บทที่ 296 ผ้าโปร่งบางคั่นไว้
สวี่ชิงเงียบนิ่ง ยืนอยู่ที่หัวเรือมองท้องฟ้ายามราตรี ผ่านไปครู่หนึ่งเขาก็สูดลมหายใจลึก เก็บเรือเวทแล้วเดินไปสำนักโลกันต์ทมิฬ
ตลอดทาง ไม่ได้เร่งรีบนัก
เดินไป ในใจเขาก็คิดถึงความลับที่เผยออกไปในศึกที่สู้กับเซิ่งอวิ๋นผู้ปราดเปรื่องก่อนหน้านี้ของตนเอง แม้อาจารย์วิเคราะห์แล้วว่าตนเองปลอดภัย แต่สวี่ชิงก็ยังคอยขบคิดความเป็นไปได้ในส่วนที่จะเล็ดลอดออกไปอยู่เสมอ
“ประธานพันธมิตรมีวิหคทอง ข้าเองก็มีวิหคทอง จริงๆ แล้วถือว่าเป็นศัตรูกัน เพียงแต่ตอนที่ข้ายังอ่อนแออยู่จึงยังปลอดภัย
“นอกจากนี้ ในตาขวาเซิ่งอวิ๋นผู้ปราดเปรื่องยังหลอมวิหคทองของประธานพันธมิตรไว้ ดังนั้นเขาไม่มีทางตายง่ายๆ แน่ เช่นนั้นเซิ่งอวิ๋นผู้ปราดเปรื่องในอนาคตจะยังเป็นเซิ่งอวิ๋นผู้ปราดเปรื่องหรือไม่” สวี่ชิงหรี่ตาลงครุ่นคิด
“เป็นโลกที่คอยจับผู้คนกินจริงๆ”
เวลานี้แสงราตรีสาดลงมายังเมืองพันธมิตร เดินอยู่บนถนน มีสายลมพัดมา พัดเสื้อผ้าของสวี่ชิงดังพั่บๆ และพัดเส้นผมยาวของเขาปลิวสยาย
สวี่ชิงเงยหน้า มองออกไปยังท้องฟ้าราตรี
“อาจารย์พูดไว้ไม่ผิด ข้ายังอ่อนแอเหลือเกิน” สวี่ชิงพึมพำ เขาไม่คิดว่าจะมีวันที่ตนเองถูกกลืนกิน ต่อให้ทำไม่ได้ โชคชะตาเป็นเช่นนั้น เขาก็จะยังคงกระเสือกกระสนต่อไป
“ข้าจะทุ่มสุดกำลัง หากทำไม่ได้จริงๆ ข้าก็จะทำให้คนที่มากินข้า ต้องไส้แตกท้องทะลุไปเลย!”
โลกนี้ อันที่จริงเมื่อเทียบกับฐานที่มั่นคนเก็บกวาดและถ้ำยาจกในอดีตของเขา พื้นฐานไม่ได้เปลี่ยน แต่สิ่งที่เปลี่ยนคือการแสดงออกของระดับชั้นที่โหดร้ายกว่าสูงส่งกว่าของใจคนก็เท่านั้น
จะดีจะชั่วกับการแย่งชิงกันในฐานที่มั่นคนเก็บกวาดส่วนใหญ่นั้นตรงไปตรงมา การสังหารคือเป้าหมาย
และเมื่อพลังบำเพ็ญมาถึงระดับหนึ่ง หลังจากสัมผัสสภาพแวดล้อมที่สูงกว่า การสังหารจึงไม่ใช่เป้าหมายอีกต่อไป แต่เป็นวิธีอย่างหนึ่งที่ทำให้ได้สิ่งที่ต้องการแทน
สวี่ชิงในอดีตปรับตัวไม่ค่อยได้ แต่ปัจจุบันเขายอมรับได้แล้ว ยิ่งไปกว่านั้นยังเรียนรู้และดูดซับสารอาหารในการเติบโตจากสิ่งนี้อย่างรวดเร็วด้วย
ขณะที่ครุ่นคิด เวลาก็ผ่านไปจนดึกดื่น ในที่สุดสวี่ชิงก็เดินมาถึงนอกประตูสำนักโลกันต์ทมิฬแล้ว
สำนักโลกันต์ทมิฬในม่านราตรี แม้จะมืดมิด แต่โคมไฟบนยอดเขาก็ยังสว่างไสวราวกับจะแผ่แสงออกมาขับไล่ความมืดมิดยามราตรีออกไป
สวี่ชิงยืนอยู่ที่ตีนเขา สูดลมหายใจลึก เมื่อจะเดินขึ้นบันได จู่ๆ ดวงตาเขาก็แข็งค้าง มองไปยังส่วนลึกของบันไดเบื้องหน้า ที่นั่นมีเงาหนึ่งกำลังเดินตรงมา
เงานี้เดินมาช้าๆ ในแสงจันทร์ และเผยใบหน้าหญิงชราออกมา
สวี่ชิงประสานหมัดคารวะขึ้นอย่างเกรงใจ
“สวี่ชิง เจ้าไม่รู้จักกฎเกณฑ์เอาเสียเลย บรรพจารย์ข้าเชิญเจ้าแต่กลับมาเสียดึกดื่น! ถ้าหากยังมีครั้งหน้า ข้าคนนี้คงต้องลงโทษเจ้าแล้ว!”
หญิงชราแค่นเสียงเย็น สีหน้าเคร่งขรึม น้ำเสียงเย็นเยียบ พูดจบก็หันหลังเดินขึ้นบันได สวี่ชิงมองต้นคอของหญิงชราอยู่ด้านหลัง ไม่พูดอะไร เดินขึ้นบันไดตามไป
“ถ้ายังจะใช้ตาของเจ้ามองมาที่คอของข้าอีก เจ้าเชื่อหรือไม่ว่าข้าจะควักมันออกมาเสีย” หญิงชราตรงหน้าไม่หันหลังกลับ น้ำเสียงเย็นเยียบดังออกมา
สวี่ชิงยังคงไม่พูดจา การต่อปากต่อคำไม่มีความหมายสำหรับเขา โดยเฉพาะเมื่อเผชิญหน้ากับคนที่แกร่งกว่า เขาจึงเดินตามปกติ สีหน้าไม่เปลี่ยนไปแม้แต่น้อย
เขาสัมผัสถึงคลื่นพลังบำเพ็ญที่น่ากลัวของหญิงชราคนนี้ได้ เขารู้สึกได้รางๆ ว่าพอๆ กับนายท่านหกเลยทีเดียว
เห็นว่าสวี่ชิงไม่พูดอะไร หญิงชราจึงหันกลับมามองเขาผาดหนึ่ง จากนั้นก็หันหลังเดินหน้าต่อไป
ทั้งสองคนเงียบงัน จนผ่านไปครู่หนึ่งก็เดินขึ้นบันไดมาถึงยอดเขา สถานที่นี้มีคฤหาสน์เงียบสงบที่สร้างขึ้นจากหยกสีม่วงแห่งหนึ่ง อาณาบริเวณกว้างขวาง มองไกลๆ เข้าไปยังเห็นว่าใจกลางมีหอสูงอยู่
แสงของโคมไฟ ส่องออกมาจากหอนี้
เมื่อเดินเข้าประตูใหญ่ไป มีเส้นทางเล็กๆ ที่ทำจากหินสีดำ ดอกไม้รอบๆ หลากสีสัน เห็นศาลาอยู่แทบทุกที่ และยังมีสาวใช้อีกไม่น้อยเดินผ่านไปมา ทุกคนเรือนร่างสะโอดสะอง หน้าตางดงาม ผิวขาวราวหิมะ หว่างคิ้วยังมีความอ่อนเยาว์อยู่
ตอนที่เดินผ่านสวี่ชิง ส่วนใหญ่ดวงตางามก็เกิดความอยากรู้อยากเห็น เมียงมองมาทางเขา หลังจากเห็นหน้าตาของสวี่ชิงแล้ว ก็เอาไปซุบซิบหัวเราะคิกคักดังมา
สวี่ชิงก็ทำเป็นไม่ได้ยิน ไม่แม้แต่ชายตามอง
หญิงชราขมวดคิ้ว ถลึงตาจ้อง สาวใช้เหล่านั้นจึงรีบออกห่างไป
นอกจากนี้ ที่นี่ยังมีหินภูเขาเจ็ดสีจัดวางไว้อย่างเป็นแบบแผนราวกับทิวทัศน์อยู่เต็มไปหมด สิ่งนี้ยิ่งทำให้คนที่พบเห็นรู้สึกว่าคฤหาสน์มีความสง่างามเปี่ยมล้น
ยิ่งไปกว่านั้นยังมีแม่น้ำเล็กๆ สายหนึ่งที่ขุดลอกเข้ามา ต้นกำเนิดไม่รู้มาจากที่ใด ไหลคดเคี้ยวไปด้านล่างภูเขา
ในแม่น้ำมองเห็นปลาสีทองอยู่เป็นระยะ พวกมันมีหนวดยาว แค่เห็นก็รู้สึกว่าไม่ธรรมดา
กระทั่งสวี่ชิงก็ยังเห็นว่าในป่ามีงู ยิ่งไปกว่านั้นยังไม่ใช่แค่ตัวสองตัว แต่มีอยู่มหาศาล พวกมันบางตัวเลื้อยผ่านถนนไปด้วยซ้ำ บ้างก็พันรัดอยู่บนต้นไม้รอบๆ บางตัวก็ขดอยู่ตามมุม
แต่ไม่ว่าพวกมันจะทำอะไร พริบตาที่เห็นสวี่ชิงก็เกิดภาพประหลาดขึ้นมา พากันก้มหน้า ราวกับกำลังสวามิภักดิ์
ภาพนี้ ทำให้หญิงชราตรงหน้ายงองตะลึง หันหน้ากลับมามองสวี่ชิงอย่างพินิจอีกครั้ง
สวี่ชิงสีหน้าไร้อารมณ์ แต่ก็รู้สึกประหลาดในใจ เขาไม่รู้ว่าเพราะอะไร
ความสงสัยนี้ขณะที่กำลังมากขึ้นเรื่อยๆ ในใจสวี่ชิง เขาก็ถูกพาไปยังส่วนตะวันออกของคฤหาสน์ ที่นั่นมีสระน้ำเซียนอยู่
มองไกลๆ ยังเห็นไอหมอกคุกรุ่น เปลี่ยนรูปร่างกลางอากาศ แผ่ความมงคลออกมา ด้านนอกสระน้ำเซียน ก็มีผ้าขาวโปร่งบางล้อมไว้รอบๆ ด้านนอกผ้าขาวโปร่งบางมีสาวใช้หันหลังให้สระน้ำเซียนอยู่นับสิบคน แต่ละคนก้มหน้า
ในมือพวกนางทุกคนถือถาดหยกเอาไว้ ด้านบนมีเครื่องประดับ เสื้อผ้าและผลไม้อยู่ เสื้อผ้าพับไว้เป็นระเบียบ ผลไม้ก็เป็นวิญญาณเซียน
และยังมีกลิ่นหอมจรุงจางๆ แผ่อยู่รอบๆ เมฆหมอก เสียงน้ำ กลิ่นหอม ทั้งหมดนี้ล้วนมาปะทะกับสัมผัสทั้งห้าของเขาจากการเข้าไปใกล้ ราวกับว่าย่ำเท้าเข้ามาในแดนเซียน
เดินมาถึงที่นี่ ความตึงเครียดของสวี่ชิงก็ลอยเอ่อขึ้นมาอีกครั้ง เพราะว่า…เขาเห็นว่าผ้าขาวโปร่งบางตรงหน้า ฉายร่างเงาสะโอดสะองกำลังอาบน้ำอยู่ในสระน้ำเซียน
ภาพนี้ ทำให้สวี่ชิงหลุบตาลงทันที ยืนอยู่ตรงนั้นไม่เดินหน้าต่อ
หญิงชราตรงหน้าไม่สนใจสวี่ชิง เมื่อเดินมาถึงด้านนอกผ้าขาวโปร่งบาง ก็ค้อมตัวลง
“บรรพจารย์ แขกมาถึงแล้วเจ้าค่ะ”
“ไม่เคารพสหายตัวน้อยที่ข้าเชิญ เจ้าตบที่หน้าตนเองเสียสามฉาดแล้วกัน” ด้านในผ้าขาวโปร่งบาง มีเสียงเกียจคร้านของจอมเซียนจื่อเสวียนดังลอดออกมา
หญิงชราสีหน้าปกติ ยกมือขึ้นตบไปที่ใบหน้าตนเองสามฉาดแรงๆ อย่างไม่ลังเล ลงมือหนักหน่วง จนใบหน้าบวมเป่ง มุมปากก็มีเลือดไหลซึม
แต่ดวงตากลับไม่มีแววอาฆาตมาดร้าย ก้มหน้าไม่พูดจา
สวี่ชิงที่เห็นทั้งหมดนี้ก็ยิ่งระแวดระวังขึ้นไปอีก ทำได้เพียงยืนก้มหน้าประสานมือคารวะไปทางผ้าขาวโปร่งบาง
“ศิษย์สวี่ชิง คารวะผู้อาวุโสจื่อเสวียน”
เสียงน้ำในสระดังกังกวาน เสียงหัวเราะดังออกมา
“เหตุใดสหายตัวน้อยวันนี้จึงนอบน้อมนัก ในลายมือที่ส่งของขวัญมาให้ข้า ไม่ได้เรียกข้าว่าผู้อาวุโสเสียหน่อย” เสียงของจอมเซียนจื่อเสวียนดังขึ้นพร้อมกับเสียงน้ำ มีเสน่ห์เหลือล้น
สวี่ชิงใจสั่น จดหนี้ของนายกอง เขารู้สึกว่าด้วยนิสัยของนายกอง อักษรที่ส่งไปพร้อมของขวัญ จะใช้คำเรียกใดก็เป็นไปได้ทั้งนั้น
แต่ตอนนี้ก็อธิบายไม่ได้ จึงทำได้แค่กัดฟันเอ่ยเสียงทุ้มต่ำว่า
“ขอบพระคุณที่ผู้อาวุโสช่วยชีวิตก่อนหน้านี้ขอรับ”
“ที่แท้ก็นอบน้อมเพราะเรื่องนี้สินะ ที่จริงต่อให้ข้าไม่ลงมือ เสี่ยเลี่ยนจื่อก็ลงมืออยู่ดี” เสียงจอมเซียนจื่อเสวียนเผยความเกียจคร้าน เมื่อเข้าไปถึงจิตใจก็ทำให้รู้สึกคันยุบยิบขึ้นมาตามสัญชาตญาณ
สวี่ชิงเงียบงัน ไม่รู้ว่าควรจะพูดอะไร สถานการณ์เช่นนี้เขาเพิ่งเคยเจอเป็นครั้งแรก ร่างเงาที่คั่นไว้ด้วยผ้าขาวโปร่งบางชั้นเดียว ทำให้เขายากจะพรรณนาความรู้สึกออกมา โดยเฉพาะเสียงน้ำนั่น ราวกับเป็นไข่มุกร่วงลงบนหยก ทุกเสียงสะท้อนก้องเข้ามาในจิตใจ
“จะอย่างไรก็ตาม ก็ถือว่าข้าช่วยเจ้าไว้ เช่นนั้น เจ้าก็ช่วยข้าบ้างได้หรือไม่ สหายตัวน้อย” เสียงน้ำดังขึ้นอีกครั้ง จอมเซียนจื่อเสวียนเหมือนจะลุกขึ้น
สวี่ชิงรีบร้อนเบนสายตาหลบ
พริบตาที่เขาเบนสายตาหลบ ร่างอรชรในผ้าขาวโปร่งบางก็ยืนขึ้นจากสระน้ำ ร่างเงาปรากฏบนผ้าขาวโปร่งบาง งดงามจับใจ
ราวกับสวรรค์จะลำเอียงและสร้างข้อยกเว้นให้นาง นำความงามของหญิงสาวทั้งหมดมาประดับไว้ที่จอมเซียนจื่อเสวียนคนนี้ เพียงแค่เงาก็ยั่วยวนจนสั่นจิตสะเทือนวิญญาณ เพียงพอที่จะทำให้คนทั้งหมดที่เห็นไม่ว่าจะหญิงหรือชายใจสั่นระรัว
ตอนนี้นางยกขาหยกขึ้น เดินออกจากสระน้ำเซียน ผ้าขาวโปร่งบางปลิวพลิ้วไปรัดตัวกลายเป็นกระโปรงยาว
เส้นผมดำสลวยระหัวไหล่ ใบหน้าแดงระเรื่อกับผิวขาวราวหยก ใบหน้ารูปไข่งดงามจับตา
สาวใช้รอบด้านเหล่านั้นคุกเข่าลง ชูถาดหยกในมือขึ้นสูง
จอมเซียนเสวียนจื่ออมยิ้ม ระหว่างโบกมือก็หยิบองุ่นวิญญาณเซียนจากถาดหยกขึ้นมาพวงหนึ่ง เดินมาหาสวี่ชิง ตัวคนยังไม่ทันมาถึง กลิ่นหอมจรุงก็โถมใส่หน้า
ในครรลองสายตาของสวี่ชิง จอมเซียนจื่อเสวียนที่เดินเข้ามาคนนี้ ตอนนี้มีผ้าขาวโปร่งบางอยู่ที่ตัว ผมยาวสลวย เรือนร่างสะโอดสะอง จังหวะก้าวเดินสูงส่ง ราวกับเทพยดาจากสวรรค์เก้าชั้นฟ้า สง่างามอย่างใครก็มิอาจเทียบ
เห็นจอมเซียนจื่อเสวียนเข้ามาใกล้เรื่อยๆ หน้าผากสวี่ชิงก็มีเหงื่อผุดออกมา ถอยหลังไปหลายก้าว แต่ร่างของจอมเซียนจื่อเสวียนไหววูบ ปรากฏตัวอีกทีก็อยู่ด้านหน้าสวี่ชิงแล้ว ป้อนองุ่นเม็ดหนึ่งเข้าปากสวี่ชิง
สวี่ชิงสมองขาวโพลน
“สหายตัวน้อย เอาแต่เรียกว่าข้าบรรพจารย์ทุกครั้ง ข้าแก่ถึงเพียงนั้นเชียวหรือ ครั้งหน้าเจ้าเรียกข้าว่าท่านพี่เสวียนได้นะ” จอมเซียนจื่อเสวียนยิ้มบาง ตางามประกายกวาดมอง ทุกอากัปกิริยาของนางเผยท่วงทำนองที่มิอาจเอื้อนเอ่ยได้ออกมา
สวี่ชิงในเต้นเร็วขึ้น รู้สึกตึงเครียดเหมือนตอนที่พบอสูรร้ายน่ากลัวในพื้นที่ต้องห้ามหลายปีก่อนหน้านี้
เห็นสวี่ชิงเป็นเช่นนี้ จอมเซียนจื่อเสวียนก็หัวเราะอีกครั้ง เสียงหัวเราะหวานราวน้ำผึ้ง ทำให้ผู้คนสบายใจ ผ่อนคลายมีสุข นางไม่คิดจะเย้าแหย่สวี่ชิงอีก แต่หันหลังเดินไปพร้อมเสียงก้อง
“สหายน้อยกลัวข้าถึงเพียงนี้ กังวลว่าข้าจะจับเจ้ากินหรือ”
“คราวก่อนได้ยินคนพูดว่าตอนเจ้าไปลาดตระเวนที่แม่น้ำ ก็พบเข้ากับสำนักโลกันต์ทมิฬอีกแห่ง นั่นเป็นสำนักของเพื่อนเก่าข้า ในเมื่อเจ้าพบแล้ว สองสามวันถัดไปก็พาข้าไปหน่อยนะ ข้าอยากจะไปดูเสียหน่อย”
จอมเซียนจื่อเสวียนเดินจากไปอย่างสง่างาม สาวใช้ทั้งหมดติดตามอยู่เบื้องหลัง หญิงชราคนนั้นก็เช่นกัน
มองไกลๆ จอมเซียนจื่อเสวียนในบรรดาหญิงสาว ก็ราวกับเป็นดอกมู่ตานที่บานสะพรั่ง งดงามบริสุทธิ์อ่อนช้อย หาผู้ใดเปรียบได้ไม่
หลังจากสวี่ชิงยืนนิ่งอยู่ที่เดิมครู่หนึ่ง จึงสูดลมหายใจลึก พาอารมณ์ที่ไม่อาจพรรณนาได้เดินออกจากสำนักโลกันต์ทมิฬ และตอนที่เขาเดินออกจากสำนักโลกันต์ทมิฬ จอมเซียนจื่อเสวียนนั่งอยู่บนหอสูงในคฤหาสน์ก่อนหน้านี้ กินองุ่นกลั้วหัวเราะ
“เป็นท่อนไม้ที่ยังอ่อนอยู่เลย ข้อมือขวามีคนมาพันสายใยรักแห่งชีวิตเอาไว้ ไม่ใช่วิชาของเผ่ามนุษย์เสียด้วย เป็นเด็กสาวจากเผ่าใดกัน ถึงได้นำเอาสายใยรักแห่งชีวิตมาผูกไว้เช่นนี้ ทั้งยังรักเขาฝ่ายเดียวเสียด้วย หากสหายตัวน้อยตายไป นางก็จะตายตกไปตามกัน”