บทที่ 261 เขามาแล้ว
สวี่ชิงทะยานฝุ่นตลบ กลางป่า ในแดนต้องห้ามปักษาราชัน แสดงขีดจำกัดในปัจจุบันของเขาออกมา เพียงแต่ในระหว่างนี้ ความรู้สึกเจ็บปวดทิ่มแทงรุนแรงไปทั่วร่าง
นั่นคือการกัดกร่อนกลิ่นอายของลูกกลอนพิษต้องห้าม ทำให้ร่างกายเขาเน่าเปื่อยทั้งภายในทั้งภายนอก แม้ภูมิคุ้มกันของเขาจะยกระดับห่างไกลกว่าแต่ก่อนแล้ว แต่ก่อนหน้านี้ถูกผนึกในโลกเลือดนานเกินไป
เวลานี้ รวมกับอาการบาดเจ็บสาหัสทั้งหน้าและหลังของเขา ทำให้ตะเกียงชีวิตสวี่ชิงริบหรี่แล้ว ร่างกายอ่อนแอขีดสุด
เคราะห์ดีที่การผสานของตะเกียงแห่งชีวิตทำให้ในร่างกายเขามีพลังไฟชีวิตห้าดวงแผดเผา สว่างจ้าอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน ระเบิดความน่าตกตะลึงให้แก่เขา กระทั่งแสงไฟยังแผ่ซ่านจากบาดแผลบนตัวทั่วร่าง เจิดจ้าไปทั่วสารทิศ
มองไกลๆ ทั้งตัวสวี่ชิงราวกับเป็นมนุษย์เพลิง ขณะที่ดูน่าสยดสยอง เจ้าเงาก็เผยเนตรเงาออกมาขณะที่สวี่ชิงทะยานไปเบื้องหน้า ขณะที่มองไปที่สวี่ชิงด้วยความอยากรู้อยากเห็น แสงม่วงวูบหนึ่งครืนครันขึ้นมาจากในร่างกาย ก่อเป็นพลังสะกดไปที่ตัวเจ้าเงา
เจ้าเงากรีดร้องแหลม รีบร้อนประจบเอาใจ
“ต่อให้ข้าจะบาดเจ็บเช่นนี้ แต่พลังสะกดเจ้าให้ตายก็ยังมีอยู่ ยิ่งไปกว่านั้น…จงหวงแหนความดีความชอบของเจ้าเสีย” สวี่ชิงเอ่ยเย็นชา เจ้าเงารีบร้อนเผยคลื่นอารมณ์เชื่อฟังออกมาทันที
ความจริงก่อนหน้านี้มันก็มองสวี่ชิงที่บาดเจ็บหนักแล้วเกิดความคิดชั่วร้ายขึ้นมาจริงๆ แต่มันถูกสวี่ชิงสะกดจนกลัวไปหมดแล้ว เช่นเดียวกับตอนที่สวี่ชิงสู้กับเซิ่งอวิ๋นผู้ปราดเปรื่องที่มันไม่กล้าจะไม่เชื่อฟังคำสั่งเข้าไปอุดช่องเวทของอีกฝ่าย
แต่อันที่จริงนี่ก็ไม่ใช่นิสัยมัน ทั้งหมดนี้เป็นเพราะมันกลัวสวี่ชิง
ความกลัวนี้ถึงจะเป็นส่วนสำคัญในการควบคุมเจ้าเงาของสวี่ชิง ดังนั้นมันจึงไม่กล้าเปิดเผยความคิดชั่วร้ายเมื่อครู่นี้ออกมา แต่ซ่อนเอาไว้ในความอยากรู้อยากเห็นแทน
แต่ก็คิดไม่ถึงว่าสวี่ชิงจะยังสังเกตเห็นอีก
ส่วนบรรพจารย์สำนักวัชระเวลานี้ก็ดูรู้ความอย่างมาก ติดตามอยู่ข้างกายสวี่ชิงอย่างนอบน้อมเหลือประมาณ สวี่ชิงกวาดตามอง พยักหน้าเล็กน้อย จากนั้นก็ควบคุมเจ้าเงาไปคลุมตะเกียงแห่งชีวิตทั้งสองของตน ทำให้เปลวไฟของตนเองไม่แผ่สู่ภายนอก
จากนั้นเขาก็มองไปด้านหลังด้วยสีหน้าเย็นชา เขาสัมผัสได้ถึงร่างทั้งสามด้านหลังที่ไล่ตามตนเองเข้ามาเหมือนไขในกระดูก
“ถ้าหากตอนนี้ข้าอยู่ในสภาพปกติก็จะหันไปสู้เสียหน่อย!”
สวี่ชิงก้มหน้า ฝืนอาการบาดเจ็บของร่างกายร่วมถึงอาการมึนงงจากความอ่อนล้า กัดปลายลิ้น ใช้ความเจ็บปวดนี้คงสติไว้ รักษาความเร็ว พุ่งหวีดหวิวไปเบื้องหน้า
เขาใช้พิษกับเซิ่งอวิ๋นผู้ปราดเปรื่องไปหมดแล้ว สวี่ชิงไม่สามารถออมมือได้ จำเป็นต้องทุ่มด้วยกำลังทั้งหมด แมลงสีดำก็เหลืออยู่แค่ส่วนที่กินวุ้นเซียนแล้วหลับไหลอยู่เท่านั้น ที่เหลืออยู่ในตัวของเซิ่งอวิ๋นผู้ปราดเปรื่อง
ตอนนี้ใกล้จะรุ่งสางแล้ว ขณะที่สวี่ชิงพุ่งทะยานก็กัดปลายลิ้นอีกครั้ง ทะยานไปในพริบตา
‘ต้องหาวิธีสลัดผู้คุ้มครองสามคนด้านหลังแล้วรีบหนีออกจากแดนต้องห้ามปักษาราชัน…
‘ท่าทีของเจ็ดเนตรโลหิตยากจะเข้าใจ ยังต้องคอยสังเกต
‘วิธีการที่ดีที่สุดไม่จำเป็นต้องออกจากแดนต้องห้ามปักษาราชันก็ได้ เอาชีวิตรอดที่นี่ก็ได้เช่นกัน’ ดวงตาสวี่ชิงเผยความครุ่นคิด แม้เรื่องนี้มีสิ่งที่ต้องจ่ายไม่น้อย แต่เมื่อคิดถึงตะเกียงแห่งชีวิตที่เขาได้รับมา ดวงตาสวี่ชิงก็เผยความเด็ดขาด
โลกาวินาศที่โหดร้ายนี้ เดิมทีก็ต้องทุ่มทั้งชีวิตแย่งชิงมา
คิดถึงตรงนี้ สวี่ชิงก็เปลี่ยนทิศทาง พุ่งตรงเข้าไปยังส่วนลึกของแดนต้องห้ามปักษาราชัน ขณะเดียวกันในสมองก็นึกถึงเสียงที่ดังมาจากส่วนลึกแดนต้องห้ามรวมถึงพลังที่สะเทือนฟ้าดินวูบนั้นในจังหวะวิกฤติเป็นตายก่อนหน้าขึ้นมา
“กลิ่นอายของมันทำให้ตราประทับบนตะเกียงเคลือบเจ็ดสีลบเลือนไป หรือว่าจงใจกัน” สวี่ชิงหรี่ตาลง เขาไม่คิดว่านี่เป็นเรื่องบังเอิญ มีความเป็นไปได้มากว่าจะเป็นอย่างหลัง
“เหตุใดจึงเป็นเช่นนี้” สวี่ชิงคิดไม่ตก แต่ความเร็วก็ไม่ได้ลดลงแม้แต่น้อย ขณะเดียวกันกับที่พุ่งไปเบื้องหน้าก็ยกมือขึ้นคว้า ทันใดนั้นหญ้าสมุนไพรหลายกอข้างทางก็ถูกเขาเด็ดดึงมาแล้วกลืนลงไป
ไม่ใช่ครั้งแรกที่เขาทำเช่นนี้ อันที่จริงทุกครั้งที่เห็นหญ้าสมุนไพรขณะที่กำลังหลบหนีตลอดทาง เขาก็จะทำเช่นนี้ ไม่ว่าจะมีผลมากหรือน้อย ก็มีส่วนช่วยบรรเทาอาการบาดเจ็บ
เพียงแต่หญ้าสมุนไพรที่ยังไม่ผ่านการกรรมวิธี สรรพคุณทางยาก็ยากจะสำแดงได้อย่างหมดจด แต่ก็ดีกว่าไม่ทำอะไร นอกจากนี้สวี่ชิงสำรวจถุงเก็บของ ด้านในยังมีลูกกลอนดำอยู่เล็กน้อย
‘ลูกกลอนดำใช้งานในช่วงกลางคืนที่ไอพลังประหลาดเข้มข้นถึงจะให้ผลดีกว่า’
แม้ตอนนี้จะยังวิกฤต แต่สวี่ชิงก็สูดลมหายใจลึก ทำให้ตนเองสงบใจ เขาคำนวณเวลา หากคิดจะฟื้นฟูร่างกายให้สมบูรณ์ท่าทางจะต้องใช้เวลาถึงห้าวัน
‘ห้าวัน…ยังต้องพิจารณาถึงการตอบโต้ของสำนักกระบี่เมฆาจรดฟ้าด้วย ดังนั้นห้าวันนานเกินไป อย่างมากสุดคือสองวัน ข้าจำเป็นต้องเข้าไปในส่วนลึกของแดนต้องห้ามปักษาราชัน ยิ่งไปกว่านั้นต้องสลัดทั้งสามคนด้านหลังทิ้งด้วย’ สวี่ชิงร่างกายโยกไหว เหยียบบนยอดไม้ยอดหนึ่ง สัมผัสถึงสายลมที่อยู่รอบๆ
‘คงต้องใช้งานลูกกลอนพิษต้องห้ามต่อไปเท่านั้น!’
สวี่ชิงสัมผัสถึงอาการบาดเจ็บบนตัวครู่หนึ่ง ขณะที่ลอบถอนหายใจ ดวงตาก็มีความโหดเหี้ยม หยิบกล่องปรารถนาออกมาอีกครั้ง เปิดออกมา ระเบิดความเร็วทั้งหมด ใช้พลังลมกระจายกลิ่นอายลูกกลอนพิษไปด้านหลัง
ในป่าด้านหลังเขาตอนนี้ ผู้คุ้มครองของเซิ่งอวิ๋นผู้ปราดเปรื่องทั้งสามคนไล่ตามมาด้วยสีหน้าเคร่งขรึม จิตสังหารในใจพวกเขารุนแรงมาก เพราะคำพูดของบรรพจารย์หลิงอวิ๋นลั่นไว้ชัดเจน ถ้าสวี่ชิงไม่ตาย พวกเขาทั้งสามคนก็ต้องตาย
ระหว่างที่พวกเขาไล่ตาม จิตสังหารจึงเข้มข้น ขณะเดียวกันพวกเขาก็กำลังใจสั่นสะท้านกับเรื่องที่เซิ่งอวิ๋นผู้ปราดเปรื่องพ่ายแพ้สวี่ชิง ถูกชิงตะเกียงแห่งชีวิตไป สิ่งนี้ทำให้ตอนนี้พวกเขารู้สึกว่าไม่น่าเป็นไปได้
และความรู้สึกนี้ ทำให้ระหว่างที่พวกเขาไล่ตามก็ระมัดระวังมากยิ่งขึ้น กระทั่งขณะพุ่งทะยานก็ล้วงของวิเศษคุ้มกันออกมา และยังใช้วิชาวายุโบกแผ่ไปรอบทิศ
“เจ้าเด็กนี่ถนัดใช้พิษ พวกเราต้องระวังตัวหน่อย!”
“ถูกต้อง เจ้าเด็กนี่จะต้องร้ายกาจมากแน่ ห้ามประมาทเด็ดขาด” ทั้งสามคนมองหน้ากัน เลือกไม่แยกกลุ่ม แต่อยู่ด้วยกันแทน
พวกเขาไม่โง่ ต่อให้สวี่ชิงจะบาดเจ็บหนัก แต่คนที่เล่นงานจนเซิ่งอวิ๋นผู้ปราดเปรื่องเกือบตายได้ ต่อให้จะบาดเจ็บสักเพียงใดพวกเขาก็ต้องต่อกรอย่างระมัดระวัง ต่อให้จะร้อนรนเพียงใดก็ห้ามสับสน
จุดนี้ สวี่ชิงที่กำลังหลบหนีอยู่ข้างหน้าสังเกตเห็นแล้ว ขณะที่ลอบถอนหายใจ ดวงตาก็เกิดประกาย
หากทั้งสามคนนี้แยกกัน เขาก็คิดจะซุ่มโจมตีเด็ดหัวทีละคนเพื่อกลืนกินรักษาอาการบาดเจ็บ
หากไม่แยกกัน กลิ่นอายลูกกลอนพิษต้องห้ามของเขาก็สามารถซ่านกำจายได้ตรงจุดยิ่งขึ้น ต่อให้ทั้งสามคนจะใช้วิชาวายุอยู่ตลอด แต่ขอแค่ประมาท ลูกกลอนพิษต้องห้ามของตนเองก็จะเกิดผล
สองมือเตรียมพร้อม เขามีแผนการหมดแล้ว ตอนนี้ก้มหน้ามองฝ่ามือที่ค่อยๆ มีเลือดเนื้อฟื้นฟูขึ้นมา เขาก็ก้มหน้าโน้มตัว พุ่งทะยานไปเบื้องหน้าอีกครั้ง
สีท้องฟ้าค่อยๆ สว่างขึ้น ขณะผู้อาวุโสแก่นลมปราณทั้งสามคนไล่กวดด้านหลังสวี่ชิง มีคนหนึ่งกวาดตามอง หน้าเปลี่ยนสีไปฉับพลัน เขาสังเกตเห็นใบหน้าของสหายเต๋าข้างๆ มีส่วนเน่าเปื่อย
“หน้าเจ้า!”
