บทที่ 285 สำนักโลกันต์ทมิฬอีกแห่งหนึ่ง
สวี่ชิงดวงตาจ้องเพ่ง นายกองดวงตามีประกาย
สายตาของทั้งสองคนล้วนอยู่บนหลุมศพขนาดใหญ่นั่น หลุมศพนั้นสีดำสนิท ดูแล้วความอึมครึมเต็มเปี่ยม และยิ่งแผ่ซ่านประสบการณ์โชกโชน ราวกับผ่านการผันแปรของช่วงเวลา
โดยรวมสร้างขึ้นมาเหมือนแท่นบูชาเทพ สองด้านมีเสาตั้งอยู่ ด้านบนน่าจะเคยมีอักษรเขียนไว้ เวลานี้ลมชะไปจนเห็นไม่ชัด
และในแท่นบูชาเทพ ก็บูชาหินสลักรูปคนตัวเล็กนั่งขัดสมาธิอยู่
ใบหน้าของคนตัวเล็กนี้ก็ถูกลมชะไปเช่นกัน เหมือนไม่มีหน้าตา ดูแล้วแปลกประหลาดยิ่ง
สวี่ชิงกับนายกองมองหน้ากัน มองออกว่าต่างฝ่ายต่างระแวดระวัง พวกเขาไม่ทำอะไรบุ่มบ่าม เวลานี้ถอยหลังออกมาช้าๆ ไม่คิดจะเข้าไปตรวจสอบ แต่คิดจะนำเรื่องนี้กลับไปรายงานสำนักแทน
ถึงอย่างไรหลุมศพขนาดใหญ่นี้ก็ดูแปลกประหลาด และตัวอักษรบนป้ายหลุมศพ ก็ยังแผ่ความลึกลับและแปลกประหลาดออกมาด้วย
สำนักโลกันต์ทมิฬเป็นหนึ่งในสำนักบนของพันธมิตรแปดสำนัก แต่ที่นี่ กลับมีสำนักโลกันต์ทมิฬอีกสำนัก
โดยเฉพาะตอนที่นึกถึงสำนักโลกันต์ทมิฬ ในสมองสวี่ชิงก็ฉายภาพสายตาของจอมเซียนจื่อเสวียนคนนั้นขึ้นมา ทำให้สวี่ชิงรู้สึกไม่ค่อยดีนัก
แต่ตอนที่ทั้งสองกำลังจะออกไป จู่ๆ ด้านหลังหลุมศพใหญ่นี้ก็เลือนราง หลุมศพหลายหลุมแทงทะลุพื้นดินออกมา เพียงพริบตาก็ก่อตัวเป็นกลุ่มหลุมศพ จำนวนนับร้อยเป็นอย่างน้อย
ขณะที่ความน่าครั่นคร้ามยิ่งชัดเจนขึ้น ร่างของสวี่ชิงกับนายกองถอยฉากทันควัน แต่พริบตาต่อมา หลุมศพแท่นบูชาเทพนั่นก็มีเสียงครืนครัน ตัวหลุมศพด้านหลังแท่นบูชาเทพมีรอยแตกแยกออก เด็กน้อยที่มีปราณโบราณในชุดหรูหราคนหนึ่ง เดินออกมาจากด้านใน
เด็กคนนี้ผิวขาวซีด มีจุดสีแดงที่หว่างคิ้ว ดูจากเสื้อผ้าเหมือนเป็นคนยุคก่อน หลังจากเดินออกมาก็คารวะสวี่ชิงและนายกอง เอ่ยเสียงใสว่า
“ทั้งสองท่านไม่ต้องกังวล อาจารย์ของข้าขอเชิญท่านทั้งสองไปพบ”
ไม่รอให้สวี่ชิงกับนายกองตอบรับ เมื่อคำพูดของเด็กน้อยดังออกมา ฟ้าดินรอบด้านก็เปลี่ยนไปในพริบตา เลือนลางลงฉับพลัน จากนั้นก็แจ่มชัดขึ้น แต่รอบด้านทั้งหมดไม่ใช่ป่าด้านนอกสุสานอีกแล้ว ทว่ามาอยู่ในตำหนักใหญ่สีดำแห่งหนึ่งแทน
ตำหนักใหญ่นี้สิ่งของสีดำสนิท แม้จะมีไฟจากตะเกียงแต่ก็เป็นแสงสลัว ทำให้ทั้งตำหนักใหญ่ปราณหยินหนาแน่น ขณะเดียวกันก็มีแรงกดดันที่สั่นสะเทือนจิตวิญญาณด้วย รวมตัวกันจากทั้งแปดทิศทาง
ต้นกำเนิดของแรงกดดันนี้มาจากร่างเงาที่ถูกเงามืดคลุมไว้ร่างหนึ่ง นั่งขัดสมาธิอยู่บนแท่นในตำหนักใหญ่ คนนอกมองเห็นเพียงโครงร่างเท่านั้น มองรายละเอียดไม่ชัด
สวี่ชิงม่านตาหดลง นายกองก็เช่นกัน ทั้งสองคนสบตากันอย่างรวดเร็ว ล้วนมองเห็นความตกตะลึงในดวงตาของอีกฝ่าย
‘เคลื่อนรูปย้ายตำแหน่ง? เคลื่อนย้ายมิติ? หดย่อพื้นที่?’ ตอนที่นายกองสูดลมหายใจ ร่างเงาที่เต็มไปด้วยเงามืดที่กำลังนั่งขัดสมาธิในตำแหน่งที่นั่งหลัก เอ่ยขึ้นเรียบๆ ส่งเสียงแหบพร่าออกมา
“สหายทั้งสองท่าน คงเข้ามาเพราะเรื่องขุดลอกแม่น้ำสินะ”
สวี่ชิงไม่พูดอะไร แผ่ประสาทสัมผัส เพื่อยืนยันตำแหน่งที่ตนเองอยู่ ขณะเดียวกันก็ตรวจสอบว่ารอบๆ มีการปิดผนึกการส่งข้ามหรือไม่ หลังจากพบว่าไม่มีการปิดผนึก ในใจเขาก็ผ่อนโล่ง แต่ก็ยังระแวดระวังมาก
นายกองสีหน้าไม่เปลี่ยน ทดสอบส่งสื่อเสียงไปยังศิษย์กรมคุ้มครองพิเศษ พลางหัวเราะ ขึ้นมา
“เรียนผู้อาวุโส พวกข้าไม่กล้าหลอกลวง พวกเราคือศิษย์พันธมิตรแปดสำนัก เข้ามาเพราะเรื่องนี้ด้วยหน้าที่ โปรดผู้อาวุโสเข้าใจด้วย”
ตำหนักใหญ่นิ่งงัน ความรู้สึกกดดันยิ่งรุนแรงขึ้น คนที่นั่งอยู่ในความมืดเอ่ยเสียงเรียบ
“ช่วงนี้ข้ากำลังหลอมยาลูกกลอนโลกันต์ทมิฬอยู่หม้อหนึ่ง จำเป็นต้องใช้น้ำจากแม่น้ำคอยชะล้าง มากสุดแค่ห้าวันก็เสร็จสิ้น เมื่อถึงตอนนั้นข้าจะกลบทางน้ำ”
“ข้อเรียกร้องของผู้อาวุโส ย่อมไม่มีปัญหา เรื่องนี้พวกเราก็จะไม่รายงานต่อพันธมิตรแปดสำนักย ผู้อาวุโสไม่จำเป็นต้องกลบภายในห้าวัน ท่านกลบทิ้งตามเวลาที่ต้องการก็ได้” นายกองเอ่ยกลั้วหัวเราะ ดูเหมือนนอบน้อม แต่ดวงตากลับกะพริบหลายต่อหลายครั้ง กวาดมองเข้าไปในความมืด ขณะเดียวกันมือขวาก็ไพล่หลังส่งสัญญาณมือให้สวี่ชิง
สวี่ชิงก็เหมือนจะกวาดสายตาไปอย่างไม่ตั้งใจ จากนั้นก็ก้มหน้าลงมองเจ้าเงาใต้เท้า
เจ้าเงาทางนั้น ก็แสดงออกเป็นภาพอย่างรวดเร็ว เป็นชายชรากำลังกินหนอนอยู่ ยิ่งไปกว่านั้นความสามารถของเจ้าเงาก็เหมือนยกระดับขึ้นมาอย่างชัดเจน ภาพที่วาดออกมาดูเสมือนจริง กระทั่งสีหน้าลับๆ ล่อๆ ก็ยังแสดงออกมาชัดเจน
หนอนที่เขากินใหญ่ขนาดเท่าหัวแม่มือ ยิ่งกังวลก็ยิ่งกินเยอะขึ้น
จุดที่นั่งขัดสมาธิอยู่คือหินใหญ่ก้อนหนึ่ง ระหว่างที่เขากินหนอนเข้าไป หินก็มีการเปลี่ยนแปลง เหมือนจะแปลกประหลาดเล็กน้อย กำลังปล่อยฟองอากาศออกมา และสวี่ชิงกับนายกองเวลานี้ ก็ยืนอยู่ที่กลางอากาศเบื้องหน้าชายชราคนนั้น ถูกฟองน้ำล้อมรอบเอาไว้
ขณะเดียวกัน ในภาพของเจ้าเงา ก็ยังมีร่างเงาอีกเจ็ดแปดคนอยู่ด้านนอกฟองสบู่ ใบหน้าเคร่งขรึมกันหมด
สวี่ชิงดวงตาเบิกกว้าง หลังมองอย่างละเอียด เงยหน้าขึ้น จ้องมองอย่างพินิจที่ร่างเงานั่งขัดสมาธิที่ซ่อนอยู่ในความมืด ซึ่งคอยแผ่ซ่านแรงกดดันน่ากลัว น้ำเสียงเรียบสงบราวกับเป็นผู้สูงส่งจากนอกโลก
“เช่นนี้ก็ดี เจ้าทั้งสองคนไม่ต้องกังวล เห็นแก่สำนักโลกันต์ทมิฬในพันธมิตร ข้าจะไม่สร้างความลำบากใจกับพวกเจ้า พวกเจ้าจงหันหลังแล้วเดินไปเรื่อยๆ หลังจากผ่านไปหนึ่งร้อยก้าวก็จะออกไปได้ จำเอาไว้…ห้ามหันกลับมา ข้ากังวลว่าข้าจะอดใจไม่ไหวแล้วจับเจ้าทั้งสองกิน”
ร่างที่นั่งขัดสมาธิ เสียงแผ่วเบา แผ่ความประหลาดน่าขนลุกออกมา โดยเฉพาะสี่คำหลัง ก็มีเสียงกลืนน้ำลายปนมาด้วย เหมือนพยายามสะกดกลั้นอยู่ น่าขนพองสยองเกล้าเสียจริง
“เร็วเข้า!”
พริบตาแสงสลัวในตำหนักใหญ่ก็สั่นไหว ขณะที่บรรยากาศตึงเครียดขึ้น ความเร็วในการกะพริบตาของนายกองก็ไวมากขึ้น จ้องไปยังเงาที่ซ่อนอยู่ในความมืดเขม็ง ในดวงตาก็ค่อยๆ เผยประกายออกมา
“เจ้ายังไม่ไปอีกหรือ” น้ำเสียงเงาในความมืดเปลี่ยนไปเล็กน้อย
“ให้ตายเถอะ ปลอมเสียเหมือนเชียว! เกือบจะปิดบังข้าได้แล้ว!” จู่ๆ นายกองก็เอ่ยขึ้น พุ่งตรงไปยังความมืด ขณะที่ร่างในความมืดอุทานอย่างตกใจ นายกองก็ไปถึงเบื้องหน้าก็ตะปบไป
สวี่ชิงเองก็ลงมือพร้อมกัน เพลิงพิฆาตระเบิดครืนครันไปทั้งสี่ทิศ พริบตาต่อมา รอบด้านก็อื้ออึง ตำหนักใหญ่สลายหาย หลุมศพสลายหาย
ที่นี่ยังคงเป็นป่าในภูเขาล้ำบารมีพ้นเคราะห์ภัย และตำแหน่งหลุมศพใหญ่เบื้องหน้า เวลานี้จากการที่หลุมศพหายไป ก็เผยให้เห็นสำนักเล็กๆ สำนักหนึ่ง
ในสำนัก เป็นเรือนไม้เจ็ดแปดห้อง นอกสำนักทรุดโทรม แตกต่างกับสิ่งที่สวี่ชิงและนายกองเห็นกองหน้าทั้งหมด
เห็นได้ชัดว่าก่อนหน้านี้พวกเขาโดนวิชาภาพมายา สิ่งเดียวที่เหมือนกันคือ ป้ายหินนอกสำนัก ด้านบนยังเขียนว่าสำนักโลกันต์ทมิฬอยู่จริงๆ
ตอนนี้ สวี่ชิงกับนายกอง ยืนอยู่นอกสำนัก เบื้องหน้าพวกเขาคือชายชราสกปรกมอมแมมคนหนึ่งกำลังหวาดกลัว ในมือถือหนอนที่เหมือนกับก้อนหินอยู่ ล่าถอยอย่างรวดเร็ว
ส่วนรอบๆ คือศิษย์สำนักนี้อีกเจ็ดแปดคน แต่ละคนหน้าเหลืองผอมโซ ดวงตาหวาดกลัวตกตะลึง พากันกระจายตัว
เห็นความโหดเหี้ยมในตานายกอง ชายชราที่ถอยหนีก็รีบร้อนร้องเสียงหลง
“สหายทั้งสองโปรดเมตตาด้วย เห็นแก่ที่เพื่อนมนุษย์ด้วยกัน โปรดเมตตาด้วย!”
นายกองไม่สนใจการอ้อนวอนของชายชราคนนี้ พุ่งออกไปในพริบตา ทะยานไปหาชายชรา ส่วนสวี่ชิงก็กวาดตาไปรอบๆ เมื่อยืนยันว่าอาการหน้าเหลืองผอมโซของคนเหล่านี้ไม่เหมือนเรื่องหลอกลวง ขณะเดียวกันก็รู้ว่านี่ไม่ใช่ภาพมายาอีกต่อไปผ่านเจ้าเงา
นอกจากนี้จุดสำคัญที่เห็นคือก้อนหินใหญ่ที่ชายชรานั่งขัดสมาธิอยู่ก่อนหน้า
หินดำก้อนนี้ ดูแล้วไม่มีจุดใดที่พิเศษ ดูธรรมดามาก
สวี่ชิงหรี่ตา สังเกตหินก้อนใหญ่นี้อย่างละเอียด จากนั้นมองไปทางชายชราที่ลมหายใจติดขัดถูกนายกองคว้าคอไว้แล้วกดกับบนพื้นอย่างแรง
พลังบำเพ็ญชายชรานี้ไม่สูงมาก เพียงแค่ไฟชีวิตสองดวงเท่านั้น
หลังจากร่างของเขาร่วงลงกับพื้น เท้าขวานายกองก็ยกขึ้นเหยียบไปบนจุดตันเถียนของชายชรา จากนั้นก็เผยรอยยิ้มเหี้ยมเกรียม
“ตาแก่ เจ้ากล้าหลอกข้าหรือ ไม่ใช่ว่าเจ้าจะกินข้าหรือไร ข้านี่ล่ะจะกินเจ้า!”
“สำนักบนโปรดระงับโทสะ โปรดระงับโทสะด้วยเถิด พวกข้าไม่มีทางเลือก โปรดเห็นแก่ความเป็นเพื่อนมนุษย์ โปรดปล่อยพวกข้าไปเถิด ด้วยอาจารย์ไม่มีทางเลือกจึงต้องใช้แผนนี้” ศิษย์ที่กำลังตึงเครียดอยู่รอบๆ เหล่านั้น แต่ละคนหน้าซีดเซียว ชายกลางคนหนึ่งในนี้รีบร้อนอ้อนวอน
สวี่ชิงสีหน้าปกติ ยังคงระแวดระวัง สำหรับศัตรูแล้ว เขาไม่มีความรู้สึกเห็นใจ แม้ว่าตอนนี้ยากจะแยกแยะผิดชอบชั่วดีได้ แต่จะเกิดความรู้สึกสงสารไม่ได้
“สหายโปรดไว้ชีวิตด้วย พวกเราก็หวาดกลัวพลังของสำนักบนเช่นกันจึงต้องทำเช่นนี้ ไม่มีใจคิดร้าย เมื่อครู่ก็แค่อยากให้สหายทั้งสองจากไปเท่านั้น” มุมปากชายชรามีเลือดซึม ร่างกายสั่นเทิ้ม มองนายกองเอ่ยด้วยเสียงสั่นเทา
“เมื่อครู่นี้เจ้าสร้างเขตแดนมายาได้อย่างไร” จู่ๆ สวี่ชิงก็ถามขึ้น
“สหาย สำนักข้ามีสมบัติอยู่ชิ้นหนึ่ง ใช้วิธีพิเศษในการกระตุ้น สามารถสร้างเขตแดนมายาได้ แต่ของสิ่งนี้เกิดขึ้นที่นี่ คนนอกไม่อาจนำออกไปได้ ด้วยเหตุนี้ พวกเราจึงย้ายสำนักมาที่แห่งนี้”
ชายชรารีบตอบ ไม่กล้าปิดบังแม้แต่น้อย พูดจบก็ชี้ไปยังหินก้อนใหญ่ที่อยู่ไม่ไกล
“สำนักเล็กๆ ของพวกเรา ทำเพื่อปากท้อง เพื่อมีชีวิตรอดต่อไปเช่นกัน จึงจำใจต้องขุดลอกทางน้ำออกมา สหายสำนักบนโปรดระงับโทสะด้วย”
นายกองมองหินใหญ่ก้อนนั้น ดวงตาเผยประกายประหลาด สวี่ชิงเดินไป หลังจากสังเกตอย่างละเอียด ก็หันหน้ามามองชายชรา
“เหตุใดพวกเจ้าจึงแทนตัวว่าสำนักโลกันต์ทมิฬ”
ชายชราตกตะลึง ศิษย์รอบด้านก็ชะงักไป
“ส…สหาย ก็พวกเราคือสำนักโลกันต์ทมิฬนี่นา โอ้ๆๆๆ ข้าเข้าใจแล้ว สหายเจ้าคงเพิ่งมาแผ่นดินใหญ่ต้องประสงค์ใช่หรือไม่ เจ็ดเนตรโลหิตแห่งพันธมิตร?” ชายชราเข้าใจสถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลงไปของพันธมิตรเป็นอย่างดี เวลานี้ลุกลี้ลุกลนขึ้นมา แต่ก็ถูกนายกองออกแรงเหยียบ
“พูดดีๆ”
ชายชราสั่นเทาทันที จึงนอบน้อมมากขึ้น
“คือเช่นนี้สหายทั้งสอง สำนักโลกันต์ทมิฬในแผ่นดินใหญ่ต้องประสงค์ถ้าไม่ใช่หนึ่งหมื่นก็มีอยู่ถึงเจ็ดแปดพันสำนัก ทั้งหมดที่เข้าใกล้สัมผัสกับจักรพรรดิโบราณเสวียนโยว ล้วนเรียกว่าสำนักโลกันต์ทมิฬได้ทั้งสิ้น ทุกคนพูดได้ว่าตนเองคือสำนักดั้งเดิม”
สำหรับคำตอบนี้ สวี่ชิงรู้สึกเกินคาด ส่วนนายกองทางนั้น จุดสำคัญของคำพูดนี้ไม่ใช่ว่าเพราะอะไรจึงเรียกว่าสำนักโลกันต์ทมิฬ แต่เป็น…
“พวกเจ้าเข้าใกล้สัมผัสกับจักรพรรดิโบราณเสวียนโยวได้อย่างไร วิชาหรือ สมบัติหรือ หรือว่าสิ่งสืบทอด” ดวงตานายกองเผยประกายหม่น กลืนน้ำลายเอื๊อก อยู่ในท่าทีพยายามสะกดไม่กลืนกินอีกฝ่าย
ชายชราหวาดกลัวประกายในดวงตาของนายกองมากอย่างชัดเจน รีบร้อนแผดเสียงไปหาศิษย์ที่อยู่รอบๆ
“พวกเจ้ารีบไปยกสมบัติของสำนักออกมา!!”