บทที่ 291 เกรียงไกรไร้ผู้เทียมทาน
สวี่ชิงไม่แสดงอารมณ์ใดๆ ออกมา หลังจากเก็บซ่อนทุกอย่างลงไปแล้วก็ขัดสมาธินั่งสมาธิอีกชั่วยามกว่าๆ
ด้านหนึ่งคือทำเรื่องที่ทะลวงเปิดช่องเวทไม่สำเร็จให้สมบูรณ์ ไม่เผยช่องโหว่ให้เห็น
อีกด้านคือการเปลี่ยนแปลงของร่างกายเขาหลังจากที่สัมผัสไฟชีวิตสี่ดวง
กำลังรบชัดเจนเป็นอย่างยิ่ง พัฒนาไปอย่างมาก
นอกจากนี้ สวี่ชิงยังสัมผัสได้ว่าช่องเวทหนึ่งร้อยยี่สิบช่องไม่ใช่ขีดจำกัดสูงสุดจริงๆ ด้วย เขาสัมผัสได้ลางๆ ว่าตัวเขายังไม่สมบูรณ์แบบ ขาดช่องเวทไปหนึ่งช่อง
‘สิ่งที่ขาดไปก็คือช่องเวทที่หนึ่งร้อยยี่สิบเอ็ดที่ท่านอาจารย์บอกไว้ ซึ่งก็เป็นช่องเวทช่องสุดท้ายที่ผู้บำเพ็ญไฟชีวิตสี่ดวงต่างเฝ้าปรารถนาที่จะทะลวงเปิด’
สวี่ชิงพึมพำในใจ
‘ระหว่างความเป็นความตายถึงจะทะลวงเปิดช่องเวทช่องที่หนึ่งร้อยยี่สิบเอ็ดได้อย่างนั้นหรือ’ สวี่ชิงลองหาแต่ก็ไร้ผล นึกถึงคำพูดของนายท่านเจ็ด ในขณะเดียวกับที่ครุ่นคิด ก็ไม่ได้รีบร้อนไปทะลวงเปิดช่องเวทช่องสุดท้ายนี้
“คัมภีร์เพลิงพิฆาตกลืนวิญญาณมีเพียงฝึกบำเพ็ญจนถึงขั้นบริบูรณ์เท่านั้นจึงจะสำแดงพลังที่แท้จริงของมันได้…สะกดวิญญาณระดับเดียวกันเอาไว้ในช่องเวทที่มีระดับสอดคล้องกัน
“ช่องเวทหนึ่งร้อยยี่สิบช่องของข้า สะกดได้หนึ่งร้อยยี่สิบวิญญาณ!
“เช่นนี้แล้ว ในขณะเดียวกับที่ทำให้พลังช่องเวทของข้าเพิ่มขึ้น ก็สามารถสำแดงวิชาพิฆาต กลืนกินวิญญาณ…เพลิงวิญญาณสลัวได้!” สวี่ชิงพึมพำ นอกจากนี้เขายังรู้ดีอีกว่าหากวิญญาณหนึ่งร้อยยี่สิบดวงถูกตนสะกด ก็จะแปรเปลี่ยนให้เป็นตัวตนที่เหมือนกับวิญญาณศัสตราได้ ทำให้เรือเวทของตนยกระดับเป็นเรือศึกเวททันที
พลังเพิ่มขึ้นมหาศาล
“ถึงตอนนั้นหากทะลวงเปิดช่องเวทที่หนึ่งร้อยยี่สิบเอ็ดไม่ได้ ข้าก็ไม่จำเป็นทำทุกเรื่องให้ถึงขีดจำกัดสูงสุด ก้าวเข้าสู่ระดับแก่นลมปราณวังสวรรค์ไปเลย”
สวี่ชิงตัดสินใจเด็ดเดี่ยว กำลังจะลุกขึ้นจากไป แต่สายตาเพียงกวาดก็จับจ้องไปที่หัวอสรพิษปีศาจและหมุดสวรรค์มหึมาที่อยู่กลางทะเลสาบสีเลือด
มองหมุดสวรรค์ สวี่ชิงสัมผัสได้รางๆ ถึงพลังน่าครั่นคร้ามที่แผ่ออกมาจากในนั้น ตามประวัติศาสตร์ที่เขารู้ หมุดนี้เป็นวัตถุที่หลอมขึ้นในพริบตาจากการที่จักรพรรดิโบราณหลอมห้าธาตุขึ้นมาได้อย่างสบายๆ
เขาจินตนาการไม่ออกเลยว่านั่นเป็นพลังบำเพ็ญแบบใดที่แค่เอื้อมมือคว้าไปง่ายๆ ก็หลอมหมุดที่น่าประหวั่นพรั่นพรึง สะกดอสรพิษปีศาจระดับหวนสู่อนัตตาขอบเขตใหญ่ขั้นที่สองได้แสนปี
อีกทั้งอสรพิษปีศาจเหี่ยวแห้ง แต่หมุดยังคงอยู่
‘ไม่รู้ว่าเมื่อใดข้าจะทำแบบนี้ได้บ้าง’ จิตใจสวี่ชิงเกิดคลื่นซัดโหม มองหมุดสวรรค์ก็พลันเกิดความรู้สึกเหมือนมองดาบสะบั้นไพศาลในตอนนั้น
ในดวงตาของเขาค่อยๆ มีประกายแสงแปลกประหลาดปรากฏขึ้น พยายามลองวาดเค้าโครงของหมุดนี้ขึ้นมาในใจ
ที่ศาลเจ้าในพื้นที่ต้องห้ามฐานที่มั่นคนเก็บกวาดในตอนนั้นเขาก็ทำแบบนี้
เพียงแต่ระดับของหมุดสวรรค์นี้สูงมาก การวาดเค้าโครงของสวี่ชิงไม่ราบรื่น เหมือนรูปร่างของหมุดนี้ยากที่คนจะจำได้อย่างชัดเจน มีท่วงทำนองเต๋ากลุ่มหนึ่งรบกวน
จนเมื่อเวลาอยู่ในแดนวาสนาของเขาถึงขีดจำกัด สวี่ชิงก็แค่กล้อมแกล้มฝังเค้าร่างรางเลือนของมันเอาไว้ในใจได้เท่านั้น
ยังต้องลอกแบบหมุดนี้ต่อไป เช่นนี้บางทีอาจจะมีเศษเสี้ยวของความเป็นไปได้ เหมือนตอนที่สัมผัสดาบสะบั้นไพศาลแบบนั้น ค่อยๆ สำแดงมันออกมา
ท้ายที่สุดแล้วจะสำเร็จหรือไม่ สวี่ชิงเองก็ไม่รู้เหมือนกัน
เขาแค่รู้สึกว่าหมุดสวรรค์นี้แฝงไว้ด้วยจิตน่าตื่นตะลึง จิตนี้น่าครั่นคร้าม หากตนสำแดงมันออกมาได้ ด้านการโจมตีสังหารจะต้องน่ากลัวจนถึงขีดสุดแน่นอน
“น่าเสียดายหากคัดลอกจิตของมันที่นี่ได้ทุกวัน บางทีความเป็นไปได้ที่จะสำเร็จก็อาจจะมากขึ้น” สวี่ชิงเสียดายนิดๆ ในเสี้ยวพริบตาที่เขาลุกขึ้น ข้างหน้าก็มีคลื่นวนลูกหนึ่งปรากฏขึ้น
ไม่ยอมให้ปฏิเสธ แรงดูดของคลื่นวนลูกนี้ปกคลุมเงาร่างของเขาในพริบตา ที่ถูกคลื่นวนประเภทนี้เข้าปกคลุมยังมีนายกองที่จ้องเขี้ยวนั่นอยู่ตลอดกับอู๋เจี้ยนอูที่ใบหน้าเต็มไปด้วยความเศร้าใจ
เงาร่างทั้งสามหายไปในทันที ในตอนที่ปรากฏขึ้นอีกครั้งก็มีอยู่ที่นอกแดนวาสนาสำนักโลกันต์ทมิฬแล้ว
ในตอนที่เข้าไป อารมณ์ของพวกเขาทั้งสามแตกต่างกันไป สวี่ชิงจิตใจซับซ้อนกับการมาของของจอมเซียนจื่อเสวียน อู๋เจี้ยนอูเฝ้ารอร่องรอยของจักรพรรดิโบราณเสวียนโยวที่เลื่อมใสบูชา นายกองนั้นทอดถอนใจที่จอมเซียนจื่อเสวียนมาช้าไป
แต่ในตอนออกมา อารมณ์ของพวกเขาทั้งสามคนนั้นเหมือนกัน ล้วนมีความรู้สึกเสียดายมาก
สวี่ชิงเสียดายที่เวลาน้อยมาก ไม่สามารถสัมผัสรับรู้หมุดได้นาน อู๋เจี้ยนอูเสียดายที่ตัวเองยังไม่สะใจ และครั้งหน้าหากอยากมาก็ต้องจ่ายด้วยหินวิญญาณมหาศาล
ส่วนนายกองก็เสียดายที่เขี้ยวนั่นยังไม่ใช่ของตัวเอง
ทั้งสามคนทอดถอนใจไปจากสำนักโลกันต์ทมิฬด้วยความรู้สึกเสียดายเช่นนี้เอง
และในเสี้ยวพริบตาที่ลงเขามา แผ่นหยกสื่อเสียงของสวี่ชิงก็พลันมีข้อความจำนวนมหาศาล เขาเปิดออกอย่างประหลาดใจ หลังจากอ่านแล้วสีหน้าก็เคร่งขรึมขึ้นมาทันที จิตสังหารพุ่งขึ้นในตัวสวี่ชิงทันที
ในนั้นล้วนเป็นเรื่องที่เซิ่งอวิ๋นผู้ปราดเปรื่องออกจากด่าน จะท้าประลองกับเขาทั้งสิ้น เวลาคือเมื่อสองวันก่อน สถานที่ไม่ใช่สำนักกระบี่เมฆาจรดฟ้า และก็ไม่ใช่สำนักเจ็ดเนตรโลหิต แต่เป็นพื้นที่ที่ห่างไปจากที่นี่ไม่ไกลแห่งหนึ่ง
ที่นั่นชื่อว่าเขามรรคาทมิฬเป็นพื้นที่ของขั้วอำนาจสำนักโลกันต์ทมิฬ เป็นหนึ่งในสี่ลานเต๋าของพันธมิตรแปดสำนัก
ปกติแล้วจะมีผู้แข็งแกร่งของพันธมิตรแปดสำนักไปแสดงเต๋าที่นั่นเป็นบางครั้ง
มองแผ่นหยก สายตาของสวี่ชิงเย็นชา ในขณะเดียวกับกลิ่นอายเย็นยะเยือก จิตสังหารก็ปะทุขึ้นในใจ
เซิ่งอวิ๋นผู้ปราดเปรื่อง เป็นศัตรูร้ายกาจที่ประมือด้วยยากลำบากที่สุดนับจากที่เขาบำเพ็ญเพียรมา
นายกองก็ได้รับข้อมูลจากโลกภายนอกแล้วเหมือนกัน หลังจากตรวจสอบแล้วก็พลันหัวเราะ
“อาชิงน้อย เซิ่งอวิ๋นผู้ปราดเปรื่องน่าจะทะลวงไฟชีวิตห้าดวงแล้ว ต้องการความช่วยเหลือจากศิษย์พี่หรือไม่”
“ขอบคุณศิษย์พี่มาก แต่ข้าทำให้เขาพ่ายแพ้มาแล้วครั้งหนึ่ง ก็ทำให้เขาแพ้ครั้งที่สองได้” สวี่ชิงเอ่ยอย่างสงบนิ่ง เงยหน้ามองท้องฟ้า หลังจากคำนวณเวลาแล้ว ก็เปลี่ยนทิศทางไปยังเขามรรคาทมิฬเลย
เซิ่งอวิ๋นผู้ปราดเปรื่องอยากประลองตัดสินเป็นตายกับสวี่ชิง สวี่ชิงก็อยากประลองแบบนี้เช่นกัน ตอนนี้เขารู้วิธีที่ทำให้เคล็ดวิชาระดับจักรพรรดิยกระดับได้เร็วที่สุดแล้ว นั่นก็คือกลืนกินเลือดจากสารกาย ปราณและจิตของคนที่ฝึกบำเพ็ญเคล็ดวิชาระดับจักรพรรดินั่นเอง
ดังนั้นสวี่ชิงจึงพุ่งตรงไปยังเขามรรคาทมิฬด้วยความกระหายในเมี่ยเหมิงของเซิ่งอวิ๋นผู้ปราดเปรื่อง ส่วนนายกองก็ตามอยู่ข้างหลัง
ส่วนอู๋เจี้ยนอู เห็นเรื่องใหญ่ถึงเพียงนี้ย่อมไม่ทิ้งกัน ดังนั้นไม่นาน ทั้งสามคนก็มาถึงเขามรรคาทมิฬ
ภูเขานี้เป็นภูเขาเตี้ยๆ บนยอดเขามีลานเต๋าที่กว้างใหญ่โอ่อา
ใช้หยกเขียวเป็นอิฐปู ศิลาขาวสลัก ในขณะเดียวกับที่พลังค่ายกลและพันธนาการลอยเอ่อ ที่ใจกลางของลานเต๋ายังมีแท่นพิธีเต๋าขนาดมหึมาอีกด้วย ธูปยักษ์สามเล่มที่เป็นสัญลักษณ์แทนฟ้า ดิน มนุษย์ จุดอยู่อยู่ทั้งเช้าค่ำ ทำให้ควันพวยพุ่งขึ้นฟ้าอยู่ตลอดไม่สลายหายไป
สวี่ชิงมาถึงที่นี่ก็เป็นเวลาพลบค่ำแล้ว ภายใต้ประกายแสงพรายจากดวงอาทิตย์อัสดงที่สาดส่องมา ลานเต๋าดูแล้วเต็มไปด้วยความอัศจรรย์
ที่นี่มีคนจำนวนไม่น้อยกำลังนั่งบำเพ็ญ ที่นี่ในยามที่ไม่มีผู้แข็งแกร่งพันธมิตรมาแสดงเต๋า ก็เป็นพื้นที่ฝึกฝนให้ลูกศิษย์เข้ามาแลกเปลี่ยนความรู้ฝีมือ
การปรากฏตัวขึ้นของสวี่ชิงทำให้เกิดเสียงฮือฮาจากลูกศิษย์ของพันธมิตรที่อยู่รอบๆ ทันที เห็นได้ชัดว่าเรื่องที่เซิ่งอวิ๋นผู้ปราดเปรื่องออกจากด่านท้าประลองสวี่ชิง แต่สวี่ชิงไม่ตอบมาสองวันแล้วเป็นกระแสร้อนของสำนัก
หลังจากที่มาถึงที่นี่ สวี่ชิงก็ขัดสมาธินั่งลง เขาคิดๆ แล้วเงยหน้าทอดสายตามองไปยังสำนักกระบี่เมฆาจรดฟ้า พลังเวทในกายรวบรวมมาที่ลำคอ ส่งเสียงต่ำทุ้มราวสายอัสนีคำรามออกไป
“เซิ่งอวิ๋นผู้ปราดเปรื่อง ไม่ต้องรอถึงพรุ่งนี้ ถ้าเจ้าจะสู้ ก็มาสู้กันตอนนี้เลย!”
เมื่อสวี่ชิงพูดออกไป เสียงก็ดังไปทั่วสารทิศ สายอัสนีส่งเสียงฟาดผ่าครืนครัน ขณะเดียวกับที่เสียงดังกึกก้องไปทั่วพันธมิตร ก็ดังไปในสำนักกระบี่เมฆาจรดฟ้า
เสี้ยวพริบตาต่อมา แสงเลือดทางหนึ่งก็พุ่งขึ้นมาจากสำนักกระบี่เมฆาจรดฟ้า ทำให้ท้องฟ้าเปลี่ยนสี แสงพรายยามอาทิตย์อัสดงกลายเป็นแสงสีแดงฉาน ในยามที่ท้องฟ้าฉาบไปด้วยสีแดงทั่วทั้งผืน เซิ่งอวิ๋นผู้ปราดเปรื่องในชุดคลุมยาวสีทองก็มือไพล่หลัง พุ่งมายังเขามรรคาทมิฬอย่างเร็วรี่
ในรุ้งยาว เซิ่งอวิ๋นผู้ปราดเปรื่องผมยาวสะบัดพริ้ว เสื้อคลุมยาวสีทองสะท้อนแสงสีแดงฉานบนท้องฟ้าทำให้ทั้งตัวเขาแผ่รังสีอำมิตท่วมท้นออกมา ใบหน้าที่เคยงดงามล้ำเนื่องจากความมืดมิดที่บริเวณตาขวามอบความรู้สึกประหลาดอย่างหนึ่งให้ผู้คน สูญเสียซึ่งความงาม ที่หลงเหลืออยู่มีเพียงความแปลกประหลาดเท่านั้น
โดยเฉพาะในตัวเขาเต็มไปด้วยความแค้น ไอความแค้นนี้แผ่มาทำให้ทั่วทุกทิศล้วนเย็นยะเยือก ทุกที่ที่เขาพาดผ่านเมฆแดงบนท้องฟ้ากดทับแปรเปลี่ยนเป็นปากมหึมาเหี้ยมโหดที่จะกลืนกินทุกสิ่ง กลืนกินฟ้าดิน
ส่วนไฟชีวิตห้าดวงในกายของเขาก็ยังปรากฏออกมาข้างนอก วนล้อมรอบกาย ทำให้เปลวเพลิงแผ่ออกมาภายนอก สีแดงฉานของท้องฟ้าทั้งผืนเหมือนถูกเผา เปลวเพลิงลุกโชนประดุจไฟบรรลัยกัลป์ ทรงพลังน่าหวาดหวั่น!
แทบจะในเสี้ยวพริบตาที่เซิ่งอวิ๋นผู้ปราดเปรื่องปรากฏตัวขึ้น ลูกศิษย์สำนักต่างๆ ในพันธมิตรก็ต่างจิตใจสั่นสะท้านไปทุกคน ทะยานขึ้นท้องฟ้าจากทั่วทุกสารทิศ พุ่งตรงมายังเขามรรคาทมิฬ
ศึกที่จะเกิดขึ้นต่อจากนี้สำหรับลูกศิษย์รุ่นนี้ของพันธมิตรแปดสำนักแล้ว มีอะไรควรค่าให้ดูมากมาย
นี่คือศึกของสองอัจฉริยะฟ้าประทานที่ดำรงตำแหน่งก่อนและหลัง โดยเฉพาะทุกคนต่างรู้ว่าระหว่างทั้งสองคนมีความแค้นชิงตะเกียงแห่งชีวิตกันมากก่อน กระทั่งว่าเซิ่งอวิ๋นผู้ปราดเปรื่องเกือบมอดม้วยแตกดับด้วยซ้ำ
สวี่ชิงคนนั้นแทบจะหลังจากที่ชิงตะเกียงแห่งชีวิตของเซิ่งอวิ๋นผู้ปราดเปรื่องมาได้ก็เหยียบชื่อเสียงของอีกฝ่ายในอดีต ก้าวเดียวทะยานสู่สรวงสรรค์
จินตนาการได้ว่านี่จะต้องเป็นศึกแห่งยุคอย่างแน่นอน
กระทั่งว่าบรรพจารย์ของพันธมิตรและผู้แข็งแกร่งสำนักทั้งหลายก็ต่างลืมตามองมายังเขามรรคาทมิฬ
สวี่ชิงเงยหน้า มองเมฆเพลิงท่วมฟ้าที่พุ่งมาจากทางสำนักกระบี่เมฆาจรดฟ้าอย่างรวดเร็ว สีหน้าของเขาสงบนิ่ง ดวงตาแฝงด้วยจิตสังหารโหดเหี้ยม
เสี้ยวขณะต่อมา ท้องฟ้าเปลี่ยนสี ในยามที่ลมเมฆหอบม้วนก่อเป็นหงส์ร่อนมังกรรำ เมฆเพลิงลุกไหม้ก็มาด้วยพลังมหาศาลประชิดจากท้องฟ้า แปรเปลี่ยนเป็นเงาร่างสีทอง ลอยต่ำลงบนเขามรรคาทมิฬ ปรากฏตัว…ข้างหน้าสวี่ชิง!
ระหว่างทั้งสองมีแท่นพิธีเต๋าธูปสามดอกแห่งฟ้า ดิน มนุษย์ขวางกั้น ท่ามกลางหมอกควันลอยอ้อยอิ่ง สายตาของพวกเขาก็สบประสานกันทันที
ไม่อ่อนข้อให้แม้แต่น้อย ต่างดุดันเหี้ยมเกรียม
เสี้ยวขณะนี้ สายตาของผู้คนทั้งหลายต่างจับจ้องที่นี่ รอบๆ จะเห็นรุ้งยาวเป็นทางๆ พุ่งลงมาจากฟ้า ไม่กล้าเข้ามาในภูเขาลูกนี้ แต่หยุดอยู่กลางอากาศ สมาธิจดจ่ออยู่ที่ลานเต๋า
ผู้บำเพ็ญที่แต่เดิมอยู่บนภูเขามรรคาทมิฬก็ต่างถอยไปอย่างรวดเร็ว นายกองและอู๋เจี้ยนอูก็เช่นเดียวกัน ต่อจากนี้ที่นี่จะเป็นสนามต่อสู้ของสวี่ชิงและเซิ่งอวิ๋นผู้ปราดเปรื่อง ผู้ไม่เกี่ยวข้องไม่ควรอยู่
“สวี่ชิง!”
ในเสี้ยวพริบตาที่มาถึง ในครรลองสายตาของเซิ่งอวิ๋นผู้ปราดเปรื่องก็มีเพียงเงาร่างของสวี่ชิงคนเดียวเท่านั้น
เขามองสวี่ชิง ในสมองก็มีความเจ็บปวดและทรมานที่ตนต้องประสบพบเจอในช่วงนี้ลอยขึ้นมาอย่างควบคุมไม่ได้ สีหน้าค่อยๆ ฉายความบ้าคลั่งออกมา ในดวงตาฉายความเคียดแค้นล้นปรี่
สวี่ชิงมองอีกฝ่ายอย่างเย็นชา มองไปยังผู้ที่จับตามองรอบๆ ไม่ได้พูดอะไร เริ่มทำการวิเคราะห์ข้อดีข้อเสียที่จะเกิดขึ้นกับตัวเองจากสิ่งของรอบๆ
‘ที่นี่มีคนมากมาย ใต้ปรโลกจะใช้อย่างเปิดเผยไม่ได้
‘บรรพจารย์หลิงอวิ๋นจะต้องจับตามองอย่างแน่นอน อยากจะฆ่าเซิ่งอวิ๋นผู้ปราดเปรื่องมีความยากมาก
‘กลืนกินเมี่ยเหมิงของเขายิ่งยากกว่า
‘อีกทั้งในตัวข้ายังมีความลับอีกไม่น้อย ต้องวิเคราะห์ว่าศึกนี้จะเปิดเผยความลับออกมากี่ชั้น…
‘แต่ว่าคนมากมายจับตามองเช่นนี้ก็ใช่ว่าจะเป็นข้อเสียไปเสียหมด ใช้นิสัยของเซิ่งอวิ๋นผู้ปราดเปรื่องมาทำการวางแผนเขาล่วงหน้าได้ ตัดทอนโอกาสรอดชีวิตของเขาไปทีละก้าวๆ อย่างน้อยๆ ก็ต้องเพิ่มอัตราความสำเร็จของข้าในการกลืนกินเมี่ยเหมิง!’
สวี่ชิงวิเคราะห์ในใจอย่างรวดเร็ว นิสัยของเขาเป็นเช่นนี้ ในยามต่อสู้หากลงมือได้ก็จะไม่เปิดปากพูดออกมาง่ายๆ เด็ดขาด ต่อให้มีคำพูดที่ต้องพูดจริงๆ ส่วนมากก็ทบทวนแล้วเพื่อกลยุทธ์ ยกตัวอย่างเช่นตอนนี้ สวี่ชิงเอ่ยขึ้นอย่างราบเรียบ
“เซิ่งอวิ๋นผู้ปราดเปรื่อง นี่คือของเพียงสองชิ้นที่คุ้มครองชีวิตในตัวข้า”
สวี่ชิงพูดพลางหยิบเอายันต์ส่งข้ามไร้ขั้นตอนสองชิ้นออกมา แล้วโยนไปข้างๆ อย่างไม่ลังเล ก่อนจะเตะมันออกไปนอกลานเต๋า
การกระทำนี้ของสวี่ชิงทำให้รอบๆ ฮือฮาทันที
แม้การกระทำนี้จะไม่ใช่เรื่องใหญ่ แต่ในนั้นเต็มไปด้วยแรงกระตุ้นอันเด็ดขาดแน่วแน่ เซิ่งอวิ๋นผู้ปราดเปรื่องที่อยู่ตรงข้ามเขา เห็นได้ชัดว่าคิดไม่ถึงว่าสวี่ชิงจะทำเช่นนี้
ตอนนี้ ภายใต้การจับตามองจากคนนับไม่ถ้วนรอบๆ เซิ่งอวิ๋นผู้ปราดเปรื่องหัวเราะเสียงเย็น หยิบเอาแผ่นหยกชิ้นหนึ่งออกมา แล้วโยนไปข้างๆ
แผ่นหยกแผ่นนั้นแผ่พลังอ่อนโยนออกมา แค่เห็นก็รู้แล้วว่าเป็นของรักษาชีวิต
ตอนนี้ ในเสี้ยวพริบตาที่ดูเหมือนว่าวัตถุรักษาชีวิตของทั้งสองฝ่ายต่างถูกโยนออกไปแล้ว สวี่ชิงและเซิ่งอวิ๋นผู้ปราดเปรื่องก็ลงมือพร้อมกัน
เสียงดังสนั่นหวั่นไหวปะทุขึ้นทันที
ทรงพลังน่าหวาดหวั่น!
แข็งแกร่งเกินต้านทาน!