บทที่ 262 เรื่องราวในอดีตของรัฐม่วงคราม
สวี่ชิงอึ้งตะลึงไปเล็กน้อย
เขาเดินตามนายท่านเจ็ดไปในป่า
ทั้งๆ ที่นายท่านเจ็ดบอกว่ามีหมากล้อมที่ยังเล่นไม่จบ แต่ระหว่างทางกลับกลับไม่รีบไม่ร้อน เดินอยู่ข้างหน้าอย่างสบายๆ เป็นอิสระ
แต่ว่าทุกก้าวที่ก้าวออกไปล้วนยาวไกล ทำให้สวี่ชิงถูกเหนี่ยวนำทะลุผ่านไปในป่าผืนนี้ด้วย
สวี่ชิงมองเงาแผ่นหลังของนายท่านเจ็ด ในหัวมีภาพที่อีกฝ่ายสะบัดมือ ผู้คุ้มครองระดับแก่นลมปราณสำนักกระบี่เมฆาจรดฟ้านั้นก็ตายทันทีผุดขึ้นมา ทุกอย่างนี้ทำให้เขารู้สึกว่าไม่ค่อยเหมือนเรื่องจริง
จึงทำได้เพียงเงียบนิ่ง
“เรื่องปรมาจารย์ไป่เจ้าทำได้ดีมาก” หลังจากนั้นครู่หนึ่ง นายท่านเจ็ดที่อยู่ข้างหน้าก็ส่งเสียงราบเรียบ
“เป็นสิ่งที่ข้าควรทำอยู่แล้วขอรับ” สวี่ชิงตอบเสียงต่ำทุ้ม
“เรื่องที่เผ่าสิงซากสมุทรเจ้าก็ทำได้ไม่เลวเหมือนกัน”
“เป็นนาย…เป็นฝีมือขององค์ชายใหญ่ขอรับ” สวี่ชิงลังเลเล็กน้อย
“เรื่องกลุ่มนกเขาราตรีก็ทำได้ใช้ได้”
“ทำสุดความสามารถเท่านั้น” สวี่ชิงก้มหน้า
“แต่เรื่องเซิ่งอวิ๋นผู้ปราดเปรื่องเจ้าบุ่มบ่ามไปแล้ว” ในตอนที่นายท่านเจ็ดพูดประโยคนี้ออกมา ข้างหน้าก็มีเมืองร้างแห่งหนึ่งปรากฏขึ้นรางเลือน เป็นเมืองที่สวี่ชิงและเซิ่งอวิ๋นผู้ปราดเปรื่องสู้กันนั่นเอง
สวี่ชิงไม่พูดอะไร
“เจ้าควรเรียกเจ้าใหญ่ เจ้าสอง เจ้าสามมาช่วยกันฆ่ามัน แบบนี้เจ้าก็ไม่ต้องบาดเจ็บสาหัสขนาดนี้แล้ว” น้ำเสียงของนายท่านเจ็ดไม่ค่อยพอใจสักเท่าไร
สวี่ชิงเงียบนิ่งไปครู่หนึ่ง เขารู้สึกว่านายท่านเจ็ดพูดมามีเหตุผล จึงพยักหน้า
เห็นสวี่ชิงเชื่อฟังเป็นเด็กดีขนาดนี้ นายท่านเจ็ดมีความสุขมาก หันมามองสวี่ชิง ในดวงตาฉายความชื่นชม
“เข้ามาใกล้หน่อย ไม่ใช่ว่าเจ้าไม่กลัวฟ้าไม่กลัวดินหรอกหรือ ห่างกับข้าขนาดนั้นเชียว”
สวี่ชิงลังเล เข้าไปใกล้ช้าๆ มายืนอยู่ข้างนายท่านเจ็ด
นายท่านเจ็ดมองส่วนสูงของสวี่ชิง ในดวงตามีแววย้อนความหลังเล็กน้อย ในสมองมีภาพที่ฐานที่มั่นคนเก็บกวาด เงาผอมแห้งที่หลังจากได้ชุดใหม่ ก็หลบหลีกบริเวณที่เป็นดินโคลนสกปรกบนพื้นอย่างละมัดระวังปรากฏขึ้น แล้วหัวเราะขึ้นมา
“สูงกว่าตอนนั้นแล้ว”
สวี่ชิงพลันเงยหน้าขึ้นมา ในใจมีคำตอบเลาๆ แล้ว
นายท่านเจ็ดไม่ได้พูดเรื่องนี้ต่อ แต่พาสวี่ชิงเดินเข้าไปในเมืองร้าง สวี่ชิงไม่ได้ซักถาม เดินตามไปอย่างเงียบๆ
มองไกลๆ คนแก่หนึ่งคน เด็กหนุ่มหนึ่งคน เดินอยู่ในที่รกร้างว่างเปล่าแห่งนี้ แสงอาทิตย์ยามพลบค่ำที่นี่ทำให้พวกเขาเหมือนเดินไปในห้วงแห่งกาลเวลา
“ที่นี่คือเมืองโบราณประจักษ์พยานให้กับประวัติศาสตร์ และฝังกลบอยู่ในประวัติศาสตร์”
เสียงของนายท่านเจ็ดดังสะท้อนอยู่ในเมืองโบราณแห่งนี้ แว่วๆ รางเลือน เหมือนขลุ่ยเชียงที่อยู่ไกลโพ้น
สวี่ชิงมองไปทางนายท่านเจ็ด รอคำพูดต่อไป
“ในตำนานเมืองนี้คือเมืองจวนรัชทายาทรัฐม่วงครามที่ยอดเยี่ยมสะท้านฟ้า ได้รับการขนานนามว่าเป็นบุคคลโดดเด่นเลิศล้ำอันดับหนึ่งของเผ่ามนุษย์หลังจากเสี้ยวหน้าเทพเจ้ามาเยือน
“ว่ากันว่ารัชทายาทรัฐม่วงครามคนนั้นเป็นผู้มีพรสวรรค์เยี่ยมยุทธ์อย่างแท้จริง มีมรดกสายเลือดของจักรพรรดิโบราณและเจ้าเหนือหัว สะกดไปหนึ่งยุค
“ยังมีคนบอกว่า เขาเกิดขึ้นจากชะตาของเผ่ามนุษย์ ในตอนที่เขาถือกำเนิดขึ้นมาฟ้าเกิดปรากฏการณ์มงคล แปรเปลี่ยนเป็นมังกรทองเก้าตัว คอยอยู่เคียงข้างชั่วชีวิต
“แล้วก็มีคนบอกว่าเขาคือการเอาตัวรอดครั้งหนึ่งของแผ่นดินใหญ่ต้องประสงค์ โลกกว้างใหญ่ไพศาลแห่งนี้ หลอมรวมพลังโลกใบหนึ่งเพียงเพื่อให้เขาลงมาเยือนใต้หล้า
“มีตำราประวัติศาสตร์บันทึกไว้ว่า ในเสี้ยวพริบตาที่เขาถือกำเนิด พื้นที่ต้องห้ามทุกแห่งในแผ่นดินใหญ่ต้องประสงค์ต่างส่งเสียงคร่ำครวญ มีเลือดสิ่งประหลาดไหลรินเข้าไปในพื้นที่ต้องห้ามแต่ละแห่ง
“แล้วก็มีคนบอกว่า ชั่วชีวิตเขาผ่านการลืมตาขึ้นของเทพเจ้าห้าครั้งแต่ไม่ตาย ได้รับคำอวยพรจากเทพเจ้า
“แม้แต่แดนศักดิ์สิทธิ์ยังแตกตื่น เดินทางมาทาบทามหลายครั้ง แต่เขาปฏิเสธไปทุกครั้ง
“ทว่า เผ่ามนุษย์ที่เก่งกาจเลิศล้ำถึงเพียงนี้ สุดท้ายกลับรบจนตัวตายอยู่บนแผ่นดินรัฐม่วงคราม เล่ากันว่าหมื่นเผ่าที่เข้าร่วมและโจมตีสังหารในตอนนั้นล้วนแต่เป็นบุคคลที่น่าตื่นตะลึงทั้งนั้น”
สวี่ชิงฟังถึงตรงนี้ จิตใจก็เกิดระลอกคลื่นอารมณ์ขึ้นมา เขารู้สึกว่าเรื่องนี้แตกต่างไปจากรัฐม่วงครามที่ตัวเองรู้มาเล็กน้อย สิ่งที่เขารับรู้คือแปดตระกูลทรยศก่อกบฏ ทำให้สายเลือดเชื้อพระวงศ์ถูกเลี้ยงเอาไว้และแย่งชิงทุกสิ่ง รัฐม่วงครามจึงหายไป เกิดเป็นแปดตระกูลแห่งผืนอินทนิล
สังเกตเห็นสีหน้าของสวี่ชิง นายท่านเจ็ดก็ยิ้มออกมา
“เรื่องที่ข้าพูดไม่ใช่รัฐม่วงครามที่ทวีปปักษาสวรรค์ทักษิณ แต่เป็นรัฐม่วงครามที่ถูกแอบซ่อนอยู่ในประวัติศาสตร์ รัฐที่หลังจากยุคสมัยแห่งความมืดแล้วอาจจะรวมแผ่นดินใหญ่ต้องประสงค์ให้เป็นหนึ่งได้จริงๆ น่าเสียดายที่คนที่รู้เรื่องในตอนนี้มีน้อยนัก หมื่นเผ่าซึ่งรวมเผ่ามนุษย์ด้วยนั้น บ้างก็ถูกลบไปทั้งจากความตั้งใจของตัวเองและถูกผู้อื่นกระทำ ไม่มีใครกล่าวถึงอีก
“ส่วนแปดตระกูลแห่งผืนอินทนิล รัฐที่พวกเขาทำลายไปเป็นเพียงแค่สายเลือดหลงเหลือที่อ่อนแอจนดูไม่ได้ อีกทั้งยังผ่านไปหลายพันปีของรัฐม่วงคราม พอจะรวมเป็นรัฐเล็กๆ ได้ก็เท่านั้น”
สวี่ชิงสูดลมหายใจลึก
“แต่พูดแล้วก็บังเอิญนัก รัชทายาทผู้เลิศล้ำเก่งกาจของรัฐม่วงครามในตอนนั้นรบตายอยู่บนทวีปปักษาสวรรค์ทักษิณนี่แหละ บริเวณที่เขาตายหลังจากนั้นเนิ่นนานหลายปี มีเมืองเล็กๆ เมืองหนึ่ง เมืองแห่งนั้นเมื่อสิบเอ็ดปีก่อนเทพเจ้าได้ลืมตามองจนทั้งเมืองหายสิ้น
“มีคนบอกว่านั่นเป็นคำสาปของเขา
“ทว่า ยังมีอีกตำนานหนึ่งเกี่ยวกับรัชทายาทรัฐม่วงครามคนนี้ เล่ากันว่าคนคนนี้นิสัยเย็นชา จิตใจชั่วร้ายแปลกประหลาด ไม่ใช่คนดีอะไร!”
สวี่ชิงเงียบนิ่ง หลุบตาลง ไม่พูดอะไร
ไม่นานนัก พวกเขาอยู่ในที่รกร้างก็มาถึงหน้าศาลเจ้า ที่นี่เละแหลกราญ ทุกหนแห่งล้วนเป็นร่องรอยหลงเหลือจากการต่อสู้อันดุเดือด มองที่นี่แล้วสวี่ชิงก็หันไปมองนายท่านเจ็ด
“ไม่ใช่ว่ามีคนบอกว่าเจ้าขาดเคล็ดวิชาพลังวิเศษอะไรหรอกหรือ ไปรับรู้เสียสิ เร็วหน่อย ข้ายังต้องกลับไปเล่นหมากล้อมอีก” นายท่านเจ็ดเคาะศีรษะสวี่ชิง
สวี่ชิงใจกระตุกวูบ ประโยคนี้เป็นสิ่งที่เซิ่งอวิ๋นผู้ปราดเปรื่องพูดกับเขาในตอนที่สู้กัน
สวี่ชิงจึงมองนายท่านเจ็ดแวบหนึ่ง พยักหน้าแล้วเดินเข้าไปในศาลเจ้า มองรูปสลักที่อยู่ในศาลเจ้า เขานั่งขัดสมาธิลง จ้องเพ่งอย่างเงียบงัน
หลังจากนั้นครู่หนึ่งเขาก็ลุกขึ้นมาอีกครั้ง มองมาทางนายท่านเจ็ดที่อยู่ข้างนอก
“มีอะไรหรือ” นายท่านเจ็ดถาม
“ตอนกลางวันตระหนักรู้ไม่ได้ ต้องมีแสงจันทร์ขอรับ” สวี่ชิงลังเลเล็กน้อย เอ่ยตามจริง
นายท่านเจ็ดพึมพำประโยคที่สวี่ชิงฟังไม่ถนัด จากนั้นก็สะบัดมือ ทันใดนั้นท้องฟ้าเหนือศาลเจ้าก็เกิดเมฆหมอกตลบอวลทันที เพียงพริบตาเมฆดำก็รายล้อม บดบังแสงอาทิตย์ ปกคลุมทั่วทุกสารทิศ ทำให้พื้นที่แห่งนี้ที่มีศาลเจ้าเป็นศูนย์กลางมืดมิด
ยิ่งไปกว่านั้น ในความมืดมิดนี้ ในเมฆดำมีกระจกบานหนึ่งปรากฏขึ้น ในกระจกบานนี้มีแสงจันทร์ส่องออกมา จากการหมุนของหน้ากระจก แสงจันทร์กลุ่มหนึ่งก็ฉายลงมา สาดทอไปที่ศาลเจ้า ตกกระทบไปที่เทวรูปสลัก
เสี้ยวพริบตาต่อมา เงาดาบก็ก่อขึ้นรอบๆ เทวรูปสลัก
สวี่ชิงความคิดถาโถม เขามองนายท่านเจ็ดพลางสูดลมหายใจยาว
เขาเคยเห็นนายท่านหกลงมือ แต่ภาพที่เพียงสะบัดมือก็เหมือนสับเปลี่ยนดวงตะวันกับจันทราแบบนี้ เขารู้สึกว่านายท่านหกทำไม่ได้แน่นอน
นี่ทำให้สวี่ชิงคิดถึงธรรมเนียมปฏิบัติของยอดเขาที่เจ็ด
‘นายท่านเจ็ดไม่ใช่ระดับปราณก่อกำเนิดแน่นอน!’ สวี่ชิงรู้ว่าโอกาสล้ำค่ามาก จึงเก็บความคิดลงไป พยายามสุดกำลัง จ้องเพ่งเงาดาบเทวรูปสลัก ที่เหนือศีรษะก็เริ่มมีภาพมายาดาบสวรรค์สีม่วงปรากฏขึ้นช้าๆ
เริ่มทำการตระหนักรู้
ในขณะที่เขาทำการรับรู้ นายท่านเจ็ดยืนอยู่นอกศาลเจ้า ทอดสายตามองสนามรบรอบๆ ปากก็บ่นพึมพำ
“เคล็ดวิชาพลังวิเศษน้อยไปนิดจริงๆ นั่นแหละ…ไอ้ที่ไม่เป็นแก่นเป็นสารก็ช่างเยอะเสียเหลือเกิน”
“ทางด้านวิชาต่อสู้แม้จะยังอ่อนหัด แต่ด้วยอายุของเขาก็ไม่เลวเลยทีเดียว”
เวลาไหลผ่านไปเช่นนี้เอง
เหนือทะเลต้องห้าม แสงกระบี่ท่วมฟ้า
ปราณกระบี่แต่ละทางพุ่งไปยังสำนักเจ็ดเนตรโลหิตอย่างเร็วรี่ บรรพจารย์หลิงอวิ๋นนำอยู่ข้างหน้าอย่างโมโหเดือดดาล จิตสังหารลอยเอ่อ ลูกศิษย์สำนักกระบี่เมฆาจรดฟ้าที่ตามอยู่ข้างหลังแต่ละคนล้วนเหี้ยมโหดวางอำนาจ เดินทางมาไล่บี้เอาผิด
ในแดนต้องห้ามปักษาราชันเงียบสงบทุกหนแห่ง
ราตรีมาเยือน
การรับรู้ของสวี่ชิงดำเนินอยู่ตลอด แสงจันทร์ที่นายท่านเจ็ดสำแดงออกมาท่ามกลางราตรีนี้ก็เจิดจ้ากว่าเดิม ทำให้เงาดาบที่ปรากฏขึ้นมามากกว่าแต่ก่อนไม่น้อย อีกทั้งในสายตาของสวี่ชิงยิ่งชัดมากกว่าเดิม
ความเร็วในการตระหนักรู้ของเขาก็น่าตกใจอย่างเห็นได้ชัด เงาดาบสีม่วงเหนือศีรษะก่อร่างอย่างรวดเร็ว จากหนึ่งส่วนเมื่อก่อนหน้านี้ก็มาถึงห้าส่วน หกส่วน เจ็ดส่วน…
จนเมื่อราตรีหมุนผ่านไป เช้าตรู่มาเยือน ในเสี้ยวพริบตาที่แสงอาทิตย์ยามรุ่งอรุณขับไล่ราตรีมืด สวี่ชิงสะท้านเฮือกทั้งตัว กลิ่นอายเฉียบคมกลุ่มหนึ่งก็ปะทุออกมาจากร่างของเขา ระดับการก่อร่างของเงาดาบสีม่วงเหนือศีรษะมาถึงขั้นบริบูรณ์
ไม่เป็นภาพมายาอีกต่อไป แต่เป็นเหมือนดาบสวรรค์ที่แท้จริง แผ่ประกายคมน่าครั่นคร้ามออกมา
จากการรักษาหล่อเลี้ยงร่างกายเป็นเวลานานเช่นนี้ โดยเฉพาะแสงจันทร์ที่นายท่านเจ็ดสะบัดมือสำแดงออกมามีพลังฟื้นฟูอย่างเห็นได้ชัด ทำให้บาดแผลของสวี่ชิงตอนนี้ฟื้นฟูทั้งหมด
นิ้วที่เสียไปงอกออกมาโดยสมบูรณ์ กลิ่นอายทั้งตัวในเสี้ยวพริบตานี้ก็มาถึงระดับสูงสุดอย่างไม่เคยมีมาก่อน
ตอนนี้เขาลุกขึ้นยืน กำลังรบไฟชีวิตหกดวงสะท้านฟ้าทำให้ลมเมฆเปลี่ยนสี รอบๆ มีพายุก่อตัว รัศมีอำนาจมหาศาล
นายท่านเจ็ดมองแวบหนึ่ง ในดวงตาแฝงความพอใจ เอ่ยขึ้นอย่างช้าเนิบ
“คนนอกรู้กันหมดแล้ว เจ้าก็ไม่ต้องแอบซ่อนต่อหน้าข้า”
สวี่ชิงไม่พูดอะไร หลังจากเงียบนิ่ง เหนือศีรษะก็แผ่แสงเพลิงทางหนึ่ง และแสงเจ็ดสีทางหนึ่งออกมา
แสงเพลิงสีดำแปรเปลี่ยนเป็นเปลวไฟสีดำ ก่อตัวเป็นฉัตรสีดำ ปะทุสะเก็ดไฟสีดำโปรยปรายมา
แสงเจ็ดสีไหลวนออกมา ยิ่งมีเสียงลม แปรเปลี่ยนเป็นฉัตรเจ็ดสี ปะทุแสงพร่างพราวระยิบระยับ
ฉัตรสองคันพลันก่อตัวขึ้น
สาดส่องแสงไปทั่วสารทิศพร้อมกัน
ต่อให้รุ่งอรุณมีแสงสว่าง แต่สวี่ชิงก็ยังคงรู้สึกว่าในเสี้ยวพริบตานี้ ตัวเขาสว่างเจิดจ้ายิ่งกว่า รัศมีอำนาจท่วมท้น
“ไปเถอะ คำนวณเวลา พวกแขกก็น่าจะมากันแล้ว” นายท่านเจ็ดหัวเราะราบเรียบ เพียงสะบัดแขนเสื้อ มิติรอบๆ ก็เปลี่ยนไปทันที เหมือนมีเมฆหมอกทะลุผ่าน เงาฟ้าดินไหวเอนอยู่ข้างใน
สวี่ชิงมองทุกอย่างนี้ สัมผัสรับรู้ถึงพลังบำเพ็ญของนายท่านเจ็ดอีกครั้ง ในขณะที่ลมหายใจถี่กระชั้น รอบๆ ก็ฟื้นฟูกลับมา ไม่เป็นที่รกร้างแดนต้องห้ามปักษาราชันอีกต่อไป แต่มาถึงยังหอบนยอดเขาที่เจ็ดแล้ว
ลมทะเลพัดนำความชื้นที่คุ้นเคยมา
เสียงเอะอะโหวกเหวกจากเมืองหลักดังสะท้อนในเสียงลม เหมือนมีคนนับไม่ถ้วนกำลังซุบซิบวิพากษ์วิจารณ์ ภาพนี้ทำให้สวี่ชิงรู้สึกเหมือนเป็นภาพลวงตา โดยเฉพาะข้างหน้าเขานอกจากนายท่านเจ็ดแล้วยังมีเงาร่างที่คุ้นเคยอีกร่างหนึ่ง
อีกฝ่ายสวมชุุดคลุมยาวสีเทา หน้าตาประมาณกลางคน ใบหน้าแฝงด้วยรอยยิ้ม ลุกขึ้นมาจากกระดานหมากล้อม
คนคนนี้สวี่ชิงรู้จัก เป็นคนที่มอบป้ายฐานะให้เขาที่ฐานที่มั่นคนเก็บกวาดในตอนนั้นนั่นเอง
“นายท่านเจ็ด” ผู้ติดตามชุดเทาคารวะนายท่านเจ็ดก่อน จากนั้นก็พยักหน้าให้สวี่ชิง
“แขกมากันหมดหรือยัง” สายตานายท่านเจ็ดมองไปที่กระดานหมากล้อม
“ใกล้แล้วขอรับ” บ่าวติดตามเอ่ยอย่างเคารพนอบน้อม
“อืม พาเด็กน้อยไปอาบน้ำก่อน ออกไปทีก็ทำตัวเองสกปรกมอมแมม” นายท่านเจ็ดสะบัดแขนเสื้อ ระหว่างพูดก็เดินออกไปจากหอ
เด็กน้อยสองคำนี้ทำให้สวี่ชิงถอนสายตากลับมา และภาพเบื้องหน้าก็ทำให้การคาดเดาในใจของเขายิ่งกระจ่างชัด
“เด็กน้อย ข้าจะพาเจ้าไปอาบน้ำอาบท่า จากนี้ไม่ใช่แค่เรื่องใหญ่ของเจ้า แต่จะเป็นเรื่องใหญ่ของนายท่านเจ็ดเช่นกัน ยิ่งเป็นเรื่องใหญ่ของสำนักเจ็ดเนตรโลหิต” ผู้ติดตามเอ่ยขึ้นอย่างมีความนัยล้ำลึก ยื่นแผ่นหยกให้สวี่ชิงแผ่นหนึ่ง
“หลังอาบน้ำ ทันทีที่ก้าวออกจากตำหนัก เหยียบไปบนบันไดภูเขา เจ้าค่อยดูแผ่นหยกแผ่นนี้อีกครั้ง”
สวี่ชิงรับแผ่นหยกมา คล้ายครุ่นคิดอะไรแต่ก็ไม่ได้ถามซักไซ้ โค้งคารวะอย่างมีมารยาท เดินตามผู้ติดตามจากไป
หลังจากชำระล้างทำความสะอาดร่างกายทั่วทั้งร่างแล้ว เขาก็ถูกจัดให้เปลี่ยนชุดนักพรตชุดใหม่ ยิ่งมีหญิงรับใช้จำนวนหนึ่งมาถึงอย่างเคารพนอบน้อม พวกนางถือผงเครื่องหอมพิเศษบางอย่างเอาไว้แล้วโปรยไปรอบๆ
สวี่ชิงไม่ค่อยชิน แต่ก็ไม่ได้ปฏิเสธ
จนกระทั่งหญิงรับใช้จำนวนหนึ่งอยู่ข้างหลังเขา มุ่นมวยผมเขาขึ้น นายกองที่อยู่ข้างนอกก็โผล่หน้าเข้ามา กะพริบตาปริบๆ ให้สวี่ชิง
จากนั้นก็มีบ่าวรับใช้ประคองกวานสีม่วงอันหนึ่งเดินมา
กวานนี้ประกายแสงสาดส่องไปทั่ว งดงามเป็นอย่างยิ่ง พลังกดดันที่แผ่ออกมามีเงาอสูรวนเวียนอยู่ในนั้นรางๆ เมื่อมองอย่างละเอียด อสูรตัวนี้มีเก้าหัว ตัวเป็นงู เป็นสิ่งประหลาดที่ก่อตัวขึ้นในตอนสุดท้ายที่เผ่าเงือก
มองนานๆ ในใจก็เหมือนได้ยินเสียงร้องคำรามของอสูรร้าย อัศจรรย์ไม่ธรรมดา!
“ไอ้หยา นี่มันกวานสวรรค์ม่วงสูงสุดที่ผนึกวิญญาณระดับปราณก่อกำเนิดครึ่งหนึ่งเอาไว้ ตาแก่ลำเอียง ของสิ่งนี้ข้าขอตั้งนานแล้วก็ไม่ให้ข้า!” นายกองดวงตาเบิกกว้าง ในขณะที่ดวงตายิงแสงออกมา บ่าวรับใช้ก็สวมกวานนี้ไปบนศีรษะสวี่ชิง
สวี่ชิงในตอนนี้สวมชุดคลุมยาวสีม่วงปักลายทอง ศีรษะสวมกวานสวรรค์ม่วงสูงสุด เหนือศีรษะมีฉัตรลอยอยู่รางๆ รวมกับใบหน้างดงามล้ำของเขาแล้ว ทั้งตัวก็ดูสูงส่งไร้มลทิน ไร้ผู้เทียมเทียบ
ทำเอาสาวใช้ที่อยู่รอบๆ เห็นแล้วต่างดวงตาฉายแสงแปลกประหลาดออกมา
นายกองกำลังจะพูดอะไร โลกภายนอกก็พลันมีเสียงเข้มงวดจริงจังดังขึ้นมา
“มรรคาเดิมว่างเปล่า ไร้รูปร่างไร้ชื่อ หากไม่ศึกษาก็มิอาจเข้าใจในมรรคา มรรคาอยู่ในตำรา ลึกล้ำอัศจรรย์ หากมิมีอาจารย์ยากจะกระจ่างแจ้งใจ
“วันนี้ยอดเขาลำดับเจ็ดข้ามีศิษย์นามสวี่ชิง ได้รับการชี้นำจากอาจารย์ ได้รับการถ่ายทอดจากอาจารย์ จงก้าวมาแสดงความเคารพสูงสุดต่ออาจารย์!”
มาพร้อมด้วยความทรงอำนาจเคร่งขรึม ดังจากยอดเขาลำดับเจ็ดไปยังท้องฟ้า สะท้อนก้องไปทั่วสารทิศ