คนผู้นั้นตกตะลึง ยกมือขึ้นลูบ หน้าก็เปลี่ยนสีไปเช่นกัน ตอนนี้เองอีกสองคนที่เหลือก็สำรวจทันที เมื่อไม่เห็นว่าตนเองมีเค้าลางติดพิษ จึงผ่อนใจโล่ง แต่ในใจกลับยิ่งระแวดระวังขึ้นไปอีก
“สมควรตาย!” ดวงตาผู้บำเพ็ญที่ติดพิษคนนั้นเกิดประกายเย็นเยือก สำแดงวิชาสะกด แต่ผลลัพธ์กลับน้อยนิด ทางเลือกสุดท้ายจึงเหมือนกับเซิ่งอวิ๋นผู้ปราดเปรื่อง ล้วงยาลูกกลอนชดเชยพลังชีวิตออกมาคลายการลุกลามของพิษนี้
“ไม่ควรเป็นเช่นนี้สิ พิษที่ข้าติดนี่ประหลาดมาก ยากจะสะกด พวกเราที่ระมัดระวังขนาดนี้กลับยังติดกับเขาอีก!”
“ถ้ารับพิษเรื่อยๆ ทีละน้อยโดยไม่ระวังเช่นนี้ต่อไป พวกเราคงได้เรือล่มกลางบ่อเป็นแน่!” คนที่ติดพิษรีบร้อนเอ่ย สองคนที่เหลือเองก็มีแววตาเด็ดขาด
“ต้องรีบสู้รีบจบเสียแล้ว!”
ทั้งสามคนมองหน้ากัน ขบเขี้ยวเคี้ยวฟัน แต่ละคนสำแดงวิชาออกมาในพริบตา ระเบิดความเร็วครืนครันทันที เร็วยิ่งกว่าตอนแรกถึงสามเท่า กลายเป็นสายรุ้งยาวสามสาย เพิ่มความเร็วขึ้นพุ่งทะยานไปเบื้องหน้า
สวี่ชิงที่อยู่ข้างหน้าสังเกตเห็นแล้ว ดวงตาเปล่งประกายเย็นเยียบ
เขายังมีอีกหนึ่งไม้ตายสุดท้าย นั่นคือคิดหาวิธีกระตุ้นลูกกลอนพิษต้องห้าม กระตุ้นให้ระดับพลังยาลูกกลอนนี้เพิ่มขึ้นสูงสุด จนสร้างผืนดินทำลายล้างขึ้นมา
ส่วนความยากในการกระตุ้น แม้สวี่ชิงจะรู้สึกว่าตนเองอาจทำให้สมบูรณ์แบบไม่ได้ แต่การใช้งานวิหคทองหลอมหมื่นวิญญาณรวมถึงพลังของตะเกียงแห่งชีวิต ต่อให้ไม่สามารถกระตุ้นได้อย่างสมบูรณ์ แต่กระตุ้นได้เพียงเล็กน้อยจะต้องน่ากลัวอย่างมากเป็นแน่
เขาเชื่อว่าหลังจากทำเช่นนี้ คนไล่ตามสามคนด้านหลังไม่มีทางมีชีวิตรอดในผืนดินแห่งการทำลายล้าง
“จะเดิมพันดีหรือไม่นะ…”
ไม้ตายนี้โดนพื้นฐานคือการตายตกไปตามกัน สิ่งที่สวี่ชิงขบคิดคือโอกาสรอดชีวิตของตนมีมากเพียงใด
“หนีต่อแล้วกัน!” สวี่ชิงก้มหน้า ขณะที่คิดจะหลบหนีต่อ แต่ครั้งนี้เขาก้าวไปเพียงไม่กี่ก้าว สวี่ชิงก็ชะงักฝีเท้า ม่านตาหดลง จ้องไปเบื้องหน้าเขม็ง
เบื้องหน้าเขา มีเงาร่างหนึ่งเดินออกมาจากในป่า
เป็นชายชราคนหนึ่ง
สวมชุดคลุมยาวสีม่วง แม้ใบหน้าจะมีริ้วรอย แต่ดวงตากลับสุกใส เปี่ยมไปด้วยความสง่างาม
เขายืนอยู่ตรงนั่น ร่างของเขาไม่ได้กลืนไปกับความมืดในป่าแดนต้องห้าม รูปลักษณ์ภายนอกบิดเบี้ยว ทำให้แสงที่ตกกระทบเหมือนรวมเข้าไปกับตัวเขาด้วย
ในมือเขากำลังคลึงตัวหมากสีดำตัวหนึ่งเล่น ตอนที่มองสวี่ชิง สายตาก็กวาดมองร่างกายที่ไม่ครบสามสิบสองของสวี่ชิง
“เก็บพิษไปเถอะ”
สวี่ชิงก้มหน้า เก็บพิษของตนเอง ในใจยังคงระแวดระวังอยู่ แต่เขารู้ว่าเผชิญหน้ากับคนผู้นี้ ไม่ว่าจะด้านพลังหรือสถานะก็ทำได้แค่เชื่อฟัง
ชายชราตรงหน้า ก็คือเจ้ายอดเขาลำดับเจ็ดสำนักเจ็ดเนตรโลหิต นายท่านเจ็ดนั่นเอง
แต่สวี่ชิงยังคงระแวงอยู่ แม้จะเก็บกล่องปรารถนาไปแล้ว แต่กลับทิ้งพลังเวทไว้ด้านใน เพื่อใช้กระตุ้นในกรณีที่เจอกับสถานการณ์รุนแรง
แทบจะขณะที่สวี่ชิงเก็บพิษ ร่างของนายท่านเจ็ดก็เลือนราง ตอนที่ปรากฏตัวด้านหลังสวี่ชิง มองไปทางป่า และตอนนี้ผู้บำเพ็ญแก่นลมปราณทั้งสามคนก็ระเบิดความเร็วพุ่งมาในพริบตาจากในป่า
เพียงแต่เสี้ยวขณะที่พุ่งมา สีหน้าทั้งสามคนก็เปลี่ยนไปฉับพลัน หยุดลงกะทันหัน ขณะลมหายใจหอบถี่ ทั้งสามคนสีหน้าตึงเครียด ถอยหลังตามสัญชาตญาณ
ถ้าหากเป็นในสำนักเจ็ดเนตรโลหิต พวกเขาคงไม่เป็นเช่นนี้ เพราะพวกเขามั่นใจว่าเจ็ดเนตรโลหิตไม่กล้าลงมือต่อหน้าธารกำนัลแน่นอน แต่พวกเขาทั้งสามไม่กล้าเดิมพันในแดนต้องห้าม
เวลานี้ทั้งสามคนลังเล แก่นลมปราณคนตรงกลางก็ประสานหมัดก้มหน้าเอ่ยขึ้น
“คารวะเจ้ายอดเขาลำดับเจ็ด
“คนผู้นี้ก่อหายนะใหญ่ ทำร้ายอัจฉริยะฟ้าประทานสำนักกระบี่เมฆาจรดฟ้าของข้า แย่งชิงตะเกียงแห่งชีวิตสำนัก ข้าได้รับคำสั่งจากบรรพจารย์หลิงอวิ๋นให้มาจับกุมตัวเขา นายท่านเจ็ดโปรดเข้าใจด้วย”
นายท่านเจ็ดมองทั้งสามคนเงียบๆ โบกมือ
พลังยิ่งใหญ่สะเทือนฟ้าที่ยากจะพรรณนาวูบหนึ่งระเบิดขึ้นกะทันหันจากความว่างเปล่าในพริบตา และกลายเป็นปากขนาดใหญ่เหนือศีรษะคนทั้งสาม พริบตาที่แก่นลมปราณทั้งสามคนหน้าเปลี่ยนสี ปากใหญ่นี้ก็งับลงมาทันควัน จัดการกลืนกินคนทั้งสามไปในคำเดียว!
เสียงเคี้ยวกำลังสะท้อนก้องในป่าที่เงียบสงัด เผยความโหดเหี้ยมออกมา
สวี่ชิงสั่นสะท้าน มองฉากตรงหน้านี้ จากนั้นก็มองไปทางนายท่านเจ็ด ตอนที่อ้าปากก็ไม่รู้ควรจะพูดอะไร นายท่านเจ็ดมือไพล่หลังเดินไปไกล และมีเสียงลอยแว่วว่า
“ยังตะลึงอะไรอยู่อีก กลับได้แล้ว ข้ายังเล่นหมากล้อมไม่เสร็จนะ”