ผู้กล้าเหนือกาลเวลา – บทที่ 275 นายท่านเจ็ดถ่ายทอดวิชา

ผู้กล้าเหนือกาลเวลา

บทที่ 275 นายท่านเจ็ดถ่ายทอดวิชา

ตำหนักใหญ่กว้างขวาง นอกจากนายท่านเจ็ดที่วาดรูปอยู่ก็มีเพียงแค่สวี่ชิงคนเดียว

ผู้ติดตามไม่อยู่

“สงสัยว่าทำไมข้าถึงวาดรูปคนนั่งขัดสมาธิที่เขาภูตคีรีใต้อย่างนั้นหรือ”

นายท่านเจ็ดหันมา มองๆ สวี่ชิง แล้วเอ่ยราบเรียบ

สวี่ชิงพยักหน้า

“ที่นี่ถึงจะเป็นจุดสำคัญของมณฑลต้อนรับราชัน รอเมื่อเจ้าเป็นระดับขั้นไฟชีวิตสี่ดวงแล้วข้าจะพาเจ้าไป ที่นั่นไม่แน่ว่าอาจจะเป็นดินแดนวาสนา”

นายท่านเจ็ดไม่ได้อธิบายอะไรมาก สายตาจับไปที่ขวดยาในมือสวี่ชิง เพียงสะบัดมือขวดยาก็ลอยมาเอง เขาถือมันเอาไว้แล้วดื่มมันหนึ่งอึก แล้วเก็บมันลงไป ก่อนจะนั่งลงที่ฝั่งหนึ่งของกระดานหมากล้อม

“มานั่งตรงข้ามข้า” นายท่านเจ็ดกวักมือเรียกสวี่ชิง

สวี่ชิงเข้ามาใกล้อย่างเชื่อฟัง นั่งลงอีกฝั่งหนึ่งของกระดานหมาก

“เล่นหมากล้อมเป็นหรือไม่” นายท่านเจ็ดถาม

สวี่ชิงส่ายหน้า

“ข้าสอนให้” นายท่านเจ็ดหยิบหมากเม็ดหนึ่งวางไว้ที่มุมหนึ่งของกระดาน สวี่ชิงคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้ววางหมากไปอีกมุมหนึ่ง

“หมากเหมือนชีวิตคน และเป็นการแสดงให้เห็นถึงนิสัยของคนคนหนึ่ง เหมือนข้าชีวิตนี้เดินหมากก็ไม่เคยพ่ายแพ้มาก่อน เจ้ารู้หรือไม่ว่าทำไม” นายท่านเจ็ดวางหมากอีกเม็ด เอ่ยอย่างสงบนิ่ง

สวี่ชิงส่ายหน้า เลียนแบบวางไปอีกเม็ดเช่นกัน

“ข้าวางหมากไม่ได้มองแค่ตรงหน้า แต่เป็นสถานการณ์ทั้งกระดาน หลักเหตุผลนี้อันที่จริงหลายๆ คนก็รู้ และคิดอยากทำเช่นนี้เหมือนกัน แต่โอกาสมักจะไม่พอ คุณสมบัติไม่ได้ ดังนั้นจึงไม่อาจทำได้ เหลือไว้เพียงความเสียดาย

“อย่างที่เจ้าเห็น ลูกศิษย์ที่เปิดช่องเวทได้ร้อยยี่สิบช่องของสมาพันธ์เหล่านั้น เหตุที่พวกเขาหยุดอยู่ที่ไฟชีวิตสี่ดวง ทะลวงระดับแก่นลมปราณวังสวรรค์ได้แต่ไม่ทำ เพราะพวกเขามีใจอยากกุมทั้งกระดานหมาก

“พวกเขาอยากทะลวงเปิดช่องเวทช่องที่หนึ่งร้อยยี่สิบเอ็ด!” นายท่านเจ็ดวางหมาก เอ่ยเสียงเบา

สวี่ชิงดวงตาฉายแววครุ่นคิด นี่คล้ายกับการวิเคราะห์ของเขาในตอนที่ทะลวงระดับสร้างฐานสำรวจได้หนึ่งร้อยยี่สิบช่องเมื่อก่อนหน้านี้ ตอนนั้นเขารู้สึกว่า หลังจากหนึ่งร้อยยี่สิบช่อง บางทีอาจจะยังมีช่องเวทอีก

คล้ายว่ามองความคิดของสวี่ชิงออก นายท่านเจ็ดหัวเราะออกมา

“หลังจากช่องที่หนึ่งร้อยยี่สิบ มีช่องเวทเพียงแค่ช่องเดียวเท่านั้น ช่องที่หนึ่งร้อยยี่สิบเอ็ดนี้ หนึ่งช่องสามารถก่อไฟชีวิตได้หนึ่งดวง แต่การทะลวงเปิดมันยากลำบากมาก ยากเหนือจินตนาการ หากมิใช่มหาวาสนาแล้วไซร้มิอาจได้มา อีกทั้งคนนอกช่วยไม่ได้ ทำได้แค่อาศัยตัวเองเท่านั้น

“ส่วนความยากนั้นไม่ได้อยู่ที่การทะลวงเปิด แต่อยู่ที่หาตำแหน่งของมัน

“ในประวัติศาสตร์มณฑลต้อนรับราชัน คนที่เคยทะลวงเปิดช่องเวทช่องที่หนึ่งร้อยยี่สิบเอ็ดมักจะเผชิญกับอันตรายครั้งใหญ่หลวง ในเสี้ยวพริบตาเป็นตายก็บังเอิญหาตำแหน่งของช่องเวทที่หนึ่งร้อยยี่สิบเอ็ดเจอ แล้วทะลวงเปิดมัน อีกทั้งจากบันทึกและการอนุมาน ตำแหน่งช่องเวทของทุกคนแตกต่างกันไป ดังนั้นจึงไม่มีค่าที่จะนำมาเปรียบเทียบอ้างอิง”

สวี่ชิงเงียบนิ่ง หลังจากนั้นครู่หนึ่งก็วางหมาก เอ่ยเสียงเบา

“ท่านอาจารย์ไฟชีวิตดวงที่ห้ามีข้อดีอะไรหรือขอรับ”

“ข้อดีของมันจะแสดงออกมาในเสี้ยวพริบตาที่ทะลวงระดับแก่นลมปราณวังสวรรค์” นายท่านเจ็ดยิ้ม

“เจ้าน่าจะเคยได้ยินประโยคที่กล่าวว่าจุดไฟชีวิตส่องสว่างวังสวรรค์ วังสวรรค์ในที่นี่…ก็คือประเด็นสำคัญของระดับแก่นลมปราณ

“ผู้บำเพ็ญระดับแก่นลมปราณวังสวรรค์ก็มีขีดจำกัดสูงสุดเหมือนกัน ขีดจำกัดสูงสุดนี้อยู่ที่ไฟชีวิต ไฟชีวิตส่องสว่างหกวัง นี่คือขีดจำกัดสุดท้ายของลูกศิษย์ที่พรสวรรค์ใช้ได้

“ซึ่งก็หมายความว่า ผู้ที่มีไฟชีวิตสามดวงสามารถส่องสว่างวังสวรรค์ได้หกวัง หลังจากที่หล่อเลี้ยงให้สว่างไสวได้ทุกวังโดยสมบูรณ์แล้วบรรจุแก่นลมปราณลงไป ก็จะเป็นสภาวะขั้นสูงสุดของพวกเขา แต่ความจริงแล้วนี่เป็นเพียงแค่พื้นฐานเท่านั้น” นายท่านเจ็ดพูดถึงตรงนี้ก็หยุดไปครู่หนึ่ง รอให้สวี่ชิงขบคิด

สวี่ชิงคล้ายครุ่นคิด หลังจากเงียบนิ่งไปก็ถามขึ้น

“กำลังรบไฟชีวิตสามสิบหกดวงหรือขอรับ”

“เจ้าจะเข้าใจอย่างนั้นก็ได้” นายท่านเจ็ดพยักหน้า

“เหตุที่บอกว่าเป็นพื้นฐาน เพราะเหนือท้องฟ้าเหนือวังทั้งหกมีหมอกแห่งชะตา ยังมีวังสวรรค์บางวังที่อยู่ในหมอกแห่งชะตา เนื่องจากถูกไอหมอกบดบัง ดังนั้นหากไม่ใช่ผู้เก่งกาจยอดเยี่ยมก็ยากที่จะส่องสว่างได้ มีเพียงไฟชีวิตสี่ดวงเท่านั้นที่จะสามารถส่องสว่างวังที่เจ็ดได้

“อย่าเห็นว่าเพิ่มมาอีกแค่วังเดียวเท่านั้น แต่เจ็ดวังสยบหกวังเหมือนเจ้ามีไฟชีวิตหกดวงสู้กับไฟชีวิตห้าดวงแบบนั้น ง่ายดายราวพลิกฝ่ามือ สังหารได้ในพริบตา”

“ดังนั้นผู้บำเพ็ญที่มีไฟชีวิตสี่ดวงพวกนั้น พวกเขาล้วนเฝ้าปรารถนาทะลวงเปิดช่องเวทที่หนึ่งร้อยยี่สิบเอ็ด ก่อไฟชีวิตดวงที่ห้า เพราะไฟชีวิตห้าดวงส่องสว่างแปดวัง ขีดจำกัดก็ยิ่งสูงขึ้น พลังในท้ายที่สุดแล้วก็ย่อมแข็งแกร่งขึ้น!”

เสียงของนายท่านเจ็ดดังก้องข้างหูสวี่ชิง สวี่ชิงหลังจากเงียบนิ่งขบคิดแล้วก็พยักหน้า

“ส่วนตะเกียงแห่งชีวิต บางทีเจ้าอาจจะสัมผัสได้แล้ว ความจริงคุณค่าของมันแสดงออกมาในขอบเขตสร้างฐานนี้ไม่มากนัก มีเพียงแก่นลมปราณวังสวรรค์เท่านั้นจึงจะสำแดงส่วนที่เหลือออกมาได้

“ผู้ที่มีตะเกียงแห่งชีวิต ในเสี้ยวพริบตาที่ก้าวสู่ระดับแก่นลมปราณวังสวรรค์ ตะเกียงแห่งชีวิตหนึ่งดวงจะสามารถเปิดวังสวรรค์ในหมอกแห่งชะตาได้เลยทันที ไม่จำเป็นต้องหล่อเลี้ยง ไม่จำเป็นต้องฝึกฝน เปิดได้ในทันที ตะเกียงแห่งชีวิตจะเปลี่ยนไปเป็นแก่นชีวิตที่คล้ายกับแก่นลมปราณ บรรจุอยู่ในนั้น

“ดังนั้น ด้วยพรสวรรค์ของเจ้า หากเดินมาถึงขีดจำกัดสูงสุดช่องเวทหนึ่งร้อยยี่สิบเอ็ดช่อง เช่นนั้นวังสวรรค์ของเจ้าสุดท้ายแล้วก็จะเป็นสิบวัง!” นายท่านเจ็ดมองสวี่ชิงอย่างล้ำลึกแวบหนึ่ง

“ตอนนี้เจ้ารู้ถึงคุณค่าของตะเกียงแห่งชีวิตที่มีต่อผู้บำเพ็ญระดับแก่นลมปราณหรือยัง”

สวี่ชิงสีหน้าเปลี่ยนไปเล็กน้อย ได้ยินนายท่านเจ็ดอธิบายมามากมายเช่นนี้ และนี่ยังเป็นครั้งเดียวที่สีหน้าของเขาเปลี่ยนไป เพราะการวิเคราะห์บางอย่างของเขาเมื่อก่อนหน้านี้ ตอนนี้นายท่านเจ็ดได้ยืนยันแล้ว นี่ทำให้จิตใจของเขายิ่งตึงเครียด

ความรู้สึกอันตรายอย่างรุนแรงเกาะกุมจิตใจของสวี่ชิง ความอันตรายนี้แน่นอนว่าไม่ได้มาจากนายท่านเจ็ด แต่มาจากประสงค์ร้ายที่ยังไม่รู้ที่มาจากผู้บำเพ็ญระดับแก่นลมปราณทั้งหลายที่ในอนาคตต้องพบเจอ

“กลัวหรือไม่” นายท่านเจ็ดหัวเราะถาม

“กลัวขอรับ” สวี่ชิงตอบตามจริง

“เช่นนั้นเจ้าจะทำเช่นไร” นายท่านเจ็ดถามอย่างสนใจ

สวี่ชิงสูดลมหายใจลึก ค่อยๆ สงบจิตใจ เรื่องนี้ไม่อาจเปลี่ยนแปลงได้ หากอยากหลบเลี่ยงก็มีเพียงแค่ตัวเองรีบก่อไฟชีวิตดวงที่สี่และลองไปก่อดวงที่ห้าต่อ ทำให้ดีที่สุด แต่หากไม่ได้ก็ไม่ฝืน พยายามทะลวงขั้นก้าวสู่ระดับแก่นลมปราณให้เร็วที่สุด

ทันทีที่สำเร็จระดับแก่นลมปราณวังสวรรค์เขาก็จะมีวังสวรรค์ที่สมบูรณ์แบบเลยทันทีสองวัง ถึงตอนนั้นเมื่อรวมกับพิษของเขาแล้ว ถึงพอจะนับได้ว่าปลอดภัย

แต่ความคิดพวกนี้สวี่ชิงรู้สึกว่าเป็นเพียงแค่แผนในระยะยาว เขาเงียบนิ่งไปครู่หนึ่ง แอบมองนายท่านเจ็ดแวบหนึ่ง นึกถึงหลังจากที่ตัวเองสู้กับเซิ่งอวิ๋นผู้ปราดเปรื่องก่อนหน้านี้ นายท่านเจ็ดตำหนิว่าทำไมตนจึงไม่ไปหาพี่ใหญ่ พี่รอง พี่สามช่วยกันลงมือ ดังนั้นแล้วจึงเอ่ยเสียงแผ่วเบาขึ้นว่า

“ท่านอาจารย์ช่วยข้าด้วยขอรับ”

นายท่านเจ็ดได้ยินดังนั้นก็หัวเราะฮ่าๆ พอใจกับคำตอบนี้ของสวี่ชิงเป็นอย่างมาก เขาชี้ไปที่ศีรษะของสวี่ชิง

“กวานสวรรค์ม่วงสูงสุดที่ข้ามอบให้เจ้าเมื่อก่อนหน้านี้จงใส่มันอย่าได้ถอด นั่นคือการคุ้มครองระดับปราณก่อนกำเนิดที่ข้ามอบให้เจ้า!” พูดแล้วนายท่านเจ็ดก็สะบัดมือ แสงห้ากลุ่มลอยออกมาจากแขนเสื้อของเขา เขาดีดกลุ่มหนึ่งออกไป แสงกลุ่มนั้นหายไปแปรเปลี่ยนเป็นแผ่นหยกลอยไปหาสวี่ชิง

“วิธีใช้อยู่ในนั้น อีกเดี๋ยวเจ้ากลับไปศึกษาดู”

สวี่ชิงรับเอาไว้ หัวใจเต้นเร็วขึ้น มองไปทางแสงอีกสี่กลุ่มที่เหลือ

นายท่านเจ็ดดีดออกไปอีกครั้ง แสงกลุ่มที่สองประชิดเข้าไปใกล้สวี่ชิงอย่างรวดเร็ว หลังจากที่เขาคว้ามันเอาไว้ ประกายแสงก็หายไป กลายเป็นตุ๊กตาผ้าขนาดประมาณฝ่ามือตัวหนึ่ง

ตุ๊กตาผ้าตัวนี้ราววัตถุมีชีวิต ดวงตากรอกหมุนอย่างรวดเร็ว แล้วจ้องสวี่ชิงเขม็งทันที อ้าปากเผยให้เห็นฟันคมกริบ ดีดดิ้นอยู่ในมือสวี่ชิง คล้ายว่าไม่พอใจที่ถูกคนจับเอาไว้

“นี่คือตุ๊กตาผีตัวตายตัวแทน ถือเป็นวัตถุที่ระดับความประหลาดสูงมาก มันเกิดมามีสามชีวิต หลังจากที่เจ้าทำสัญญาเลือดกับมันแล้ว มันจะตายแทนเจ้าได้สามครั้ง เจ้าอยู่ในสำนักไม่เป็นไร แต่หากออกไปข้างนอกจำไว้ว่าพกมันออกไปด้วย”

สวี่ชิงใจเต้นรัว กำตุ๊กตาผีตัวตายตัวแทนตัวนี้เอาไว้แน่น บางทีอาจจะใช้แรงมากไป ตุ๊กตาผีตัวนั้นส่งเสียงร้องน่าเวทนาออกมา ดิ้นรนแรงยิ่งขึ้น

สรุปแล้วสว่างจ้ามาก

นายท่านเจ็ดจิตใจเบิกบาน หัวเราะพลางเอ่ย

“เคล็ดวิชาระดับราชันยากจะสอนกันได้ ข้าเองก็ไม่อาจสอนเจ้าได้ เจ้าจำต้องศึกษา ยกระดับด้วยตัวเอง ข้าบอกได้เพียงว่า เคล็ดวิชาระดับราชันหากยกระดับแล้วพลังอำนาจจะยิ่งน่ากลัว และวิธียกระดับที่เร็วที่สุดก็คือกลืนกินสารกาย ปราณ และจิตที่หลอมจากเคล็ดวิชาระดับราชันของคนอื่น แน่นอน…หากเป็นเคล็ดวิชาระดับราชันประเภทเดียวกันได้ผลดีที่สุด”

สวี่ชิงรูม่านตาหดเล็ก

“ตอนนี้เจ้ายังอ่อนแอมาก อีกทั้งประธานพันธมิตรก็ไม่ใช่คนจิตใจคับแคบ จะอย่างไรก็ต้องชั่งน้ำหนักถึงเบื้องหลังสำนักเจ็ดเนตรโลหิตของเจ้าและข้อดีที่จะได้จากการลงมือว่ามากน้อยเท่าใด ดังนั้นเจ้ายังไม่ต้องกังวลว่าเรื่องนี้จะเป็นภัยคุกคามกับเจ้า”

สวี่ชิงพยักหน้า ในหัวมีเมี่ยเหมิงของเซิ่งอวิ๋นผู้ปราดเปรื่องปรากฏขึ้น จู่ๆ ในใจก็กระหายขึ้นมา จากนั้นก็จ้องแสงกลุ่มที่สามข้างกายนายท่านเจ็ดกลุ่มนั้นตาไม่กะพริบ

“จุดอ่อนเรื่องเจ้ามีเคล็ดวิชาน้อยที่เซิ่งอวิ๋นผู้ปราดเปรื่องพูด นั่นเป็นเพราะก่อนหน้านี้เจ้ายังไม่ได้คารวะฝากตัวเป็นศิษย์ ลูกศิษย์ของข้าทุกคนมีเคล็ดวิชาและพลังวิเศษที่แตกต่างกันไป ล้วนเป็นเพราะข้าทำการรวบรวมและจัดระเบียบให้โดยเฉพาะ รวมกับเลือกให้เฉพาะบุคคล”

นายท่านเจ็ดพูดพลางดีดแสงกลุ่มที่สามไปหาสวี่ชิงทางนั้น

ในแสงนี้ไม่ใช่วัตถุจริง แต่เป็นตราประทับ มันประทับมาที่หว่างคิ้วของสวี่ชิงแล้วประทับไปที่จิตใจของเขา กลายเป็นเสียงระฆังกึกก้องเป็นระลอกๆ ดังก้องในทะเลความรู้สึกของเขา

ขณะเดียวกัน เสียงของนายท่านเจ็ดก็เหมือนดังขึ้นพร้อมกับเสียงในหัวของสวี่ชิง

“วิชาแรกที่ข้าจะถ่ายทอดให้เจ้าคือวิชาเวทชื่อว่าคลื่นสมุทรเก้าซ้อน วิชานี้จะสร้างภาพมายาของมหาสมุทร พลังของเก้าคลื่นทบซ้อน สุดท้ายก่อเป็นคลื่นยักษ์ สยบสมุทรสะท้านฟ้า”

สวี่ชิงสูดลมหายใจลึก ดวงตาฉายประกายประหลาด ในหัวมีภาพของวิชานี้เป็นฉากๆ

ภาพยิ่งใหญ่ทรงพลังเป็นอย่างยิ่ง เพียงสะบัดมือก็เกิดมหาสมุทรขึ้นทั่วทั้งแปดทิศ คลื่นม้วนถาโถม แฝงด้วยพลังมหาสมุทรพิโรธ โหมซัดทุกสิ่ง บดขยี้ทำลายราบคาบ

“วิชาที่สองที่ข้าจะถ่ายทอดให้คือวิชาควบคุมสิ่งประหลาด ชื่อว่า…คาถาโลกันต์ทมิฬ!” นายท่านเจ็ดสะบัดมือ แสงกลุ่มที่สี่แปรเปลี่ยนเป็นตราประทับ ประทับไปที่หว่างคิ้วสวี่ชิงเช่นกัน

ครั้งนี้สัมผัสที่เกิดขึ้นไม่ใช่เสียงดังกึกก้องสนั่นหวั่นไหว แต่เป็นลมเย็นเยือกกลุ่มหนึ่งพัดมาในเลือดเนื้อทุกชุ่นของสวี่ชิง ทำให้ลมหายใจของเขากลายเป็นหมอกขาว

ในการรับรู้ของสวี่ชิง เขาเหมือนเห็นนิ้วที่แห้งเหี่ยวเป็นอย่างยิ่งนิ้วหนึ่งมาพร้อมด้วยความรู้สึกแปลกประหลาดมหาศาล ยื่นออกมาจากคลื่นวนสีดำมหึมาลูกหนึ่ง สยบสังหารซึ่งทุกสิ่ง น่าครั่นคร้ามตื่นตะลึงเป็นอย่างยิ่ง

“คาถาโลกันต์ทมิฬเป็นวิชาที่หลังจากข้าได้ศึกษาดัชนีโลกันต์ทมิฬแล้ว ก็ได้รวบรวมทุกสิ่งที่ได้ศึกษามาของตัวเองสร้างขึ้น

“และวิชาสุดท้ายที่จะถ่ายทอดให้เจ้า…ไม่ใช่วิชาเวท ไม่ใช่วิชาควบคุมสิ่งประหลาด แต่เป็นเคล็ดวิชาลับวิชาหนึ่งของข้าเอง!

“ข้าสังเกตเห็นว่าเวลาเจ้าสู้ชอบใช้หมัด เคล็ดวิชาลับนี้เหมาะกับเจ้ามา มันชื่อว่าใต้ปรโลก

“หลังจากสำแดงวิชานี้ ผู้ที่โดนแปดหมัดของเจ้าไปคนใดก็ตาม ในหมัดที่เก้าของเจ้าจะทำลายช่องเวทของเขาได้ช่องหนึ่ง ต่อให้เป็นระดับแก่นลมปราณวังสวรรค์ก็ยังต้องการแสงแห่งไฟชีวิต ต้องการพลังจากช่องเวท นี่คือรากฐาน!

“วิชานี้ทรงพลังเป็นอย่างยิ่ง เจ้าเล่ห์ยิ่งนัก เจ้าต้องใช้อย่างระมัดระวัง”

“หากใช้แล้ว ทำลายรากฐานของคนไม่นับเป็นอะไร แต่อีกฝ่ายสุดท้ายแล้วหากรอดไปได้แพร่งพรายเรื่องนี้ออกไป ในอนาคตเจ้ายากจะใช้วิชานี้วางแผนร้ายผู้อื่น นี่ถึงจะเป็นประเด็นสำคัญ”

นายท่านเจ็ดเอ่ยเสียงเบา มือขวาเพียงดีดออกไป แสงกลุ่มที่ห้าก็พุ่งตรงไปประทับตราสวี่ชิง

“ข้าใช้เคล็ดวิชาลับวิชานี้จนมาถึงตอนนี้ก็ยังไม่มีผู้ใดรู้

“และข้าก็จะถ่ายทอดให้เจ้าแค่คนเดียวเท่านั้น นี่ไม่ใช่ลำเอียง แต่ศิษย์พี่ทั้งสามของเขา รูปแบบของพวกเขาแตกต่างไปจากเจ้า

“ดังนั้นเจ้าต้องใช้อย่างระมัดระวัง”

ผู้กล้าเหนือกาลเวลา

ผู้กล้าเหนือกาลเวลา

Status: Ongoing
เมื่อเขากลายเป็นผู้รอดชีวิตเพียงคนเดียวในเมืองที่ถูกพลังของเทพเจ้าทำลายล้าง…รายละเอียดกำลังภายใน-เทพเขียนเรื่องใหม่จากนักเขียนชื่อดัง ‘เอ่อร์เกิน’ ผู้เขียน ‘หนึ่งความคิดนิจนิรันดร์’ ‘สู่วิถีสุรา’ ฟื้นลิขิตฟ้าข้าขอเป็นเขียน’ ‘หนึ่งฝ่ามือสยบโลกา’ เมื่อเทพเจ้าลืมตาจับจ้องมา โลกก็เกิดการเปลี่ยนแปลง ไอพลังประหลาดกระจัดกระจายไปทั้งโลกมนุษย์ เกิดการกลายพันธุ์ต่อสรรพชีวิตบนโลก ‘สวี่ชิง’ เด็กหนุ่มผู้รอดชีวิตใช้ชีวิตเพียงลำพัง ดิ้นรนเอาตัวรอดจากอสูรร้ายและไอพลังประหลาดได้พบกับพลังวิเศษ แต่ในโลกกลียุคเช่นนี้ ปลาใหญ่กินปลาเล็ก ผู้แข็งแกร่งเท่านั้นจึงจะมีชีวิตรอด เพื่อที่จะแก้แค้นให้กับคนที่รัก เพื่อตามหาครอบครัวที่อาจจะมีชีวิตอยู่ที่ใดสักแห่ง เขาจะต้องแข็งแกร่งขึ้นให้ได้ . . . เขาต้องรอด!!!

นิยายแนะนำ

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท