บทที่ 276 ผู้ครองกระบี่
สวี่ชิงออกจากตำหนักเจ้าสำนัก
พริบตาที่เดินออกจากตำหนักเจ้าสำนัก เขาก็ล้วงเอากวานสวรรค์ม่วงสูงสุดจากถุงเก็บของออกมาสวมไว้บนหัว
ก่อนหน้านี้เขาแค่รู้สึกว่าของสิ่งนี้ไม่ธรรมดา นายกองดูอิจฉามาก หลังจากรู้วิธีใช้และเข้าใจประโยชน์ของมัน สวี่ชิงยังไม่ทันลงจากเขา ก็นำมันมาสวมและทำปางมือทันที ทันใดนั้นกวานสวรรค์ม่วงสูงสุดที่ดูโอ่อ่านี้ ก็ค่อยๆ เลือนลาง สุดท้ายก็หายไปจนตาเนื้อมองไม่เห็น
กระทั่งจิตสำนึกก็ยังสัมผัสไม่ได้
สวี่ชิงพอใจ
ตลอดทางกลับมายังที่พัก ด้วยฐานะที่เป็นองค์ชาย เขามีถ้ำพำนักอยู่ที่ยอดเขาลำดับเจ็ด แต่สวี่ชิงพักในทะเลจนชินแล้ว แม้ตอนนี้จะไม่มีเรือเวท แต่เขายังคงเข้าพักในโรงเตี๊ยมบริเวณท่าเรือชั่วคราว
เขากำลังรอให้จางซานจัดการธุระช่วงนี้ให้เรียบร้อย
หลังกลับมาถึงโรงเตี๊ยม สวี่ชิงตรวจสอบกับดักรอบด้านเสียก่อน เมื่อยืนยันว่าช่วงที่ออกไปนี้ไม่มีใครเข้ามาพบ เขาจึงนั่งลงขัดสมาธิ ทำความคุ้นเคยกับสามวิชาที่นายท่านเจ็ดถ่ายทอดให้ในหัว
‘วิชาเวทพลานุภาพยิ่งใหญ่ ยังต้องทำความคุ้นเคยถึงจะทำให้พลังต่อสู้ของมันแกร่งขึ้น
‘วิชาประหลาดก็เช่นกัน ต้องหาสถานที่ที่ร้างผู้คน ทดสอบเสียหน่อย
‘ส่วนเรื่องวิชาลับ…’ สวี่ชิงสัมผัสกับตราประทับในสมองครู่หนึ่ง ดวงตาก็เปล่งประกายประหลาดออกมา วิชานี้น่ากลัวมาก ก่อนหน้านี้เขาไม่เคยได้ยินการมีอยู่ของวิชาลับเลย
‘ไม่รู้ว่าบรรดาวิชาเวทที่เซิ่งอวิ๋นผู้ปราดเปรื่องสำแดงออกมาขณะสู้กับข้าตอนนั้นใช่วิชาลับหรือไม่’ สวี่ชิงย้อนคิด เขารู้สึกว่าน่าจะไม่มี หรือต่อให้มี ก็ไม่น่าจะเทียบกับใต้ปรโลกได้
‘เก้าหมัดทะลายหนึ่งช่องเวท วิชาลับนี้ใช้กับศัตรูที่มีพลังพอๆ ถือว่ามีประโยชน์มาก’
คิดถึงตรงนี้ สวี่ชิงก็ยิ่งพยายามลอกเลียนมันอยู่ในหัว จนผ่านไปหนึ่งวัน เมื่อมีเวลาเหลือจากการบ่มเพาะสามวิชา สวี่ชิงก็นำเลือดของตนเองหยดหนึ่ง แตะลงไปที่หว่างคิ้วของตุ๊กตาผีตัวตายตัวแทน
พริบตาที่แตะลงไป ตุ๊กตาผีตัวนี้ก็กลอกตาไม่หยุด จากนั้นก็หาว เข้าสู่ห้วงนิทรา
สวี่ชิงแปะมันไว้กับตัวอย่างระมัดระวัง รู้สึกพึงพอใจเปี่ยมล้น จากนั้นก็ครุ่นคิดอยู่พักหนึ่ง
‘การคุ้มครองของกวานต้านทานวิกฤตเป็นตายส่วนมากข้าได้แล้ว แต่นั่นเป็นเพียงชั้นที่หนึ่ง หากพบกับอันตรายแสนสาหัสที่สามารถทำลายกวานได้ ข้าก็ยังมีตุ๊กตาผีตัวตายตัวแทน นี่คือชั้นที่สอง
‘แต่ยังไม่เพียงพอ’ สวี่ชิงครุ่นคิด ลุกขึ้นพรางตัว เปลี่ยนชุดเป็นเสื้อผ้าปกติ ออกจากเมืองเจ็ดเนตรโลหิต ตรงไปยังเขตที่ติดกับพื้นที่ของสำนักสมบัติจำนงฟ้า
ตามหาสิ่งของอยู่ที่นั่นพักหนึ่ง ท้ายสุดสวี่ชิงก็หาสิ่งที่ตนเองต้องการพบ
ยันต์ส่งข้ามไร้ขั้นตอน
ในเจ็ดเนตรโลหิตหาซื้อสิ่งนี้ไม่ได้ แต่ในพันธมิตรเจ็ดสำนัก โดยเฉพาะในร้านขนาดใหญ่ของสำนักสมบัติจำนงฟ้าก็มีขาย เพียงแต่ราคาสูงลิบลิ่ว
สวี่ชิงกัดฟันซื้อมาสามใบ
“อันตรายชั้นแรก ให้กวานจัดการ ชั้นที่สองคือตุ๊กตาผีตัวตายตัวแทน ถ้าหากเผชิญหน้ากับพลังที่ไม่อาจต้านทาน จังหวะที่ตุ๊กตาผีตายแทน ก็ยังสำแดงยันต์ส่งข้ามไร้ขั้นตอนได้”
ทำเรื่องเหล่านี้เสร็จสิ้น สวี่ชิงก็กลับมาถึงเขตเมืองเจ็ดเนตรโลหิต เดินมองสิ่งปลูกสร้างบนถนนที่ส่วนใหญ่ที่สร้างเสร็จแล้วรอบๆ สวี่ชิงรับรู้อย่างแจ่มแจ้งเรื่องความเร็วในการก่อสร้างของเจ็ดเนตรโลหิต ขณะที่กำลังเดิน เขาก็ได้รับสื่อเสียงจากจางซาน
“สวี่ชิง ข้าทำภารกิจของสำนักเสร็จแล้ว เจ้ามีเวลาก็แวะมาหาได้ นายกองกับหวงเหยียนก็อยู่ที่นี่ แล้วก็มีคนฝากจดหมายให้ข้าส่งให้เจ้าฉบับหนึ่งด้วย”
สวี่ชิงได้ยินก็รู้สึกสนใจ จึงเปลี่ยนทิศทาง เดินตรงไปยังที่อยู่ใหม่ของกรมขนส่งที่จางซานอยู่ หลังจากมาถึงก็เห็นว่าที่นั่นมีโกดังขนาดยักษ์อยู่นับร้อย ขนาดต่างกันกับกรมขนส่งที่เจ็ดเนตรโลหิตอยู่มากโข
จางซานยังคงนั่งยองๆ อยู่บนกองสัมภาระ นายกองเองก็นั่งยองๆ กินผิงกั่วอยู่ตรงนั้นเช่นกัน เบื้องหน้าพวกเขาคือหวงเหยียนที่กำลังกำชับรายละเอียดกับจางซาน
ในมือหวงเหยียน ยังถือตะเกียงเผ่าเงือกที่เขาซื้อมาจากสวี่ชิงเมื่อครั้งนั้นอยู่
ล้วนเป็นคนคุ้นเคยทั้งสิ้น
เมื่อทั้งสามคนเห็นว่าสวี่ชิงมาก็ทักทาย
นายกองหัวเราะ จางซานดวงตาเป็นประกาย ส่วนหวงเหยียนตบพุง กวาดสายตามองสวี่ชิง ใบหน้าเผยรอยยิ้มพึงพอใจ
“สวี่ชิง ได้ยินว่าเจ้าตอนนี้มีไฟชีวิตสองดวงแล้วสินะ ฮ่าๆ ยินดีด้วย” หวงเหยียนยิ้มเอ่ยอย่างเบิกบาน
“ข้านับนิ้วคำนวณแล้ว หลายวันก่อนใครบางคนเหมือนได้ของดีมาจากท่านอาจารย์หลายชิ้นอยู่ มาๆๆ อาชิงน้อย มาให้ข้าดูหน่อยเร็ว ศิษย์พี่จะช่วยเจ้าชื่นชมเอง อย่าได้ถูกตาเฒ่านั่นหลอกเชียว” นายกองกระแอมไอเสียงหนึ่ง เอ่ยปากกับสวี่ชิง
สวี่ชิงไม่สนใจนายกอง หลังจากยิ้มให้กับหวงเหยียน สายตาก็มาอยู่ที่จางซาน บอกเรื่องต้องการสร้างเรือเวทแก่เขา
“พังอีกแล้วหรือ เจ้าเห็นความเป็นส่วนร่วมที่ข้าออกแบบไว้ด้านในแล้วหรือไม่” จางซานดูปกติดี ไม่รู้สึกแปลกใจกับเรื่องที่สวี่ชิงระเบิดเรือเวททิ้ง แต่กลับถามถึงอีกเรื่องหนึ่งอย่างฮึกเหิม
สวี่ชิงคิดย้อนกลับไป ส่ายหัว
“เป็นไปไม่ได้ หรือข้าออกแบบพลาดกัน” จางซานหดหู่เล็กน้อย หลังครุ่นคิดก็ตัดสินใจว่าครั้งนี้จะทำให้กระตุ้นเปิดใช้งานได้ง่ายหน่อย จากนั้นก็ล้วงจดหมายฉบับหนึ่งออกมาจากถุง ยื่นให้สวี่ชิง
“คนที่ชื่อหลี่จื่อเหมย สหายรุ่นเดียวกันของเจ้าตอนนั้น เจ้ายังจำได้หรือไม่ ช่วงหลังข้าย้ายนางไปอยู่ที่กรมขนส่ง เด็กสาวคนนี้พยายามและตั้งใจมาก ไม่เลวเลย” จางซานทอดถอนใจ
“อัจฉริยะสามคนจากสำนักเซียนล้ำบารมีที่มาเจ็ดเนตรโลหิตพบนางโดยบังเอิญ ต่อมาไม่รู้เป็นมาอย่างไรจึงไปเจรจากับสำนัก สุดท้ายตอนที่กลับไปก็พานางไปด้วย บอกว่าคุณสมบัติร่างกายนาง เหมาะกับการฝึกบำเพ็ญวิชาสำนักเซียนล้ำบารมี”
ขณะที่นายกองกำลังอยากรู้อยากเห็น ขณะที่หวงเหยียนก็เมียงมอง สวี่ชิงก็เก็บจดหมายนี้ในถุงเก็บของ ยังไม่อ่าน หัวปรากฏภาพของหญิงสาวที่คิดจะห่ออาหารกลับแล้วถูกพนักงานต่อว่า ตัวสั่นเทิ้มด้วยความอับอายด้านนอกร้านอาหารคนนั้นขึ้นมา
เมื่อหวงเหยียนเห็นว่าตอนนี้ใกล้พลบค่ำแล้วก็กำชับจางซานอีกครั้ง
“ศิษย์พี่จางซาน เจ้าต้องช่วยข้าสร้างให้ดีๆ นะ อีกเดี๋ยวก็จะเป็นวันครบรอบสามพันสามร้อยสี่สิบสี่วันที่ข้ารู้จักกับศิษย์พี่หญิงแล้ว ข้าก็ไม่กล้าให้ของที่ล้ำค่านัก เดี๋ยวศิษย์พี่หญิงจะคิดมาก ทำได้เพียงส่งสิ่งนี้ไป เจ้าช่วยย้ายไฟในตะเกียงนี้เข้าไปในปิ่นปักผมหน่อย ข้าจะนำของสิ่งนี้ไปเป็นของขวัญให้ศิษย์พี่หญิง”
จางซานได้ยินก็ตบหน้าอก หลังจากรับรองเป็นมั่นเหมาะ หวงเหยียนก็พรูลมหายใจ
“เฮ้อ เจ้าว่าทำไมเจ็ดเนตรโลหิตต้องมาสถานที่แย่ๆ แบบนี้ ทวีปปักษาสวรรค์ทักษิณก็ดีอยู่แล้ว แล้วสวี่ชิงเจ้าจะไม่กลับทวีปปักษาสวรรค์ใช่หรือไม่ ข้าก็กำลังกล่อมศิษย์พี่หญิงให้นางกลับไป”
สวี่ชิงได้ยินก็ครุ่นคิดอย่างจริงจัง นายกองข้างๆ ก็ถอนหายใจด้วย จัดการกินผิงกั่วในมือจนหมด และล้วงสาลี่อีกผลออกมา
“พูดถึงทวีปปักษาสวรรค์ทักษิณ ข้าเองก็รู้สึกเสียใจ ก่อนหน้านี้ข้ามีแผนการใหญ่ เตรียมการเพื่อมันอยู่นานนม ถึงขนาดไปยังกรมข่าวกรองหาข้อมูล กำลังจะได้ทำอยู่แล้วเชียว เฮ้อ ช่างเถิด ถือเสียว่าวิหคเพลิงสวรรค์นั่นโชคดีไปแล้วกัน”
“แผนการของเจ้าเกี่ยวข้องกับวิหคเพลิงสวรรค์หรือ” เดิมทีหวงเหยียนคิดจะออกไปแล้ว เมื่อได้ยินก็อยากรู้อยากเห็น
สวี่ชิงเองก็มองเช่นกัน
นายกองกระแอมไอ
“เดิมทีข้าวางแผนจะไปที่รังของวิหคเพลิงสวรรค์เพื่อเอาของบางอย่าง น่าเสียดาย ทว่าตอนนี้ข้าก็มีแผนการใหม่แล้ว”
หวงเหยียนมองนายกองอย่างล้ำลึก เลือกไม่จากไป ราวกับดูว่านายกองจะพูดอะไรถัดจากนี้
นายกองมองซ้ายแลขวา เอ่ยเสียงเบากับพวกสวี่ชิงทั้งสามคน
“พวกเจ้ารู้จักผู้ครองกระบี่หรือไม่”
จางซานมึนงง สวี่ชิงก็มึนงง ครั้งนั้นเซิ่งอวิ๋นผู้ปราดเปรื่องพูดพึมพำกับตน เขาจึงไม่รู้ว่าผู้ครองกระบี่คืออะไร หวงเหยียนกระพริบตาปริบๆ มึนงงเช่นกัน
นายกองมองหวงเหยียนอย่างสงสัย เขารู้สึกว่าท่าทีของเจ้าอ้วนคนนี้ไม่ค่อยถูกต้อง แต่ก็ไม่คิดอะไรมาก เอ่ยเสียงเบาต่อไป
“ผู้ครองกระบี่คือชื่อเรียกของสมาชิกในกรมครองกระบี่หนึ่งในห้ากรมทมิฬบนของเผ่ามนุษย์ กรมหลักตั้งอยู่ในดินแดนเมืองหลวงจักรพรรดิ เบื้องล่างมีเจ็ดวังอยู่ในเจ็ดเขตปกครอง ทุกวังแบ่งแยกเป็นโถง มณฑลรับเสด็จราชันก็มีโถงครองกระบี่อยู่แห่งหนึ่ง
“เมื่อเข้าร่วมกับโถงครองกระบี่ก็จะกลายเป็นผู้ครองกระบี่ และจะไม่ถูกผูกมัดกับกฎของสำนักอีก ขอแค่ไม่ทรยศเผ่ามนุษย์ จะทรยศใครก็ได้ทั้งนั้น หรือจะพูดว่า ถ้าเจ้ากลายเป็นผู้ครองกระบี่ เจ้าก็จะอยู่สูงกว่าเผ่ามนุษย์ขั้นหนึ่ง เจ้าจะอยู่ในการสืบทอดดั้งเดิมของจักรพรรดิ กินข้าวหลวงอย่างแท้จริง แม้จักรพรรดิโบราณเสวียนโยวจะไปแดนศักดิ์สิทธิ์แล้ว แต่ความน่าเกรงขามแห่งจักรพรรดิยังคงอยู่ เผ่ามนุษย์ยังคงมีพลังที่มีพลานุภาพอยู่สำหรับต่างเผ่า
“ถ้าเจ้ากลายเป็นผู้ครองกระบี่ ไม่สบอารมณ์ใครก็จับกุมได้เลย ใครขัดหูขัดตา สู้ไม่ไหวก็ประกาศจับได้ นี่แตกต่างกับประกาศจับของสำนัก เป็นประกาศจับของเผ่ามนุษย์เลย
“บรรพจารย์หลิงอวิ๋นขัดหูขัดตา ก็ประกาศจับเขาเสีย! สำหรับต่างเผ่าแล้วถือเป็นการสะกดข่ม ใครก็ไม่กล้าแตะต้องเจ้า แตะต้องเจ้าก็เท่ากับดวงถึงฆาต หัวจะขาดได้
“ยิ่งไปกว่านั้นเมื่อกลายเป็นผู้ครองกระบี่ ยังสามารถฝึกบำเพ็ญวิชาลับเสวียนโยวได้ด้วย ว่ากันว่าร้ายกาจมาก ก่อนหน้านี้มีคนใช้วิชาลับจนเกือบจะสังหารวิหคเพลิงสวรรค์ลงได้”
หวงเหยียนตกตะลึง
ส่วนสวี่ชิงสีหน้าปกติ เขาชินกับการวิธีการพูดจาให้ดูลึกลับซับซ้อนของนายกองแล้ว
เห็นสีหน้าสวี่ชิง นายกองก็เลิกคิ้ว
“อาชิงน้อย ข้าช่วงนี้ได้ยินว่าเซิ่งอวิ๋นผู้ปราดเปรื่องยังไม่ตาย บรรพจารย์หลิงอวิ๋นใช้วิชาลับอะไรก็ไม่รู้ ดูเหมือนจะมีค่าตอบแทนมหาศาล ยิ่งมีเจ้าพันธมิตรลงมือ สุดท้ายก็ช่วยชีวิตเขาได้ ยังไม่แน่ใจว่ามีภัยแฝงเร้นอยู่หรือไม่ แต่ข้าหาข้อมูลมาได้ว่าเขาไม่ได้ล้มเลิกความตั้งใจด้วยเหตุพ่ายแพ้เจ้า ตอนนี้กำลังปิดด่าน เพื่อทะลวงก่อไฟชีวิตดวงที่ห้า!”
สวี่ชิงฟังจบก็สีหน้าปกติ มีเพียงประกายเย็นวาบในดวงตาเท่านั้น
“หากเจ้ากลายเป็นผู้ครองกระบี่ เมื่อประกาศโองการออกไป เซิ่งอวิ่นผู้ปราดเปรื่องได้ตัวสั่นงันงกทันทีแน่!
“แผนการของข้า ก็คือกลายเป็นผู้ครองกระบี่!” นายกองกินสาลี่หมด และหยิบส้มอีกลูกออกมา ปอกเปลือกแล้วกินไปคำหนึ่ง พูดต่อว่า
“เช่นนี้หากภายหลังจะทำการใหญ่ ใครกล้ามาหือกับข้า ข้าจะเป็นตัวแทนเผ่ามนุษย์พิพากษาเขาเสีย”
“แล้วจะกลายเป็นผู้ครองกระบี่ได้อย่างไร” จางซานหวั่นไหวขึ้นมาแล้ว
“การคัดเลือกผู้ครองกระบี่นั้นเข้มงวดมาก เลือกหัวกะทิในหัวกะทิ ทุกสิบปีจะมีเพียงห้ารายชื่อ ลองนับเวลาดู การคัดเลือกครั้งนี้ก็น่าจะอีกไม่นานแล้ว โถงครองกระบี่สาขาหลักอยู่ที่เสามรรคาสวรรค์พ้นพันธะ ช่วงนี้ข้าจะเตรียมตัวเสียหน่อย ถึงเวลาจะบอกพวกเจ้า” นายกองพูดจบ ก็ลุกขึ้นปัดก้นโบกมือให้พวกสวี่ชิงทั้งสามคน เดินออกจากกรมขนส่งไป
หวงเหยียนก็ไปด้วยเช่นกัน หลังจากสวี่ชิงหารือเรื่องรายละเอียดเรือเวทกับจางซานแล้ว ตอนที่ตะวันตกดินก็ออกจากที่นี่
ขณะเดียวกัน ในสำนักกระบี่เมฆาจรดฟ้าพันธมิตรแปดสำนัก สถานที่ลับที่ก่อตัวขึ้นจากค่ายกลนับไม่ถ้วนแห่งหนึ่ง ที่นี่มีบ่อเลือดขนาดใหญ่อยู่บ่อหนึ่ง
ในบ่อเลือด มีเสียงกรีดร้องทรมานไม่เป็นภาษา กรีดร้องโหยหวนมาทั้งวันทั้งคืน
รอบด้านมีกระบี่โบราณขนาดยักษ์อยู่แปดเล่ม ตั้งตระหง่านล้อมรอบบ่อเลือด
บนกระบี่โบราณทุกเล่มมีคนนั่งขัดสมาธิอยู่หนึ่งคน มีทั้งชายและหญิง ดูอายุอานามไม่น้อย พลังบำเพ็ญแผ่คลื่นพลังระดับปราณก่อกำเนิดออกมา
พวกเขารวมพลังกระตุ้นกระบี่โบราณ ทำให้กระบี่โบราณแผ่นปราณกระบี่หลายสายออกมา จนกลายเป็นตาข่ายปราณกระบี่ สะกดไปที่บ่อเลือด ด้านบนตาข่ายยักษ์ มีเงาของวิหคทองขนาดใหญ่ตัวหนึ่งกำลังสูดรับบ่อเลือดอยู่
ข้างๆ ยังมีชายชราคนหนึ่งลอยอยู่ บรรพจารย์หลิงอวิ๋นนั่นเอง
เขามองบ่อเลือดเบื้องล่าง ขณะที่ปวดใจจนหน้าดูไม่ได้ ก็พึมพำขึ้นมา
“หลานเอ๋ย ทนอีกหน่อยนะ พิษที่เจ้าสารเลวนั่นใช้มันพิเศษเกินไป ปู่หาทุกวิถีทางแล้วก็ยังไม่ได้ผลนัก ฟื้นฟูร่างเจ้าไม่ได้ กระทั่งแค่รักษาชีวิตเจ้าไว้ก็ถึงขีดจำกัดแล้ว ทำได้แค่ใช้เงาวิชาระดับจักรพรรดิของเจ้าพันธมิตรมา ฝากฝังพลังชีวิตเข้มข้นไปในร่างกายเจ้า และทำให้มันระเหยไปตลอดเวลา ถึงจะรักษาสมดุลพิษในร่างกายเจ้าได้
“แต่ด้วยเหตุนี้ ก็มองออกว่าเจ้าสารเลวนั่นมีประสบการณ์ไม่น้อยเลย หลานเอ๊ย เจ้าชื่อว่าเซิ่งอวิ๋น เป็นตัวแทนของแสงสว่าง เมื่อเกิดมาก็มีนิมิต กำหนดว่าต้องเดินบนเส้นทางแห่งจักรพรรดิโบราณ เจ้าห้ามยอมแพ้เด็ดขาด ต้องยืนหยัดต่อไป ช่วงชิงเกียรติของเจ้ากลับมา ทั้งหมดของเจ้า ล้วนเป็นของเจ้า!”
ในบ่อเลือด มีคนที่เหมือนโครงกระดูกอยู่ร่างหนึ่ง เลือดเนื้อทั้งร่างเหลืออยู่ไม่ถึงสามส่วน ขณะที่ดูโหดเหี้ยมเหลือคณา เสียงกรีดร้องก็ยิ่งแผดแหลม ดวงตาฉายแววบ้าคลั่ง
“สวี่ชิง ข้าจะสังหารเจ้า!!”