ผู้กล้าเหนือกาลเวลา – บทที่ 263 พิธีคารวะอาจารย์

ผู้กล้าเหนือกาลเวลา

บทที่ 263 พิธีคารวะอาจารย์

เสียงนี้เข้มงวดจริงจังนัก แฝงไว้ด้วยท่วงทำนองที่ไม่เหมือนกับเวลาพูดในยามปกติ

เหมือนสรรเสริญ ดังก้องไปทั่วฟ้าดิน!

คำพูดแฝงไว้ด้วยความโบราณ เนื้อหายิ่งมีความงดงาม เหมือนกับเนื้อหากล่าวเคารพสรรเสริญที่กล่าวมา

แสดงความศรัทธาจริงใจยามทำพิธีเซ่นไหว้บูชา แสดงความเคารพสูงสุดแด่เทพไท้บรรพจารย์!

แม้แต่นายกองที่อยู่หน้าประตูตอนนี้ ในเสี้ยวขณะนี้สีหน้าก็ยังเคร่งขรึมอย่างไม่เคยมีมาก่อน กะพริบตาให้สวี่ชิงอีกครั้ง แล้วก้าวออกมาก้าวหนึ่ง

นายกองในวันนี้ ไม่ได้สวมชุดนักพรตสีเทาอีกต่อไปอย่างหาได้ยาก แต่เปลี่ยนเป็นชุดนักพรตสีม่วงปักลายทองเหมือนกับสวี่ชิงทุกประการ

ชุดนักพรตของพวกเขามองเผินๆ แล้วคล้ายกับลูกศิษย์ยอดเขาลำดับเจ็ด แต่ความจริงแล้วรายละเอียดแตกต่างกันเป็นอย่างมาก

ตอนนี้นายกองยืนอยู่ที่หน้าประตู แววตาแปรเปลี่ยนมาล้ำลึก จ้องมองสวี่ชิง เอ่ยราบเรียบ

“สวี่ชิง ตามข้ามา ต่อจากนี้ ข้าจะเป็นผู้คุ้มครองของเจ้า”

นายกองไม่เคยพูดจาเช่นนี้มาก่อน ตอนนี้เขาไม่ใช่แค่สีหน้าเคร่งขรึมจริงจังเท่านั้น คำพูดก็เช่นกัน ในขณะที่เอ่ยก็มองสวี่ชิงอย่างล้ำลึก สองมือประสานหมัด นิ้วซ้อนทับ ยกขึ้นเสมอคิ้ว โค้งตัวต่ำ ทำการคารวะอย่างเต๋าอย่างเป็นพิธีรีตรองยิ่งนัก

ความจริงจังเคร่งขรึมปะทะหน้า สวี่ชิงสัมผัสได้ว่าต่อจากนี้ตนจะต้องเข้าร่วมพิธีการที่เคร่งขรึมเป็นอย่างยิ่ง จึงจัดเสื้อผ้าครู่หนึ่ง แล้วประสานมือคารวะไปทางนายกองเช่นกัน ก่อนจะเดินไปที่ประตูตำหนัก

เพียงสามก้าวก็มาถึงหน้าประตูตำหนัก ในเสี้ยวพริบตาที่ก้าวออกมา จิตใจสวี่ชิงก็สั่นไหว

ตำหนักใหญ่ที่เขาอยู่อยู่ใกล้กับยอดเขาของยอดเขาลำดับเจ็ด สิ่งที่อยู่ต่อหน้าเขาคือลานพิธีเต๋าแปดเหลี่ยมขนาดมหึมาแห่งหนึ่งที่สร้างขึ้นจากหินเขียว แผ่ท่วงทำนองเทพออกมา บนนั้นบูชารูปสลักรูปหนึ่งเอาไว้

รูปสลักนี้เป็นชายกลางคน ตอนนี้มือไพล่หลัง กำลังมองไปที่ไกล

มองเห็นใบหน้าไม่ชัด เห็นเพียงชุดคลุมจักรพรรดิมังกร ศีรษะสวมกวานจักรพรรดิสีฟ้า เหนือศีรษะมีฉัตรพร่างพรายเก้าคัน ไอพลังมังกรปกคลุมรอบกาย ทรงอำนาจท่วมท้น ยิ่งใหญ่เป็นอย่างยิ่ง

เพียงแค่รูปสลักก็มีรัศมีอำนาจสะท้านฟ้าสะเทือนดินเช่นนี้ ทำให้สวี่ชิงรูม่านตาหดเล็ก

แต่เขาหวนตินสติกลับมาอย่างรวดเร็ว มองไปรอบๆ ลานพิธีเต๋า

รอบๆ ลานพิธีเต๋า นี้ สวี่ชิงเห็นลูกศิษย์สำนักเจ็ดเนตรโลหิตอย่างน้อยนับพันคน ลูกศิษย์เหล่านี้มีทั้งหญิงชาย มีทั้งแก่ชรา มีทั้งหนุ่มแน่น แต่ละคนล้วนสวมชุดคลุมเต๋าสีม่วงที่ดูเหมือนว่าไม่ได้เอาออกมานานแล้วเต็มไปด้วยความเคร่งขรึม

ส่วนข้างหน้าลานพิธีเต๋า เป็นบันไดหินขาวลายมังกร มีถึงเก้าสิบขั้น

เหนือขั้นบันไดมีตำหนักใหญ่ที่ส่องประกายสีม่วง แผ่ความยิ่งใหญ่ทรงพลังออกมา ที่นั่น…คือตำหนักที่สูงที่สุดของยอดเขาลำดับเจ็ด

ส่วนบนท้องฟ้า ตอนนี้เมฆหมอกลอยอวล มีกิ้งก่านภาบรรพกาลสีดำขนาดมหึมาตัวหนึ่งอยู่ในนั้น ทำให้ชั้นเมฆโหมทะลัก สายฟ้าแต่ละสายฟาดผ่าเสียงครืนครันไปทั่วทุกสารทิศตามการเคลื่อนไหวของมัน

ในเมฆหมอกนั่นมีเงาร่างสูงใหญ่หกร่างดุจร่างจำแลงยืนตระหง่าน กำลังจ้องเพ่งมายังโลก

คนทั้งหกมีทั้งชายและหญิง ในนั้นสวี่ชิงเห็นเจ้ายอดเขาลำดับหนึ่ง และเห็นนายท่านหก

พวกเขาล้วนมองมายังสวี่ชิง ในแววตาของนายท่านหกยิ่งฉายแววให้กำลังใจ

สวี่ชิงที่อยู่ภายใต้สถานการณ์เช่นนี้ก็ตื่นเต้นเล็กน้อยเช่นกัน เมื่อเงยหน้ามองขึ้นไปอีกครั้งก็เห็นบนเมฆหมอกมีเงาร่างสีเลือดที่สูงใหญ่ปานว่าสามารถค้ำยันฟ้าดินได้ ยืนตระหง่านอยู่ตรงนั้นดุจเทพไท้

เป็นเสี่ยเลี่ยนจื่อ บรรพจารย์ของสำนักเจ็ดเนตรโลหิตนั่นเอง

พวกเขาล้วนมองดูพิธีจากบนฟ้า!

“ลูกศิษย์ยอดเขาลำดับเจ็ดสวี่ชิง รูปสลักนี้คือจักรพรรดิโบราณเสวียนโยว ต้นกำเนิดวิถีเต๋าของยอดเขาลำดับเจ็ดเรา

“จักรพรรดิโบราณเสวี่ยนโยวคือจักรพรรดิเผ่ามนุษย์คนสุดท้ายที่สยบแผ่นดินใหญ่ต้องประสงค์ เจ้าจงคำนับ!

“เริ่มพิธี!”

นายกองยืนอยู่ข้างสวี่ชิง ดวงตามองตรงไม่วอกแวก จ้องมองรูปสลักบนลานพิธีเต๋า เสียงเคร่งขรึมจริงจังดังก้องไปทั่วสารทิศ

สวี่ชิงก้มหน้า ประสานหมัดโค้งต่ำคารวะรูปสลักจักรพรรดิโบราณบนลานพิธีเต๋า ในเสี้ยวขณะที่ลุกขึ้นยืน นายกองและลูกศิษย์ยอดเขาลำดับเจ็ดที่มาดูพิธีทั้งหมดรอบๆ ก็ต่างค้อมศีรษะ คารวะรูปสลักจักรพรรดิโบราณเสวียนโยวโดยพร้อมเพรียง

กิริยารวมเป็นหนึ่ง มีรัศมีอำนาจท่วมท้นสะเทือนฟ้า

หลังจากคารวะ สวี่ชิงถูกบรรยากาศรอบๆ พาไป สีหน้าเคร่งขรึมจริงจังยิ่งขึ้น ตามนายกองเดินไปข้างหน้า ตลอดทางอยู่ภายใต้การจับตามองของลูกศิษย์ยอดเขาลำดับเจ็ดที่อยู่รอบๆ เดินผ่านลานพิธีเต๋า เดินมาถึงใต้บันไดเก้าสิบขั้น

ที่นี่ เสียงของนายกองดังขึ้น

“พวกเราผู้บำเพ็ญ เส้นทางพลิกชะตา มหาพิภพต้องประสงค์ เก้านภาสิบแผ่นดิน ด้วยเหตุนี้ยอดเขาลำดับเจ็ดจึงสร้างบันไดหินขาวเก้าสิบขั้น ย่างก้าวขึ้นบนบันไดนี้ พิสูจน์ว่ามีความสามารถข้ามผ่านเก้านภา เดินขึ้นไปจนถึงยอดสุด สาบานต่อเก้าปฐพี!

“สวี่ชิง เดินขึ้นบันไดขุนเขา!”

เสียงของนายกองดุจมังกรคำราม ทอดยาวต่อเนื่อง

สวี่ชิงทั่วร่างเต็มไปด้วยความเคร่งขรึม ก้าวเท้าเหยียบไปบนบันไดขั้นแรก

ในเสี้ยวพริบตาที่เท้าเหยียบลงไป ในยอดเขาลำดับเจ็ดก็มีเสียงระฆังดังกังวาน

หง่าง!

เสียงระฆังหนักแน่น ทันทีที่เสียงดังขึ้น ฟ้าดินเปลี่ยนสี ลมเมฆหอบม้วน

สวี่ชิงสมาธิตั้งมั่น แผ่นหยกแผ่นหนึ่งลอยออกมาจากอกเสื้อ เป็นแผ่นหยกที่ผู้ติดตามให้นั่นเอง

แผ่นหยกแผ่นนี้ตอนนี้ส่องประกายแสงระยิบระยับ ลอยอยู่ข้างหน้า เคลื่อนไปข้างหน้าพร้อมกับเขา เหมือนโคมนำทางในประกายแสงของแผ่นหยกแผ่นนี้ ฉากที่ถูกคนบันทึกภาพเงาเคลื่อนไหวเอาไว้ก็อาศัยแสงนี้ สะท้อนเข้ามาในสมองของสวี่ชิง

ในภาพฉาก เป็นลานประลองสัตว์ในฐานที่มั่นคนเก็บขยะแห่งหนึ่ง ในนั้นมีเด็กหนุ่มสวมเสื้อขนสัตว์ ใบหน้าดวงเล็กๆ เต็มไปด้วยคราบสกปรก กำลังลากงูเหลือมยักษ์จากไปไกล

ในที่นั่งข้างๆ มีเงาร่างที่คนนอกมองไม่เห็นสองร่าง คนหนึ่งคือนายท่านเจ็ด อีกคนคือผู้ติดตาม พวกเขากำลังมองสวี่ชิง เสียงของนายท่านเจ็ดแฝงด้วยความสนใจ เสียงเบาๆ ดังก้อง

“เด็กหนุ่มคนนี้น่าสนใจ”

สวี่ชิงดวงตาเบิกกว้าง เด็กหนุ่มในลานประลองสัตว์ก็คือเขานั่นเอง ตอนนี้ ในที่สุดสวี่ชิงก็เข้าใจแล้วว่าทำไมถึงมีเรื่องที่ภายหลังตนได้มายังสำนักเจ็ดเนตรโลหิต

ภาพนี้ก็คือสาเหตุ

ในขณะที่สวี่ชิงอยู่ท่ามความตื่นตะลึง เขาก็เดินมาแล้วแปดขั้นโดยไม่รู้ตัว ในยามที่เดินมาถึงบันไดขั้นที่เก้า เสียงระฆังของยอดเขาลำดับเจ็ดก็มาดังขึ้นอย่างมีจังหวะและก้องกังวาน เสียงที่สองดังสะเลือนเลื่อนลั่น

แผ่นหยกข้างหน้าสวี่ชิง ประกายแสงพราวพร่าง ในหัวของสวี่ชิงมีภาพที่สองปรากฏขึ้นมา

ในภาพ เด็กหนุ่มคนหนึ่งนั่งย่อตัวอยู่ในมุมตรอกมืดมิด ในยามที่คนเก็บกวาดผอมสูงคนหนึ่งเดินผ่านมา เด็กหนุ่มก็กระโจนตัวขึ้นมา ปิดปากของคนเก็บกวาดเอาไว้จากข้างหลัง แล้วปาดคอของอีกฝ่าย

ในภาพ บนหลังคาข้างๆ นายท่านเจ็ดนั่งอยู่ตรงนั้น สายตาฉายแววชมเชย

“เป็นเด็กที่น่าสนใจจริงๆ”

สวี่ชิงลมหายใจหอบถี่ เขาเข้าใจแล้ว กระจ่างแจ้งโดยสมบูรณ์ จนเสียงครั้งที่สาม ครั้งที่สี่ ครั้งที่ห้า ครั้งที่หก ดังขึ้นตามลำดับ สวี่ชิงก็เดินไปไกลมากแล้ว

เสียงระฆังหนึ่งครั้งคือเดินผ่านบันไดเก้าขั้น เมื่อเสียงครั้งที่หกดังขึ้น ก็เดินมาได้ห้าสิบสี่ขั้นแล้ว

เสียงระฆังนั่นดังขึ้นเรื่อยๆ ทรงพลังขึ้นเรื่อยๆ ภาพในหัวเขาที่ปรากฏขึ้นแต่ละภาพล้วนสร้างระลอกคลื่นอารมณ์รุนแรงขึ้นเรื่อยๆ

ภาพที่สาม เป็นภาพที่เขาสวมชุดใหม่ เดินหลบแอ่งโคลนอย่างระมัดระวัง นายท่านเจ็ดอยู่ข้างๆ สงสัยว่าทำไมเขาถึงเปลี่ยนชุด

ภาพที่สี่ เป็นภาพที่เขาฆ่าเจ้าอ้วน โดนพิษเดินโซเซจากไปไกลภายใต้แสงจันทร์ นายท่านเจ็ดที่อยู่บนหลังคาหัวเราะ

ภาพที่ห้า ปรมาจารย์ไป่ปรากฏตัวขึ้น นายท่านเจ็ดอยู่ในกระโจมของปรมาจารย์ไป่ ก่อนจากก็พูดอะไรเอาไว้

“ปรมาจารย์ไป่ หากท่านรู้สึกจริงๆ ว่าเด็กนั่นเป็นคนที่ควรค่าสอนสั่งอบรม เช่นนั้นก็สอนความรู้บางอย่างให้เขามากหน่อย ให้เขามีโอกาสได้เป็นนักปราชญ์ที่มีพลังบำเพ็ญคนหนึ่งในสำนักเจ็ดเนตรโลหิต”

ภาพที่หก เป็นภาพที่หลังจากหัวหน้าเหลย ปรมาจารย์ไป่ และเด็กหญิงตัวน้อยทยอยเดินทางจากไป สวี่ชิงอยู่ในบ้านคนเดียว หลอมรวมไปกับความมืดเงียบๆ ในเสี้ยวพริบตาที่ความโดดเดี่ยวเข้าปกคลุม ที่นอกประตูบ้านของเขา นายท่านเจ็ดเอ่ยขึ้นเสียงเบา

“ให้ป้ายฐานะสีขาวกับเขา”

สวี่ชิงตัวสั่นสะท้าน ก่อนหน้านี้เขามีการคาดเดามากมาย จวบจนตอนนี้ก็รู้ถึงสาเหตุแล้ว เขาเงยหน้าทอดสายตามองไปยังยอดเขา เดินมาบันไดขั้นที่หกสิบสาม เสียงระฆังครั้งที่เจ็ดดังขึ้นทั่วฟ้าดิน

จากนั้นก็เป็นเสียงครั้งที่แปด ครั้งที่เก้า

ท่ามกลางเสียงระฆัง ประกายแสงของแผ่นหยกก็ยังคงเจิดจ้าพราวพร่าง สวี่ชิงดูมาจนถึงภาพฉากที่เจ็ด

นั่นเป็นภาพที่เขาเพิ่งมาถึงสำนักเจ็ดเนตรโลหิต กลางคืน ท่ามกลางความโคลงเคลงจากเรือเวท หยิบหาเหล้าคารวะพ่อแม่ คารวะหัวหน้าเหลย ฉลองวันเกิดของตัวเอง

ภาพที่แปดเป็นภาพที่เขาถูกไล่ล่าสังหารที่เผ่าสิงซากสมุทร

ภาพที่เก้าเป็นภาพการต่อสู้ของเขากับเซิ่งอวิ๋นผู้ปราดเปรื่องที่หน้าศาลเจ้า

ในใจสวี่ชิงเกิดระลอกคลื่นอารมณ์ยากบรรยายขึ้น จากประกายแสงที่หมองหม่นลงของแผ่นหยก มันก็กลับเข้ามาในอกเสื้อของเขาอีกครั้ง สวี่ชิงเดินมาถึงขั้นที่เก้าสิบ ก้าวมาบนบันได้ขั้นสุดท้าย

เขาเห็นตำหนักใหญ่แสงสีม่วงที่ยิ่งใหญ่ตำหนักนั้น เห็นนายท่านเจ็ดที่จ้องมองตนมาจากในตำหนัก

ข้างกายนายท่านเจ็ดยังมีองค์หญิงสองและองค์ชายสาม

นายท่านเจ็ดในวันนี้เสื้อผ้าอาภรณ์เป็นทางการกว่าที่ผ่านมามาก สวมชุดนักพรตสีม่วงลายเมฆคล้อย ผมมุ่นเป็นมวยกวานนภางูหลามเก้าตัว สายตาประดุจอัสนีบาต ในขณะที่นั่งอยู่ทั่วทั้งร่างเต็มเปี่ยมไปด้วยพลังมหาศาลน่าครั่นคร้าม

“สวี่ชิง” คนที่พูดไม่ใช่นายท่านเจ็ดที่อยู่ในตำหนัก แต่เป็นนายกองที่เดินตามสวี่ชิงมาตลอดทาง

“หลังจากเดินพิสูจน์ตนข้ามผ่านเก้านภาสาบานต่อสิบปฐพีแล้ว ต้องคำนับฟ้าดิน เจ้าจงหันคำนับสามครั้ง

“เริ่มพิธี!” ในยามที่เสียงของนายกองดังก้องฟ้า สวี่ชิงยืนอยู่บนบันได้ขั้นที่เก้าสิบ หันหลังมามองท้องฟ้าและผืนแผ่นดิน คำนับสามครั้ง!

ในเสี้ยวพริบตาที่ยืนขึ้น นายกองและลูกศิษย์ที่อยู่รอบๆ ลานพิธีเต๋าก็คำนับฟ้าดินสามครั้งพร้อมกัน!

ภาพทุกฉากนี้ล้วนแผ่ความเคร่งขรึมออกมา พิธีการทุกอย่างล้วนมีความหมายลึกซึ้ง สำนักบำเพ็ญในโลกโลกาวินาศ ทุกอย่างล้วนทำง่ายๆ ไม่ต้องซับซ้อน ทุกอย่างมีผลประโยชน์เป็นสิ่งสูงสุด มีเพียงการเซ่นไหว้บูชาบรรพจารย์และรับศิษย์เท่านั้นที่จะทำแบบนั้นไม่ได้ จะต้องให้ความสำคัญกับพิธีการ

“มรรคาเดิมว่างเปล่า หากไม่ศึกษาก็มิอาจเข้าใจในมรรคา มรรคาอยู่ในตำรา หากมิมีอาจารย์ยากจะกระจ่างแจ้งใจ

“จักรพรรดิโบราณเสวียนโยวสร้างคุณูปการยิ่งใหญ่ ด้วยเหตุนี้เราเผ่ามนุษย์ควรคารวะหนึ่งครั้ง

“ฟ้าดินลึกลับล้ำลึก แบกรับทุกสรรพสิ่ง ด้วยเหตุนี้เราเผ่ามนุษย์ควรแล้วที่จะคารวะสามครั้ง

“ทว่าจักรพรรดิโบราณสูงส่ง ไม่เคยมีบุญคุณต่อเจ้า ฟ้าดินสรรพสิ่งห้วงทะเลทุกข์ไม่เคยชี้นำเจ้า มีเพียงอาจารย์เท่านั้นที่บุกน้ำลุยไฟ มีบุญคุณต่อเจ้าในชาตินี้ ชี้นำเจ้าในชาติหน้า ทำทุกอย่างที่สามารถทำได้ ร่วมเดินบนมหามรรคา ด้วยเหตุนี้ควรแล้วที่เจ้าจะคารวะเก้าครั้ง!”

เสียงของนายก้องตอนนี้ดังก้องผืนนภา สะท้านฟ้าสะเทือนดิน

สวี่ชิงหันกลับมา มองเงาร่างนายท่านเจ็ดในตำหนักใหญ่ ก้มศีรษะ คำนับเก้าครั้ง!

คารวะจักรพรรดิโบราณหนึ่งครั้ง คารวะฟ้าดินสามครั้ง คารวะอาจารย์เก้าครั้ง

คารวะเก้าครั้งมีเพียงนายกองและสวี่เท่านั้นที่กระทำด้วยกัน ผู้บำเพ็ญทั้งหลายรอบลานพิธีเต๋า ทำได้เพียงก้มศีรษะอย่างเคร่งขรึม ไม่มีคุณสมบัติคารวะกับสวี่ชิง

หลังจากคารวะเก้าครั้ง สวี่ชิงก็ก้าวขึ้นไป นายกองสะบัดมือถ้วยชาสีม่วงใบหนึ่งก็ปรากฏขึ้นในมือ แล้วยื่นไปให้สวี่ชิง

สวี่ชิงสูดลมหายใจลึก ก้าวเข้าไปในตำหนักแสงสีม่วง

“คารวะชาเพ่งพินิจ!”

สวี่ชิงก้มศีรษะ เดินไปสามก้าว สองมือประคองถ้วยชา ยกขึ้นสูงคารวะ

แทบจะในเสี้ยวพริบตาเดียวกับที่เขายกถ้วยชาขึ้น ท้องฟ้าโลกภายนอกก็พลันมีลมพัดกรรโชก มองเห็นปราณกระบี่ท่วมฟ้ามากมาย มาพร้อมด้วยสีเลือดมืดฟ้ามัวดิน คล้ายมีมือยักษ์สีเลือดปิดท้องฟ้า ประชิดสำนักเจ็ดเนตรโลหิตทางนี้เสียงดังสนั่นหวั่นไหว

สำนักกระบี่เมฆาจรดฟ้า มุ่งมาไล่บี้เอาผิด!

ยิ่งมีเสียงที่แฝงด้วยจิตสังหารมหาศาล ดังมาจากในทะเลเลือดปราณกระบี่ที่มีรัศมีอำนาจท่วมท้นดังก้องมาจากทั่วสารทิศ แผ่ไปในพื้นที่ทุกชุ่นทั่วสำนักเจ็ดเนตรโลหิต

“เสี่ยเลี่ยนจื่อ ส่งสวี่ชิง นักโทษชั้นต่ำของสำนักเจ้ามาให้ข้า!”

ผู้กล้าเหนือกาลเวลา

ผู้กล้าเหนือกาลเวลา

Status: Ongoing
เมื่อเขากลายเป็นผู้รอดชีวิตเพียงคนเดียวในเมืองที่ถูกพลังของเทพเจ้าทำลายล้าง…รายละเอียดกำลังภายใน-เทพเขียนเรื่องใหม่จากนักเขียนชื่อดัง ‘เอ่อร์เกิน’ ผู้เขียน ‘หนึ่งความคิดนิจนิรันดร์’ ‘สู่วิถีสุรา’ ฟื้นลิขิตฟ้าข้าขอเป็นเขียน’ ‘หนึ่งฝ่ามือสยบโลกา’ เมื่อเทพเจ้าลืมตาจับจ้องมา โลกก็เกิดการเปลี่ยนแปลง ไอพลังประหลาดกระจัดกระจายไปทั้งโลกมนุษย์ เกิดการกลายพันธุ์ต่อสรรพชีวิตบนโลก ‘สวี่ชิง’ เด็กหนุ่มผู้รอดชีวิตใช้ชีวิตเพียงลำพัง ดิ้นรนเอาตัวรอดจากอสูรร้ายและไอพลังประหลาดได้พบกับพลังวิเศษ แต่ในโลกกลียุคเช่นนี้ ปลาใหญ่กินปลาเล็ก ผู้แข็งแกร่งเท่านั้นจึงจะมีชีวิตรอด เพื่อที่จะแก้แค้นให้กับคนที่รัก เพื่อตามหาครอบครัวที่อาจจะมีชีวิตอยู่ที่ใดสักแห่ง เขาจะต้องแข็งแกร่งขึ้นให้ได้ . . . เขาต้องรอด!!!

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท