ผู้กล้าเหนือกาลเวลา – บทที่ 266 ความจริงกระจ่าง

ผู้กล้าเหนือกาลเวลา

บทที่ 266 ความจริงกระจ่าง

เพียงพริบตา ทะเลต้องห้ามแตกตื่น ขั้วอำนาจฝ่ายต่างๆ ในมณฑลรับเสด็จราชันหวั่นไหว

ผู้ที่ตั้งสติได้ก่อนคือพันธมิตรเจ็ดสำนักที่อยู่ใกล้เผ่าสิงซากสมุทรมากที่สุด เพียงพริบตาเหนือพันธมิตรเจ็ดสำนักก็มีเงาร่างมหึมาหกร่างปรากฏขึ้น

พวกเขามีทั้งหญิงชาย แต่ใบหน้าล้วนรางเลือน มองรายละเอียดไม่ชัด เห็นเพียงดวงตาทั้งสองของเขาในขณะนี้ต่างฉายประกายแสบตาออกมา

“สำนักเจ็ดเนตรโลหิต…”

“พวกเขาสร้างของวิเศษเวทต้องห้ามออกมาได้แล้วจริงๆ”

“เสี่ยเลี่ยนจื่อวางแผนรอบคอบ แผนการล้ำลึก ประมาทไม่ได้เลย!”

เงาหกร่างนี้ก็คือบรรพจารย์จากหกสำนักจากสภาอาวุโสแห่งพันธมิตรเจ็ดสำนักนั่นเอง

ตอนนี้ขณะที่จิตเทพแผ่ระลอก พวกเขาก็ลอยขึ้นกลางท้องฟ้าพร้อมกัน ต่างสาวเท้าไปในท้องฟ้า หายตัวไปในทันใด เป้าหมายคือเผ่าสิงซากสมุทร

เพียงชั่วพริบตา เงาร่างของพวกเขาก็มาปรากฏอยู่ที่กลางท้องฟ้าเหนือเผ่าสิงซากสมุทร พวกเขาต่างใจสั่นสะท้านท่ามกลางการขยับหมุนจากกระจกโบราณสัมฤทธิ์บานมหึมาบานนั้น สัมผัสได้ถึงพลังน่าสะพรึงกลัวจากของวิเศษเวทต้องห้ามชิ้นนี้

ของวิเศษเวทชิ้นใดก็ตาม ในเสี้ยวพริบตาที่มันยกระดับเป็นระดับต้องห้าม ล้วนเกิดการเปลี่ยนแปลงอันน่าอัศจรรย์ ก่อกำเนิดพลังแปลกประหลาด พลังนี้จะเป็นสิ่งตัดสินระดับความน่ากลัวของมันว่าจะมากน้อยเพียงใด

“พิพากษา…เป็นพิพากษาเป็นตายอย่างนั้นหรือ!”

“ของวิเศษเวทต้องห้ามของสำนักเจ็ดเนตรโลหิตชิ้นนี้ไม่ได้ใช้เพื่อทำลายสำนัก แต่เป็นของวิเศษทำล้ายล้างสังหารรายบุคคลที่หาได้ยากยิ่ง อีกทั้งยังอาศัยความรู้สึก พลังทำลายล้างสังหารของของวิเศษชิ้นนี้…น่าสะพรึงกลัวยิ่งนัก!”

“กระจกบานนี้หากเพียงจับเป้าหมายแล้ว หลังจากที่กระตุ้นจะมีอัตราความเป็นไปได้หนึ่งส่วนที่ทำให้คนที่ถูกส่องแตกดับในพริบตา อีกทั้งเนื่องจากขนาดของมันยังสามารถสำแดงในระยะไกลได้อีกด้วย!”

“แม้จะมีอัตราความเป็นไปได้หนึ่งส่วน แต่ดวงตาเจ็ดดวงบนนั้นก็หมายความว่าสามารถสำแดงได้ต่อเนื่องเจ็ดครั้ง เช่นนั้นแล้วใครจะกล้าไปเดิมพัน!”

“เสี่ยเลี่ยนจื่อมีพลังบำเพ็ญระดับหวนสู่อนัตตาขั้นหนึ่ง เขาถือครองของวิเศษต้องห้ามชิ้นนี้ สำแดงการพิพากษารายบุคคล ก็จะมีพลังบำเพ็ญระดับหวนสู่อนัตตาขั้นสอง!”

“ขั้นสอง…พันธมิตรเจ็ดสำนักเราก็มีเพียงประธานพันธมิตรเท่านั้นที่เป็นขอบเขตนี้”

บรรพจารย์ทั้งหกจากพันธมิตรเจ็ดสำนักต่างเงียบนิ่ง ในใจขบคิดต่างกันไป พวกเขารู้ดีว่าของวิเศษเวทต้องห้ามเป็นพลังแข็งแกร่งสุดของสำนักสำนักหนึ่ง ไม่ใช่สิ่งที่สำนักใดก็จะมีคุณสมบัติสามารถครอบครองได้ง่ายๆ

เหตุที่เป็นพันธมิตรเจ็ดสำนักก็เพราะบรรดาสำนักทั้งหนึ่งร้อยสามสิบเจ็ดสำนักในพันธมิตร มีเพียงพวกเขาเจ็ดสำนักที่มีของวิเศษเวทต้องห้าม

ขณะเดียวกัน ของวิเศษเวทก็แทบจะไม่สามารถช่วงชิงได้เลย ยกตัวอย่างเช่นของวิเศษเวทต้องห้ามของสำนักเจ็ดเนตรโลหิตที่อยู่ตรงนี้ แต่พวกเขากลับไม่กล้าไปช่วงชิง หากลงมือของวิเศษเวทต้องห้ามก็จะทำการระเบิดตัวเอง

นี่ก็คือจุดที่น่ากลัวของของวิเศษเวทต้องห้าม มันมีวิญญาณศัสตรา!

และของวิเศษเวทต้องห้ามชิ้นนี้ของสำนักเจ็ดเนตรโลหิตก็ยิ่งพิเศษ มันมีเทวรูปบรรพชนศพทั้งเจ็ดเป็นแหล่งกำเนิดพลังงาน ดวงตาทั้งเจ็ดที่หลับอยู่นั้น ทันทีที่ลืมตื่นขึ้นก็จะมีพลานุภาพที่น่าครั่นคร้ามเป็นอย่างมากแน่นอน

ดังนั้น หลังจากสังเกตอยู่ครู่หนึ่ง บรรพจารย์ทั้งหกจากพันธมิตรเจ็ดสำนักก็มองหน้ากัน ต่างประสานปางมือ ก่อเป็นค่ายกลส่งข้ามระยะไกล หายตัวไปในทันที มุ่งหน้าไปยังสำนักเจ็ดเนตรโลหิต

ขณะเดียวกัน ขั้วอำนาจต่างๆ ในมณฑลรับเสด็จราชันต่างจับจ้องไปยังสำนักเจ็ดเนตรโลหิตด้วยสายตาที่มีความคิดต่างๆ พวกเขารู้ดีว่า…สถานการณ์ของพันธมิตรเจ็ดสำนักจะเกิดการเปลี่ยนแปลงแล้ว และสถานการณ์ในมณฑลรับเสด็จราชันก็จะเปลี่ยนไปจากการนั้นเช่นกัน

พายุฝนตั้งเค้ามาแล้ว

ส่วนดินแดนเผ่าสิงซากสมุทร ตอนนี้ระดับบนและระดับล่างทั้งสำนักต่างสั่นสะท้านสิ้นหวัง ส่วนลูกศิษย์สำนักเจ็ดเนตรโลหิตที่รักษาการณ์อยู่ที่นี่ ดวงตาของทุกคนต่างฉายแววตื่นเต้นฮึกเหิม

และในตอนนี้ คนที่ตื่นกลัวที่สุดจนกระทั่งสีหน้าเปลี่ยนไปอย่างมหาศาล ลมหายใจถี่กระชึ้นขึ้นมาก็คือ…บรรพจารย์หลิงอวิ๋นที่อยู่กลางท้องฟ้าสำนักเจ็ดเนตรโลหิตนั่นเอง

หน้าผากของเขามีเหงื่อซึมผุด รูม่านตาทั้งสองข้างหดเล็ก ความตื่นตะลึงในใจตอนนี้ยากจะปกปิด เกิดขึ้นในห้วงอารมณ์ เขาจ้องไปทางเผ่าสิงซากสมุทรเขม็ง

แม้เขาจะมองไม่เห็นภาพที่นั่น แต่ก็สามารถสัมผัสได้อย่างชัดเจนว่าตัวเองถูกเล็งเป้าเอาไว้ เหมือนว่าเพียงแค่เสี้ยวความคิดของเสี่ยเลี่ยนจื่อ ตัวเองก็จะเผชิญหน้ากับเคราะห์เป็นตาย

การเล็งเป้าประเภทนี้แทบจะทำให้เขารู้ทันทีถึงภัยอันตรายที่ตนต้องเผชิญ

‘พิพากษาเป็นตาย…เจ็ดครั้ง พิพากษาเป็นตาย!’

บรรพจารย์หลิงอวิ๋นหายใจหอบถี่ ในดวงตาเต็มไปด้วยเส้นเลือด มองเสี่ยเลี่ยนจื่อด้วยอารมณ์ซับซ้อน

“ตอนนี้สำนักเจ็ดโลหิตข้าคู่ควรกับสำนักบนแล้วหรือยัง” เสี่ยเลี่ยนจื่อเอ่ยเรียบนิ่ง

บรรพจารย์หลิงอวิ๋นเอ่ยปากอยากจะพูดอะไร แต่ตอนนี้กลับไม่รู้ว่าจะพูดอย่างไร เขารู้แจ้งถึงแผนการทั้งหมดของสำนักเจ็ดเนตรโลหิตแล้ว

สำนักเจ็ดเนตรโลหิตก่อนหน้านี้เหมือนทำสงครามกับเผ่าสิงซากสมุทรแต่ความจริงแล้วคือทำลายเผ่าสิงซากสมุทร ไม่ใช่เป้าหมายที่แท้จริงของพวกเขาเลย

เป้าหมายของสำนักเจ็ดเนตรโลหิตมีสองข้อ

หนึ่งคือสร้างเส้นทางที่มุ่งตรงสู่แผ่นดินใหญ่ต้องประสงค์

ในหัวบรรพจารย์หลิงอวิ๋นมีเส้นทางปรากฏขึ้นเส้นทางหนึ่ง โดยมีสำนักเจ็ดเนตรโลหิตเป็นจุดแรก จุดที่สองคือเผ่าเงือก จุดที่สามคือเกาะรองเผ่าสิงซากสมุทร และจุดที่สี่คือดินแดนเผ่าสิงซากสมุทร

ที่นั่นก็ใกล้กับพันธมิตรเจ็ดสำนัก แผ่นดินใหญ่ต้องประสงค์มากๆ แล้ว

และเส้นทางนี้ก็เชื่อมกับเส้นทางทางภูมิศาสตร์ระหว่างสำนักเจ็ดเนตรโลหิตกับพันธมิตรเจ็ดสำนัก

อีกทั้งสำนักเจ็ดเนตรโลหิตยังเก็บงำได้มิดมาก ทำสงครามกับเผ่าเงือกเพราะการทดสอบของยอดเขาที่เจ็ด จากนั้นก็ล่อเผ่าสิงซากสมุทรให้ออกทะเล และเสี่ยเลี่ยนจื่อก็เลือกที่จะบุกทะลวงเข้าไปทำร้ายบรรพจารย์เผ่าสิงซากสมุทรให้บาดเจ็บสาหัส

ความจริงแล้วนี่ถึงจะเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้เผ่าสิงซากสมุทรพ่ายแพ้ยับเยินในตอนสุดท้าย

จากนั้นก็โจมตีเผ่าสิงซากสมุทรไปตามเหตุผล และโจมตีเกาะรองไปทีละขั้น แล้วก้าวไปบนแผ่นดินของเผ่า

ดูแล้วไม่มีช่องโหว่อะไร ระหว่างนั้นก็ไม่เผยพลังที่เกินมาตรฐานออกมาเลยแม้แต่น้อย

แต่เป้าหมายนี้ความจริงแล้วพันธมิตรเจ็ดสำนักก็ยังค้นพบเข้าจนได้

ดังนั้นพวกเขาจึงแทรกแซงศึกเผ่าสิงซากสมุทร ทำให้สำนักเจ็ดเนตรโลหิตไม่สามารถลงมือต่อได้ อีกทั้งแม้พันธมิตรเจ็ดสำนักจะเตรียมบดขยี้สำนักนำบารมี ทำลายเขื่อนที่แม่น้ำบรรพกาลเร้นหมื่นเทพ แต่ทางสำนักเจ็ดเนตรโลหิตทางนี้ก็ไม่เมินเฉยไปโดยสิ้นเชิงเสียเลยทีเดียว

การตักเตือนก่อนหน้านี้พวกเขายิงปืนนัดเดียวได้นกสองตัว คิดขย่มขุนเขาสะเทือนพยัคฆ์ ขุนเขาคือสำนักนำบารมี พยัคฆ์คือสำนักเจ็ดเนตรโลหิต

เช่นนี้แล้วก็ไม่ต้องเสียเลือด ทำให้สำนักเจ็ดเนตรโลหิตสงบเสงี่ยมเจียมตัวได้อีกครั้ง

แต่สิ่งที่พวกเขาคิดไม่ถึงคือสำนักเจ็ดเนตรโลหิตยังมีเป้าหมายที่สอง อีกทั้งเป้าหมายที่สองนี้ สำนักเจ็ดเนตรโลหิตเก็บงำได้มิดยิ่งกว่า มิดจนบรรพจารย์หลิงอวิ๋นตอนนี้อัดอั้นจนอกแทบจะระเบิด

เขากระทั่งคิดว่าเป้าหมายแรกนั้นสำนักเจ็ดเนตรโลหิตจงใจให้พวกเขาค้นพบ

เป้าหมายก็เพื่อปกปิดเป้าหมายที่สอง

นี่ไม่เหมือนรูปแบบของเสี่ยเลี่ยนจื่อ

เป้าหมายที่สองของสำนักเจ็ดเนตรโลหิตคือเทวรูปบรรพชนศพเผ่าสิงซากสมุทร จะใช้พวกมันเป็นแหล่งกำเนิดพลังงานของของวิเศษเวทตัวเอง ทำให้ของวิเศษเวทของสำนักเจ็ดเนตรโลหิตกลายเป็นขั้นของต้องห้าม

หากจะทำให้สำเร็จมีเงื่อนไขสองข้อคือ หนึ่งคือสำนักเจ็ดเนตรโลหิตต้องกุมวิธีใช้เทวรูปบรรพชนศพให้เป็นแหล่งกำเนิดพลังงานให้ได้

เงื่อนไขที่สองคือ สำนักเจ็ดเนตรโลหิตต้องหาเทวรูปบรรพชนศพที่กระจายอยู่ข้างนอกหลายองค์นั้นให้เจอ!

เห็นได้ชัดว่าเงื่อนไขทั้งสองข้อนี้สำนักเจ็ดเนตรโลหิตทำได้แล้ว

สำนักเจ็ดเนตรโลหิตกระทั่งยังคำนวณว่าพันธมิตรเจ็ดสำนักจะทำการแทรกแซงในช่วงเวลาสำคัญ สั่งให้หยุดสงครามนี้ ดังนั้นความเดือดดาลและไม่ยอมจำนนทุกอย่างก่อนหน้านี้ การต่อรองทุกอย่าง มีเพียงเป้าหมายเดียวเท่านั้น นั่นก็คือ…รับประกันว่าจะสามารถเอาเทวรูปบรรพชนศพมาได้อย่างน้อยๆ สององค์

จวบจนการเจรจาเงื่อนไขกับเผ่าสิงซากสมุทรเสร็จสิ้น สำนักเจ็ดเนตรโลหิตก็ยังคงอดทนอดกลั้น ต่อให้อัจฉริยะพันธมิตรเจ็ดสำนักมาท้าสู้ เสียศักดิ์ศรี แต่สำนักเจ็ดเนตรโลหิตก็ยังคงเงียบนิ่ง รอค่ายกลในเผ่าสิงซากสมุทร

โดยนามแล้ว เป้าหมายของค่ายกลนั้นก็เพื่อขนย้ายสินสงครามกลับมา จุดนี้ไม่ว่าจะเป็นเผ่าใดก็ล้วนสมเหตุสมผล

แต่ความจริงแล้ว การสร้างค่ายกลของสำนักเจ็ดเนตรโลหิตไม่ใช่เพื่อเอาเทวรูปบรรพชนศพกลับมาแค่สององค์ แต่เพื่อส่งออกไปห้าองค์

ในเสี้ยวพริบตาที่ส่งไปเมื่อครู่ เทวรูปบรรพชนศพก็กลายเป็นเจ็ดองค์ อีกทั้งอยู่ที่เผ่าสิงซากสมุทร พลังของเทวรูปฟื้นฟูกลับมา ทุกอย่างล้วนเป็นไปตามเหตุผล

“ดังนั้น ก่อนหน้านี้ลูกศิษย์ของพันธมิตรมาท้าสู้ ก็เป็นพวกเจ้าจงใจทำเป็นอ่อนแอ ปกปิดพวกข้าอย่างนั้นหรือ เช่นนั้นตอนนี้เจ้ามีเป้าหมายอะไร คิดจะเป็นเอกเทศบนแผ่นดินใหญ่ต้องประสงค์อย่างนั้นหรือ” บรรพจารย์หลิงอวิ๋นกัดฟันเอ่ยถามเสียงต่ำทุ้ม

เสี่ยเลี่ยนจื่อไม่ตอบคำถามแรก เพราะนี่ไม่สำคัญแล้ว เขายิ้มเล็กน้อย เอ่ยออกไปด้วยเสียงราบเรียบ

“ข้าแก่แล้ว อยากไปใช้ชีวิตบั้นปลายที่แผ่นดินใหญ่ต้องประสงค์ ในขณะเดียวกับที่เสพสุขกับบั้นปลายชีวิตก็หวังว่าในสภาสูงสุดของพันธมิตรเจ็ดเนตรโลหิตจะมีเก้าอี้เพิ่มขึ้นมาอีกตัวก็เท่านั้น”

บรรพจารย์หลิงอวิ๋นเงียบนิ่ง ในใจอัดอั้นเหลือเกิน เพียงแต่ตอนนี้เทียบกับตะเกียงแห่งชีวิตถูกชิงไป และหลานชายถูกทำร้ายบาดเจ็บสาหัสสองเรื่องนี้แล้ว ความทะเยอทะยานและความมุ่งมั่นของสำนักเจ็ดเนตรโลหิตที่ปะทุออกมาสำคัญกว่า

ในเสี้ยวขณะนี้ ทั้งสำนักเจ็ดเนตรโลหิตเงียบสงัด เหล่าลูกศิษย์ไม่รู้รายละเอียด แต่สัมผัสได้ว่าบรรยากาศเปลี่ยนไป ได้ยินคำพูดของบรรพจารย์ แต่ละคนต่างใจเต็นรัวเร็วขึ้น เกิดความคิดคาดเดาต่างๆ

สวี่ชิงเงยหน้าจ้องเพ่งไปยังมหาสมุทร เสี้ยวพริบตาเมื่อครู่นี้ เขารับรู้ได้เล็กน้อย แต่รางเลือนมาก

“ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้นี่เอง ปีศาจเฒ่าพวกนี้เจ้าเล่ห์สุดๆ ไปเลย ในที่สุดข้าก็รู้แล้วว่าไพ่ตายคืออะไร” นายกองถอนหายใจยาว ในดวงตาฉายประกาย ทั้งๆ ที่เอ่ยพึมพำกับตัวเองแต่กลับจงใจพูดให้เสียงดังเล็กน้อย

สวี่ชิงมองไป ศิษย์พี่สามก็มองอย่างสงสัยเช่นกัน ส่วนศิษย์พี่รองยังคงสื่อเสียงเช่นเดิม

“ศิษย์พี่ใหญ่ ท่านรู้จริงๆ หรือ เป็นของวิเศษต้องห้ามใช่หรือไม่ ของวิเศษต้องห้ามของสำนักเจ็ดเนตรโลหิตเราหรือ” เจ้าสามสงสัย

สวี่ชิงมองไปทางนายกองที่ลึกล้ำเกินหยั่ง สงสัยเช่นกัน

“เรื่องนี้มีค่าหนึ่งพันก้อนหินวิญญาณ พวกเจ้าใครอยากรู้ข้าจะบอกให้” นายกองสีหน้าเต็มไปด้วยความทอดถอนใจ เอ่ยกระซิบกระซาบ

“มันรู้กับผีสิ!” ข้างหน้า เสียงของนายท่านเจ็ดสะท้อนก้อง

นายกองกระอักกระอ่วน ในยามกระแอมออกมา เสียงของนายท่านเจ็ดก็ดังขึ้นในหูพวกเขาทั้งสี่

“นี่เป็นแผนที่ข้าออกอุบายให้บรรพจารย์ ดำเนินแผนการมาหลายร้อยปี ทำสำเร็จมาทีละก้าวๆ จนถึงวันนี้

“พวกเจ้าก็ไม่ต้องเดาแล้ว บนแผ่นดินเผ่าสิงซากสมุทรตอนนี้ตั้งของวิเศษเวทต้องห้ามที่เป็นของสำนักเจ็ดเนตรโลหิตเราเอาไว้ และเป็นของวิเศษเวทต้องห้ามชิ้นที่แปดในพันธมิตรเจ็ดสำนัก สามารถจับตามองทุกสารทิศ รับประกันว่าสำนักเจ็ดเนตรโลหิตเราสามารถก้าวไปบนแผ่นดินใหญ่ต้องประสงค์ได้อย่างราบรื่น

“นับจากนี้เป็นต้นไป ชื่อของพันธมิตรเจ็ดสำนักก็ต้องเปลี่ยนแล้ว” นายท่านเจ็ดหันมามองลูกศิษย์ทั้งสี่ของตัวเองแวบหนึ่ง ยิ้มบางๆ

“พวกเจ้าว่า พันธมิตรแปดสำนักชื่อนี้น่าฟังขึ้นมากว่าเดิมหรือไม่”

ในเสี้ยวพริบตาที่นายท่านเจ็ดเอ่ยออกมาท้องฟ้าก็พลันเปลี่ยนสี กลิ่นอายที่สั่นคลอนทุกทิศแต่ละรอบๆ ลุกโชนเผาไหม้ฟ้าดินก็พลันปรากฏขึ้น

ผู้แข็งแกร่งประดุจเทพหกองค์ปรากฏขึ้นบนท้องฟ้า มาปรากฏอยู่รอบๆ เสี่ยเลี่ยนจื่อและบรรพจารย์หลิงอวิ๋น

เป็นบรรพจารย์จากอีกหกสำนักที่เหลือแห่งสภาอาวุโสพันธมิตรเจ็ดสำนักนั่นเอง!

แทบจะในพริบตาเดียวกับที่พวกเขามาเยือน ในสำนักเจ็ดเนตรโลหิตก็มีหญิงชราคนหนึ่งเดินออกมา ก้าวเดียวก็มาปรากฏบนฟ้า เดินมายืนข้างๆ เสี่ยเลี่ยนจื่อ ยิ้มให้กับพันธมิตรเจ็ดสำนักบางๆ

“ทุกท่าน ไม่เจอกันนานเลย

“ก่อนหน้านี้งีบหลับไปครู่หนึ่ง ได้ยินว่ามีคนให้สำนักเจ็ดเนตรโลหิตส่งตัวสวี่ชิงออกไป เด็กคนนั้นหลานสาวข้าชอบมาก กำลังพิจารณาว่าจะแต่งงานเชื่อมความสัมพันธ์ หากถูกฆ่าตายหลานสาวข้าไม่มีความสุข ข้าก็ไม่มีความสุขไปด้วยเช่นกัน

“ข้ายายแก่คนนี้ไม่มีกิจการใหญ่โตอะไร มีแค่หลานสาวคนเดียวเท่านั้น และเมื่อข้าไม่มีความสุข ข้าก็จะให้พวกเจ้าไม่มีความสุขไปด้วย!”

ผู้กล้าเหนือกาลเวลา

ผู้กล้าเหนือกาลเวลา

Status: Ongoing
เมื่อเขากลายเป็นผู้รอดชีวิตเพียงคนเดียวในเมืองที่ถูกพลังของเทพเจ้าทำลายล้าง…รายละเอียดกำลังภายใน-เทพเขียนเรื่องใหม่จากนักเขียนชื่อดัง ‘เอ่อร์เกิน’ ผู้เขียน ‘หนึ่งความคิดนิจนิรันดร์’ ‘สู่วิถีสุรา’ ฟื้นลิขิตฟ้าข้าขอเป็นเขียน’ ‘หนึ่งฝ่ามือสยบโลกา’ เมื่อเทพเจ้าลืมตาจับจ้องมา โลกก็เกิดการเปลี่ยนแปลง ไอพลังประหลาดกระจัดกระจายไปทั้งโลกมนุษย์ เกิดการกลายพันธุ์ต่อสรรพชีวิตบนโลก ‘สวี่ชิง’ เด็กหนุ่มผู้รอดชีวิตใช้ชีวิตเพียงลำพัง ดิ้นรนเอาตัวรอดจากอสูรร้ายและไอพลังประหลาดได้พบกับพลังวิเศษ แต่ในโลกกลียุคเช่นนี้ ปลาใหญ่กินปลาเล็ก ผู้แข็งแกร่งเท่านั้นจึงจะมีชีวิตรอด เพื่อที่จะแก้แค้นให้กับคนที่รัก เพื่อตามหาครอบครัวที่อาจจะมีชีวิตอยู่ที่ใดสักแห่ง เขาจะต้องแข็งแกร่งขึ้นให้ได้ . . . เขาต้องรอด!!!

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท