุ่งทะยานสุดกำลัง ผลึกวารีสีม่วงในร่างกายปะทุ ขณะเดียวกันในดวงตาก็เผยความโหดเหี้ยม กำตะเกียงเคลือบเจ็ดสีเอาไว้แน่น

ขณะที่หลบหนีอย่างบ้าคลั่ง ดวงตาสวี่ชิงก็มีความบ้าคลั่งเช่นกัน

ครั้งนี้เขาเกือบเอาชีวิตไม่รอด ใช้ไปมหาศาล แต่สิ่งที่ได้รับมาก็มหาศาลเช่นกัน

มูลค่าของตะเกียงแห่งชีวิตไม่อาจพรรณนาได้!

“คุ้มแล้ว!!” สวี่ชิงหายใจหอบถี่ ขบเขี้ยวเคี้ยวฟัน เริ่มหลอมตะเกียงเคลือบเจ็ดสีทันที

เขาค่อยๆ หลอมรวมช้าๆ ไม่ได้ วิกฤตเวลานี้มีแก่นลมปราณสามคนกำลังไล่สังหาร เขาจำเป็นต้องเพิ่มพลังความสามารถ และต้องเร่งฟื้นฟูอาการบาดเจ็บของตนเอง

จึงไม่สนใจอะไรมาก และไม่มีเวลาไปตรวจสอบยืนยัน เขาทำได้เพียงเดิมพันสักครั้งตามความรู้สึก ดังนั้นจึงจุดตะเกียงแห่งชีวิตในร่างกายให้ลุกโหมขึ้นมา

จากการเขาที่แผ่เปลวไฟเผาไหม้ทั่วตัวออกมาด้านนอกก็จัดการปกคลุมตะเกียงเคลือบเจ็ดสีไว้ด้านใน ฉับพลันตะเกียงก็เปล่งแสงเจิดจ้าแยงตา แต่สวี่ชิงกลับไม่รู้สึกถึงอุปสรรคใด จัดการนำเปลวไฟส่งผสาน และประทับร่างเงาของตนเองลงไป!

ตะเกียงนี้กลายเป็นวัตถุไร้เจ้าของไปจากเสียงประกาศิตเทพเจ้าในส่วนพื้นที่ต้องห้ามปักษาราชันก่อนหน้า

ตอนนี้แสงเจ็ดสีราวกับสายน้ำไหลบ่าเข้าไปในรูขุมขนทั่วร่างสวี่ชิงจากการเผาไหม้ แทรกซอนเข้าไปในร่างกาย ระหว่างกระบวนการไร้ความเจ็บปวด กลับดูสบายเสียด้วยซ้ำ หลังจากที่แทรกซอนเข้าไปแล้ว แสงที่ไหลบ่าเข้าไปเหล่านี้ก็รวมตัวกันบนจุดตันเถียนของสวี่ชิง ท่ามกลางทะเลความรู้สึก

เมื่อรวมตัวกัน ตะเกียงเคลือบเจ็ดสีใบหนึ่งก็ปรากฏขึ้น!

รูปร่างตะเกียงมีทั้งหมดสีทั้งเจ็ด ประสบการณ์ชีวิตที่โชกโชนโอบล้อม เปี่ยมไปด้วยความรู้สึกแห่งกาลเวลา และมีความประณีตหรูหราออกมาอย่างแจ่มแจ้ง

ดูจากภายนอกเทียบกันแล้ว ไม่แตกต่างกับตะเกียงแห่งชีวิตร่มดำของสวี่ชิง

ไม่เพียงมีความประณีตและท่วงทำนองโบราณเหมือนกัน เมื่อเรียงอยู่เคียงกัน ต่างส่องแสงสว่าง เปล่งแสงเจิดจ้าออกมา

สีดำกับทั้งเจ็ดสีโอบล้อม ส่องสะท้อนทีละชั้นทำให้วังสวรรค์ของสวี่ชิงเดี๋ยวชัดเดี๋ยวเลือนในขณะนี้!

เมื่อมองจากด้านนอกก็จะเห็นว่าร่างกายสวี่ชิงที่กำลังพุ่งทะยานด้วยความเร็วระเบิดแสงเจ็ดสีออกมา ราวกับกลายเป็นชุดนักพรตเจ็ดสีปกคลุมร่างกายของเขา ขณะเดียวกันบนศีรษะก็ปรากฏฉัตรออกมาสองฉัตร

ฉัตรหนึ่งสีดำ แผ่เปลวเพลิงมหาศาล ปกป้องจิตวิญญาณ

ฉัตรหนึ่งเจ็ดสี แสงไหลบ่าปกคลุมร่างกาย คุ้มครองกายเนื้อ

หนึ่งฉัตร เลิศล้ำหายาก สองฉัตร สูงศักดิ์ยิ่ง!

แม้ทั่วร่างสวี่ชิงจะดูสะบักสะบอม แต่ในเวลานี้ความยอดเยี่ยมก็เด่นชัดออกมาอย่างไร้ข้อกังขาใต้ฉัตรทั้งสอง

และขณะที่กำลังผสานตะเกียงแห่งชีวิต สวี่ชิงก็นำไฟชีวิตดวงหนึ่งใส่เข้าไปในตะเกียงเคลือบเจ็ดสี พริบตานั้นแสงของไฟชีวิตก็ลั่นฟ้าสะเทือนดิน

ราวกับมีอัสนีสวรรค์ฟาดผ่าในหัวสมอง พลังบำเพ็ญเพิ่มขึ้นอย่างบ้าคลั่ง ไฟชีวิตลุกโชนอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อนภายใต้การเผาไหม้ของตะเกียงทั้งสองในร่างกาย

ตอนมองไป เหมือนไม่ใช่โลกทั้งใบถูกเผาไหม้อีกแล้ว แต่ราวกับเป็นทั้งฟ้าดินกำลังกลายเป็นนรกในร่างกายเขา

พลังต่อสู้ของสวี่ชิงภายใต้การหนุนนำของตะเกียงแห่งชีวิต ก็ไต่ระดับขึ้นไปถึงไฟชีวิตหกดวงจากไฟชีวิตห้าดวงก่อนหน้าในพริบตา!

พลังต่อสู้เช่นนี้ หากยังอยู่ระดับสร้างฐานในมณฑลรับเสด็จราชัน ก็ถือว่าอยู่บนจุดสูงสุด

ก่อนหน้านี้คือสภาพที่แข็งแกร่งที่สุดของเซิ่งอวิ๋นผู้ปราดเปรื่อง เวลานี้กลายเป็นสวี่ชิงแล้ว!

ขณะเดียวกัน จากการที่สวี่ชิงหลบหนีอย่างบ้าคลั่งในแดนต้องห้าม ขณะที่ความโกรธแค้นและจิตสังหารของผู้คุ้มครองแก่นลมปราณสามคนด้านหลังเขากำลังแผ่ซ่าน บนแผ่นดินใหญ่ต้องประสงค์ ในพันธมิตรเจ็ดสำนัก ที่สำนักกระบี่เมฆาจรดฟ้าก็มีเสียงคำรามกราดเกรี้ยวดังออกมา

“เป็นแค่คนชั้นต่ำดันกล้ามาชิงตะเกียงแห่งชีวิตของข้า!!” เสียงนี้กร้านโลก บรรพจารย์หลิงอวิ๋นนั่นเอง

ตอนที่แผดเสียงคำราม สายรุ้งยาวสายหนึ่งที่สั่นสะเทือนทั่วสารทิศ ทะเลต้องห้ามโหมกระหน่ำ ก็พุ่งทะยานออกไปจากในสำนักกระบี่เมฆาจรดฟ้า

และมองเห็นว่าในสายรุ้งยาวนี้ คือร่างชายชราในชุดคลุมยาวสีทอง

ชายชราผมขาว พลังอำนาจสะเทือนไปทั้งแปดทิศ สีหน้าเต็มไปด้วยโทสะ เมื่อโบกมือปราณกระบี่หลายสายของสำนักกระบี่เมฆาจรดฟ้าก็ทะยานขึ้นฟ้า กลายเป็นเงาหลายสายติดตามตัวเขารอบด้าน พุ่งทะยานพาดขวางทะเลต้องห้ามไปทางเจ็ดเนตรโลหิตทวีปปักษาสวรรค์ทักษิณพร้อมกันอย่างรวดเร็วด้วยเจตนามาดร้าย

ทุกจุดที่พาดผ่าน ทะเลต้องห้ามสั่นสะเทือน โดยเฉพาะเบื้องหน้าของบรรพจารย์หลิงอวิ๋น ในดวงตาเขามีลำแสงหลายสายเจิดจ้า ระดับของเขาอยู่ระดับเดียวกับเสี่ยเลี่ยนจื่อ หวนสู่อนัตตาขั้นที่หนึ่ง

เวลานี้โทสะของเขามากพอจะแผดเผาท้องทะเล ปราณกระบี่มหาศาลแผ่ออกมาทั่วร่างทำให้น้ำในทะเลตต้องห้ามเหือดหาย อสูรทะเลมากมายสั่นสะท้าน ชนเผ่าทั้งหลายตกตะลึงพรึงเพริด

ท้องฟ้าอัสนีครืนครันเป็นสาย มิติแตกเป็นทาง นี่คือสิ่งมหากาฬออกสู่ท้องทะเล!

ขณะเดียวกัน ในเจ็ดเนตรโลหิต บนยอดเขาลำดับเจ็ด นายท่านเจ็ดนั่งอยู่บนหอสูง กำลังเล่นหมากล้มกับผู้ติดตาม

เพียงแต่เขายกตัวหมากในมืออยู่นาน ถ้าจับเวลาอย่างละเอียดก็น่าจะตั้งแต่ตอนที่สวี่ชิงกับเซิ่งอวิ๋นผู้ปราดเปรื่องปะทะกัน เขายังไม่ได้วางหมากเลย

คนติดตามก็ไม่ได้รีบร้อน เฝ้ารออย่างสงบ

จนเวลาผ่านไปนาน นายท่านเจ็ดก็ลุกขึ้นยืนด้วยสีหน้าสงบนิ่ง เอ่ยเสียงเรียบว่า

“ไม่เล่นแล้ว”

“ข้าไปรับเจ้าศิษย์คนที่สี่กลับมาก่อน แล้วค่อยมาเล่นหมากล้อมต่อ”

พูดพลาง นายท่านเจ็ดก็มือไพล่หลัง ย่างเท้าลงไปในความว่างเปล่า ย่างเท้าไปทางแดนต้องห้ามปักษาราชัน

เส้นผมขาว ดวงตาเปล่งประกายดารา

ชุดคลุมสีม่วง แผ่นหลังประดุจยอดเขาเขียว

จิตวิญญาณเปี่ยมกำลังวังชา ราวม้าแก่อยู่ในคอก

ผู้กล้าเหนือกาลเวลา

ผู้กล้าเหนือกาลเวลา

Status: Ongoing
เมื่อเขากลายเป็นผู้รอดชีวิตเพียงคนเดียวในเมืองที่ถูกพลังของเทพเจ้าทำลายล้าง…รายละเอียดกำลังภายใน-เทพเขียนเรื่องใหม่จากนักเขียนชื่อดัง ‘เอ่อร์เกิน’ ผู้เขียน ‘หนึ่งความคิดนิจนิรันดร์’ ‘สู่วิถีสุรา’ ฟื้นลิขิตฟ้าข้าขอเป็นเขียน’ ‘หนึ่งฝ่ามือสยบโลกา’ เมื่อเทพเจ้าลืมตาจับจ้องมา โลกก็เกิดการเปลี่ยนแปลง ไอพลังประหลาดกระจัดกระจายไปทั้งโลกมนุษย์ เกิดการกลายพันธุ์ต่อสรรพชีวิตบนโลก ‘สวี่ชิง’ เด็กหนุ่มผู้รอดชีวิตใช้ชีวิตเพียงลำพัง ดิ้นรนเอาตัวรอดจากอสูรร้ายและไอพลังประหลาดได้พบกับพลังวิเศษ แต่ในโลกกลียุคเช่นนี้ ปลาใหญ่กินปลาเล็ก ผู้แข็งแกร่งเท่านั้นจึงจะมีชีวิตรอด เพื่อที่จะแก้แค้นให้กับคนที่รัก เพื่อตามหาครอบครัวที่อาจจะมีชีวิตอยู่ที่ใดสักแห่ง เขาจะต้องแข็งแกร่งขึ้นให้ได้ . . . เขาต้องรอด!!!

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท