บทที่ 295 สหายตัวน้อย มาหาข้า
ในยามที่บรรยากาศรอบๆ ภูเขามรรคาทมิฬลูกนี้แปลกประหลาด เสียงอ่อนโยน สงบนิ่งเสียงหนึ่งก็ดังมาจากฟ้า สะท้อนก้องไปทั่วสารทิศ
“ล้วนแต่เป็นสภาผู้อาวุโสของพันธมิตรกันทั้งนั้น จะบาดหมางกันเพราะผู้เยาว์ได้อย่างไร”
เสียงนี้เมื่อดังขึ้น ผู้บำเพ็ญทั้งหมดรอบๆ ก็ต่างจิตใจสั่นสะท้าน ชายกลางคนชุดสีเขียวครามจากวังเต๋ามหาวิวัฒน์ก้มหน้าโค้งคารวะไปทางที่ไกลๆ เป็นคนแรก
“คารวะประธานพันธมิตร”
สีหน้าของบรรพจารย์หลิงอวิ๋นกลับเป็นปกติ ก้มศีรษะคารวะเช่นกัน
เสี่ยเลี่ยนจื่อมองหลิงอวิ๋น แล้วมองไปยังบรรพจารย์วังเต๋ามหาวิวัฒน์ ใบหน้าฉายรอยยิ้มที่คนนอกมองไม่ออก โค้งคารวะทำความเคารพเช่นกัน
คิ้วงามของจอมเซียนจื่อเสวียนขมวดมุ่น หลังจากทำความคารวะแล้วก็ลุกขึ้น เดินไปทางสำนักโลกันต์ทมิฬ ไม่กี่ก้าวก็หายลับไป
จากการคารวะของคนทั้งหลาย เสียงอ่อนโยนก็ดังจากท้องฟ้ามาอีกครั้ง
“กฎก็คือกฎ หากสั่นคลอนง่ายๆ กฎระเบียบของพันธมิตรเราจะคงอยู่ได้อย่างไร
“สหายเต๋าหลิงอวิ๋น เจ้าค่อนข้างบุ่มบ่ามไปแล้ว ลงโทษไม่แบ่งผลกำไรของพันธมิตรให้เจ้าเป็นเวลาสิบปี
“สหายเต๋าเต้าเหยียน เจ้าเปลี่ยนมาทำเรื่องแบบนี้ตั้งแต่เมื่อไรกัน เห็นแก่มิตรภาพของเจ้ากับบรรพจารย์หลิงอวิ๋นในอดีต เรื่องนี้แม้จะสามารถเข้าใจได้ แต่กฎไม่อาจเปลี่ยนได้ ลงโทษไม่แบ่งผลกำไรของพันธมิตรให้เจ้าเป็นเวลาสิบปีเช่นกัน
“ส่วนสหายเต๋าเสี่ยเลี่ยนจื่อ นิสัยมุละทุของเจ้าก็ลงโทษเช่นเดียวกัน
“สวี่ชิงทำได้ไม่เลว ทำตามข้อเสนอที่สหายเต๋าเสี่ยเลี่ยนจื่อเสนอเมื่อในอดีต นับตั้งแต่วันพรุ่งนี้เป็นต้นไปมอบผลประโยชน์ระดับผู้สืบทอดมรรคา ทุกปีมอบทรัพยากรหินวิญญาณให้จำนวนแปดล้านก้อน ทุกเทือกเขาของแปดสำนักจะเปิดให้กับเจ้า ขณะเดียวกัน ทุกปีเจ้าจะได้สิทธิ์เข้าแดนวาสนาทั้งหมดของพันธมิตรแปดสำนักได้โดยไม่ต้องจ่ายค่าตอบแทนสิบครั้ง การปกป้องของสำนักจะเปิดให้กับเจ้าอีกทั้งประกาศต่อมณฑลรับเสด็จราชันทั้งมณฑล พร้อมกันนั้นข้าขอมอบสิทธิ์ในการอัญเชิญเงาของวิเศษเวทต้องห้ามทั้งหมดของพันธมิตรแปดสำนักให้กับเจ้าด้วย
“สำหรับเซิ่งอวิ๋นผู้ปราดเปรื่อง จะอย่างไรก็เป็นต้นกล้า สหายเต๋าหลิงอวิ๋นเมื่อพากลับไปแล้วก็รักษาเขาให้ดี วิหคทองของข้านั้นช่วยสร้างกายเนื้อให้เขาใหม่ได้ เมื่อถึงตอนนั้นก็รีบก้าวสู่ระดับแก่นลมปราณวังสวรรค์ อนาคตก็ยังคงน่าคาดหวังเช่นเดิม
เสียงอ่อนโยนดังก้องค่อยๆ เลือนหายไป
บรรพจารย์วังเต๋ามหาวิวัฒน์เงยหน้าขึ้น หลังจากโยนเซิ่งอวิ๋นผู้ปราดเปรื่องออกไปส่งๆ ราวกับสิ่งของให้กับบรรพจารย์หลิงอวิ๋นแล้วก็หันไปมองเสี่ยเลี่ยนจื่อแวบหนึ่ง ยิ้มอย่างมีความหมายลึกซึ้งแล้วหมุนตัวจากไป
บรรพจารย์หลิงอวิ๋นเงียบนิ่ง ก้มหน้ามองหลานชายที่สลบไสล สายตาฉายแววเสียดาย แต่ที่มากกว่านั้นคือความเจ็บปวดเสียใจ หลังจากพยุงหลานชายขึ้นมาก็ไม่แม้แต่จะมองเสี่ยเลี่ยนจื่อ พุ่งตรงไปสำนักกระบี่เมฆาจรดฟ้าทันที
เสี่ยเลี่ยนจื่อเงียบนิ่งไปครู่หนึ่ง พยักหน้าให้สวี่ชิง สายตาแฝงด้วยความชื่นชม จากไปเช่นกัน
มีเพียงนายท่านเจ็ดที่ก้าวออกมาถึงข้างหน้าสวี่ชิง มองสวี่ชิงที่ได้รับบาดเจ็บ มือขวายกขึ้นสะบัด ทันใดนั้นแสงเจิดจ้าก็กระทบมาที่ร่างสวี่ชิง ทำให้บาดแผลบนร่างสวี่ชิงผสานอย่างรวดเร็ว จากนั้นก็หัวเราะ
“นับว่าทำได้ไม่เลว ไปเถอะ กลับไปกับข้า”
“แล้วก็เจ้า” นายท่านเจ็ดหันไปถลึงตาใส่นายกอง
นายกองน้อยเนื้อต่ำใจ แอบพูดในใจว่าตาแก่แสดงความอยุติธรรมออกมาชัดเจนขนาดนี้ตั้งแต่เมื่อไรกัน ไม่กังวลว่าจะทำร้ายจิตใจอันเปราะบางของตัวเองเลยหรือ จะอย่างไรข้าก็เป็นลูกศิษย์ของท่านนะ อีกทั้งยังเป็นลูกศิษย์คนโตอีกด้วย!
นายกองถอนหายใจ ตามหลังนายท่านเจ็ดและสวี่ชิงที่ปิดปากสนิทอย่างว่าง่าย มุ่งหน้าไปยังสำนักเจ็ดเนตรโลหิต
ระหว่างทาง นายท่านเจ็ดอยู่ข้างหน้า สวี่ชิงและนายกองตามหลัง นายกองใช้ไหล่ชนสวี่ชิงเบาๆ
“ทำไมไม่พูดอะไรเลย”
สวี่ชิงมองนายกองแวบหนึ่ง ยังไม่พูดอะไรเช่นเดิม
“เขาแค่อ้าปากก็จะกระอักเลือดออกมา สารกาย ปราณและจิตของเมี่ยเหมิงที่เจ้าเด็กคนนี้กลืนกินลงไปอย่างยากลำบาก เขากำลังหลอมอย่างสุดกำลัง” นายท่านเจ็ดที่อยู่ข้างหน้าเอ่ยราบเรียบ
สวี่ชิงเงียบนิ่ง กลืนเลือดที่ทะลักขึ้นมาที่คอให้กลับลงไปอีกครั้ง ทำการหลอมต่อไป
นายกองได้ยินถึงตรงนี้ก็ดวงตาเป็นประกาย ถูๆ มือ
“ศิษย์น้องเล็ก ฮุบกินคนเดียวไม่ดีนะ”
สวี่ชิงอึ้ง มองนายกองอย่างคาดไม่ถึง
“ไม่เป็นไร ศิษย์พี่ใหญ่ไม่รังเกียจเจ้า เจ้าคายออกมาคำหนึ่งดีหรือไม่” นายกองตาวาววาบ
สวี่ชิงเงียบนิ่ง ก้าวเร็วๆ สามสี่ก้าวเข้าไปใกล้นายท่านเจ็ด ห่างนายกองให้ไกล
ใบหน้านายกองเต็มไปด้วยความเสียดาย
นายท่านเจ็ดหันไปถลึงตาใส่ลูกศิษย์คนโตอย่างโมโห แล้วหันไปมองสวี่ชิงอีกครั้ง
“เรื่องเมื่อครู่มองออกหรือไม่”
สวี่ชิงพยักหน้า แล้วก็ส่ายหน้า
“ประธานพันธมิตรของเราคนนี้กำลังเดินหมาก”
สวี่ชิงหรี่ตา
“เสียดาย ความสามารถในการฝึกบำเพ็ญของเขาไม่เลว แต่ฝีมือในการเดินหมากค่อนข้างย่ำแย่” นายท่านเจ็ดหัวเราะขึ้นอย่างมีความหมายลึกซึ้ง
“สรุปแล้ว ในช่วงนี้เจ้ายังไม่ต้องกังวล เจ้ายังปลอดภัย จงจำไว้ว่า…คนที่ฝึกบำเพ็ญถึงระดับหวนคืนสู่อนัตตา โดยเฉพาะพวกบรรพจารย์ระดับหวนคืนสู่อนัตตาของพันธมิตรอย่างบรรพจารย์ของวังเต๋ามหาวิวัฒน์คนนั้น ในตัวของพวกเขาไม่ได้มีเพียงแค่สีเดียว
“สี เปลี่ยนไปเปลี่ยนมา หากไม่ถึงในเสี้ยวพริบตาที่เจ้าเปิดมันออก เจ้าไม่มีทางได้รู้เลยว่าพวกเขาเป็นสีอะไรกันแน่
“ก็พันธมิตรน่ะนะ มีสำนักมากมาย ทุกสิ่งล้วนเพื่อผลประโยชน์ แม้ถึงขอบเขตที่สูงขึ้นไป ผลประโยชน์ไม่ได้สำคัญขนาดนั้นแล้ว แต่หากเจ้าสูญเสียแล้วสูญเสียอีก เช่นนั้นหลังจากที่สูญเสียไปซ้ำๆ สิ่งที่สูญเสียไปอาจจะไม่ใช่ผลประโยชน์ แต่ถูกกลืนกินไปทั้งตัวแล้ว
“โลกกินคน วิธีการกินแบบดึกดำบรรพ์กับวิธีการกินของระดับสูงไม่เหมือนกันหรอกนะ
“สรุปแล้ว พวกเรายังคงอ่อนแอเกินไป” นายท่านเจ็ดส่ายหน้า
นายกองตามอยู่ข้างหลังก็ถอนหายใจเช่นกัน
“ใช่แล้ว พวกเราอ่อนแอเกินไป”
สวี่ชิงกลืนเลือดที่ทะลักขึ้นมาอีกครั้งลงไป รู้สึกเช่นเดียวกัน พยักหน้าพูดขึ้น
“อืม พวกเราอ่อนแอเกินไป”
“แล้วก็จอมเซียนจื่อเสวียนคนนั้น…” นายท่านเจ็ดพูดถึงตรงนี้ นายกองทำหูตั้งขึ้นมาทันที เดินสามสี่ก้าวเข้ามาใกล้ๆ
สวี่ชิงปิดปาก ไม่พูดอะไร
“เจ้าสี่…จัดการความสัมพันธ์ให้ดี” นายท่านเจ็ดสีหน้าค่อนข้างกลัดกลุ้ม ตบไหล่สวี่ชิง หมุนตัวจากไป
นายกองมองสีหน้ากลัดกลุ้มของนายท่านเจ็ด ดวงตาค่อยๆ เบิกกว้าง ความคิดเกินสมควรความคิดหนึ่งผุดขึ้นมาในใจของเขา
“หรือว่า…”
สวี่ชิงไม่สนใจนายกอง ร่างเพียงไหววูบก็แปรเปลี่ยนเป็นสายรุ้งยาวไปจากสำนักเจ็ดเนตรโลหิต บินตรงไปยังท่าจอดเรือของตัวเอง ส่วนทางนายกองทางนั้นยังกำลังย่อยและชั่งน้ำหนักความน่าเชื่อถือของข่าวเกินสมควรในหัวของเขา จึงไม่ได้ตามสวี่ชิงไปในทันที
นี่ทำให้รอบๆ สวี่ชิงเงียบสงบอย่างหาได้ยาก หลังจากกลับมายังท่าจอดเรือของตนเขาก็เอาเรือเวทออกมา ก้าวไปในห้องเรือทันที เมื่อนั่งขัดสมาธิลงก็หลับตา ทำสมาธิอย่างรวดเร็ว
เขากลืนกินเลือดจากสารกาย ปราณและจิตของเมี่ยเหมิงที่เกิดขึ้นจากการฝึกบำเพ็ญของเซิ่งอวิ๋นผู้ปราดเปรื่อง ร่างกายเหมือนกินอิ่มจนจุกไปในทันที ไม่อาจคุ้นชินได้ ตอนนี้นอกจากทำการย่อยอย่างสุดกำลังแล้ว ภาพสัญลักษณ์ข้างหลังเขาก็แผ่ความร้อนแผดเผาออกมา วิหคทองดูดซับอย่างบ้าคลั่งเช่นกัน
ระลอกคลื่นพลังน่ากลัวกลุ่มหนึ่งกำลังหล่อหลอมขึ้นในภาพสัญลักษณ์วิหคทอง กำลังเพิ่มขึ้นอยู่ทุกชั่วขณะ ความรู้สึกประเภทนี้ทำให้สวี่ชิงตระหนักได้ถึงการเปลี่ยนแปลงของเคล็ดวิชาระดับจักรพรรดิด้วยกันเองหลังจากกลืนกินได้อย่างลึกซึ้ง
“กลืนกินเคล็ดวิชาระดับจักรพรรดิผลลัพธ์ช่างน่าตื่นตะลึงนัก”
เขาสัมผัสได้ว่าหางของวิหคทองแต่เดิมมีเพียงแค่หางหงส์เก้าหางเท่านั้น ส่วนร่างดูเหมือนทรงอำนาจน่าเกรงขาม แต่สุดท้ายก็ยังมีความอ่อนด้อยอยู่นิดๆ แต่หางของภาพสัญลักษณ์วิหคทองในตอนนี้มีสิบหางแล้ว อีกทั้งหางที่สิบเอ็ดก็กำลังก่อตัวขึ้น
ขณะเดียวกันร่างของมันก็ใหญ่กว่าอดีตมาก โดยเฉพาะแววตาในดวงตาทั้งสองประดุจตะวันจันทรา เป็นประกายเจิดจ้านัก กลิ่นอายก็เช่นกัน แผ่ความเก่าแก่รางๆ
นอกจากนั้นความร้อนที่แผ่ออกมายิ่งเหนือกว่าในอดีต ต่อให้เป็นสวี่ชิงก็รู้สึกว่าทั้งร่างของตนล้วนได้รับอิทธิพลจากมัน ร้อนลวกยิ่งขึ้น กระทั่งในตอนที่นั่งขัดสมาธิอยู่ตรงนั้น รอบๆ เขาก็มีไอความร้อนพวยพุ่ง
ไอความร้อนนี้ทำให้รอบๆ เขาบิดม้วนในระดับหนึ่ง ในขณะที่ดูแล้วน่าครั่นคร้าม ก็ทำให้สวี่ชิงยิ่งวาดหวังในวิหคทองของตัวเอง
ในที่สุดสวี่ชิงก็ดูดซับเลือดที่มีสารกาย ปราณและจิตของเมี่ยเหมิงได้ครึ่งหนึ่ง ร่างของตัวเองไม่เหมือนกับเมื่อก่อนอีกต่อไป มีความรู้สึกว่าควบคุมเลือดที่จะทะลักออกมาไม่ได้อยู่ตลอดเวลา เพียงแต่ความอิ่มของตัวเขาก็ยังคงรุนแรงอยู่เช่นเดิม
และหางของวิหคทองก็ปรากฏขึ้นมาสิบสามหางแล้ว กระทั่งว่าภาพสัญลักษณ์แผ่ลามจากหลังมาข้างหน้าแล้ว ทำให้ความรู้สึกที่ดูแล้วงดงามเกินมนุษย์ของสวี่ชิงยิ่งชัดมากขึ้น
ส่วนพลังความร้อนก็เช่นกัน เขาสัมผัสได้อย่างชัดเจนว่ากายเนื้อของตนเปลี่ยนมาน่าตื่นตะลึงยิ่งขึ้นไปอีก
ถึงตอนนี้สวี่ชิงถึงได้โล่งอกอย่างสมบูรณ์ เขารู้ว่าเลือดของเมี่ยเหมิงที่เหลือต้องใช้เวลาในการดูดซับ จึงมีเวลาว่างหยิบเอาของชิ้นหนึ่งออกมาจากถุงเก็บของ
นี่เป็นไม้สีดำชิ้นหนึ่ง เป็นเศษเสี้ยวของวิเศษเวทของเซิ่งอวิ๋นผู้ปราดเปรื่องนั่นเอง
ตอนนี้เมื่อมองไปให้ละเอียดสวี่ชิงเห็นความเปลี่ยนแปลงของมัน เศษไม้ชิ้นนี้ใหญ่กว่าครั้งแรกที่ได้เห็นในตอนนั้นเล็กน้อย เหมือนว่ามีเศษไม้ชิ้นเล็กๆ อีกชิ้นหนึ่งรวมเข้าด้วยกัน
ไม่เหมือนกับเศษชิ้นส่วนของวิเศษเวทต้องห้ามของสวี่ชิงที่ไอพลังประหลาดเข้มข้น แม้เศษไม้ชิ้นนี้จะมีไอพลังประหลาดแต่ก็น้อยกว่ามากอย่างเห็นได้ชัด เห็นได้ว่าใช้ไม่บ่อยนัก อีกทั้งยังเก็บรักษาเป็นอย่างดี
มองชิ้นไม้สีดำ สวี่ชิงตั้งสมาธิตรวจสอบศึกษาค้นคว้า หลังจากนั้นครู่หนึ่ง เขาก็ประทับประสาทสัมผัสเทพของตัวเองลงไป กระตุ้นมันในห้องเรือ
ประตูประหลาดสีดำปรากฏขึ้นทันที เหมือนเป็นดินแดนปรโลก ทั้งยังเหมือนเป็นต้นกำเนิดความชั่วร้ายทั้งปวง ท่ามกลางการระแวดระวังของสวี่ชิง ประตูไม้สีดำบานนี้ก็ส่งเสียงแอ๊ดขึ้นมา แล้วเปิดออกมาหาเขาอย่างช้าๆ ความน่าขนลุกและเย็นยะเยือกรอบๆ พุ่งขึ้นทันที
เสี้ยวขณะต่อมา ประกายแสงทะลักสาดส่องแปรเปลี่ยนเป็นแสงแช่แข็งผนึกกระทบมาที่ร่างของสวี่ชิง
สวี่ชิงร่างสั่นสะท้าน วิหคทองที่อยู่ที่หลังเคลื่อนไปบนร่างกาย พลังความร้อนแผ่มา ลบล้างความเย็นยะเยือกนี้ แต่เขาก็ยังสัมผัสได้ถึงความรู้สึกที่ระดับขั้นชีวิตถูกผนึกอยู่ภายใต้พลังผนึกแช่แข็งนี้
“ตอนนั้นเซิ่งอวิ๋นผู้ปราดเปรื่องพูดไว้ว่าประตูบานนี้ชื่อว่าประตูเจตจำนงวิญญาณแห่งนิรันดร์ใช่หรือไม่
“แล้วก็เศษไม้ของประตูบานนี้เซิ่งอวิ๋นผู้ปราดเปรื่องเซ่นสังเวยไปแล้วสองครั้งหรือ ความหมายของเซ่นสังเวยหมายถึงว่า…” สวี่ชิงพึมพำ หยิบแผ่นหยกสื่อเสียงมาถ่ายส่งสื่อเสียงถามอาจารย์
ไม่นานนักนายท่านเจ็ดก็ตอบกลับมา
สวี่ชิงจ้องเพ่ง
“หาเศษชิ้นส่วนของของวิเศษเวทชิ้นเดียวกันแล้วประกอบหลอมรวมก็นับว่าเป็นการเซ่นสังเวยบูชาแล้ว หาชิ้นที่สองเจอก็คือการเซ่นสังเวยบูชาครั้งที่สอง หาชิ้นที่สามเจอก็คือการเซ่นสังเวยบูชาครั้งที่สาม!
“หลังจากเซ่นสังเวยบูชาก็จะเกิดการเปลี่ยนแปลงที่ยิ่งดุดันขึ้น ไม่รู้ว่าประตูนี้หลังจากที่เปิดใส่คนอื่น สิ่งที่ปรากฏออกมาจะเป็นอย่างไร” สวี่ชิงยกมือ หลังจากคลายการแช่แข็งผนึกในร่างของตนก็สลายเก็บประตูบานนี้ไป
เขารู้ดีว่า หากที่หน้าศาลเจ้าในแดนต้องห้ามปักษาราชันทวีปปักษาสวรรค์ทักษิณ เซิ่งอวิ๋นผู้ปราดเปรื่องเซ่นสังเวยของชิ้นนี้ครั้งที่สองได้สำเร็จ น่ากลัวว่าตนในตอนนั้น ต่อให้อยู่ภายใต้สถานการณ์ที่เจ้าเงาสะกดช่องเวทของเซิ่งอวิ๋นผู้ปราดเปรื่อง ก็ยากจะต้านทาน ถูกประตูบานนี้ผนึกแช่แข็งเป็นแน่
“แช่แข็งผนึกระดับขั้นชีวิตได้…” สวี่ชิงพึมพำ จู่ๆ เขาก็สงสัยมากๆ ว่าหากเปิดประตูนี้เปิดใส่นายกองจะเกิดอะไรขึ้น
ในตอนที่สวี่ชิงศึกษาค้นคว้าประตูเจตจำนงวิญญาณแห่งนิรันดร์ ในแผ่นหยกสื่อเสียงของเขาก็มีเสียงที่ทำให้เขาลนลานดังขึ้นมา
“สหายตัวน้อย มาหาข้า พี่สาวมีเรื่องอยากจะถามเจ้า”
สวี่ชิงสูดลมหายใจ ในบรรดาคนที่เขาไม่อยากเจอที่สุดในสำนักเจ็ดเนตรโลหิต จอมเซียนจื่อเสวียนอยู่ในอันดับแรกๆ แต่ไม่ว่าอย่างไร ก่อนหน้านี้ก็เป็นจอมเซียนจื่อเสวียนที่ลงมือช่วยเขา หลังจากที่สวี่ชิงเงียบนิ่ง รู้ว่าไม่ไปไม่ได้ จึงฝืนใจลุกขึ้น เมื่อเดินออกมานอกเรือก็พบว่าตอนนี้ดึกแล้ว
“ดึกแล้วไปเข้าพบผู้อาวุโสไม่ดี…อืม พรุ่งนี้ค่อยไป”
สวี่ชิงคิดถึงตรงนี้ กำลังจะหันหลัง แต่เสี้ยวขณะต่อมา ในแผ่นหยกสื่อเสียงก็มีเสียงที่ในความอ่อนหวานมีความเย้ายวน ดุจธารน้ำไหลริน ดุจเสียงสวรรค์ในจวนเซียนของจอมเสวียนจื่อเสวียนดังมา
“มาตอนนี้เลย”